ระฆังจักรพรรดิประจิมนั้นเป็ที่รู้จักในฐานะอาวุธเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ ดังนั้นหลัวเลี่ยจึงต้องนำมันมาให้ได้
และหากหลัวเลี่ยจะประกอบระฆังจักรพรรดิประจิมขึ้นมาใหม่ เขาก็ต้องรวบรวมระฆังที่ถูกแบ่งออกเป็เก้าส่วนมาให้ได้อีกครั้ง ดังนั้นหลังจากที่หลัวเลี่ยแน่ใจแล้วว่าระฆังจันทราเป็ส่วนหนึ่งของระฆังจักรพรรดิประจิม เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องหาระฆังอีกแปดส่วนที่เหลือมาให้ได้
ตอนนี้ภายในเมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลงกำลังเป็ที่รวมตัวกันของผู้ฝึกวรยุทธ์ทั้งหลาย และเป็เวลาที่เป็ไปได้มากที่สุดที่ระฆังอีกแปดใบจะปรากฏขึ้น
และแน่นอนว่าหลัวเลี่ยซึ่งกำลังฝึกฝนอยู่ในระฆังจันทราจะต้องมีปฏิกิริยาที่รุนแรงมากต่อการปรากฏตัวของระฆังอีกแปดใบ
“ไม่มีทางผิดแน่ ต้องใช่อย่างแน่นอน”
หลัวเลี่ยหยุดฝึกฝนในทันที เขาเก็บระฆังจันทรากลับมาจากนั้นก็รีบออกจากโรงเตี๊ยมและเดินไปทางทิศที่เขาถูกดึงดูด
คนอื่นๆ ที่อยู่กับหลัวเลี่ยต่างแปลกใจกับการกระทำที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ของเขา แต่เยี่ยนอวิ๋นหวู่ก็ตั้งสติได้ไวที่สุด นางสั่งซูชิวเชิงและคนอื่นๆ ไว้ว่าอย่าเพิ่งเคลื่อนไหวอย่างหุนหันพลันแล่นและให้รออยู่ที่นี่ก่อน
เนื่องจากสำนักอูอวิ๋นเซียนได้ออกประกาศมาแล้วว่าการกำเนิดของไก้อู๋ซวงในครั้งที่สองนี้ก็เพื่อมาสังหารหลัวเลี่ย ดังนั้นตอนนี้หลัวเลี่ยจึงยังปลอดภัยอยู่ เพราะหากมีใคร้าจะมาสังหารเขาก็เท่ากับว่าคนคนนั้นิ่เกียรติของบรรพชนอูอวิ๋นเซียนด้วยเช่นกัน ดังนั้นตอนนี้จึงไม่จำเป็ต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของหลัวเลี่ย
แต่เยี่ยนอวิ๋นหวู่ก็ยังคงบินขึ้นไปบนท้องฟ้า นางมองและสังเกตไปยังเมืองหลวงแคว้นเหยียนหลง นางยังประหลาดใจกับการกระทำของหลัวเลี่ย
หลังจากที่หลัวเลี่ยรีบออกมาจากโรงเตี๊ยม เขาก็พบว่าความรู้สึกคุ้นเคยนั้นค่อยๆ เบาบางลงเรื่อย ๆ เห็นได้ชัดว่าคนที่ถือระฆังจักรพรรดิประจิมกำลังถอยห่างออกจากตำแหน่งที่เขาอยู่อย่างรวดเร็ว
หลัวเลี่ยใช้วิชาก้าวัทันที ท่ามกลางเสียงของกระแสน้ำพร้อมกับเสียงของัร้อง ร่างของเขาก็พุ่งทะยานไปข้างหน้า
หลัวเลี่ยพุ่งตัวไปเร็วมาก และคนที่กำลังเดินออกห่างจากเขาก็ไม่รู้ตัวว่ามีใครบางคนกำลังติดตามตัวเองอยู่ คนคนนั้นยังคงทำเพียงเดินออกไปตามปกติ ดังนั้นหลัวเลี่ยที่ถูกดึงดูดด้วยพลังของระฆังจักรพรรดิประจิมจึงตามหลังคนคนนั้นมาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
คนคนนั้นเป็ชายคนหนึ่งที่มีอายุราวๆ สิบเจ็ดถึงสิบแปดปี เขากำลังขี่ม้าสีขาวราวกับหิมะตัวหนึ่งและหยุดอยู่หน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
เมื่อม้าหยุดลงแล้วชายคนนี้ก็ลงจากหลังม้าและใช้มือตบไปที่บั้นท้ายม้า จากนั้นม้าก็วิ่งออกไปอยู่ข้างๆ โรงเตี๊ยมเพื่อรอเขาด้วยตนเอง ซึ่งเป็ขณะเดียวกับชายคนนั้นเดินเข้าไปในโรงเตี๋ยม
หลัวเลี่ยเฝ้าดูชายคนนั้นเดินเข้าไป เขาสังเกตเห็นว่ามีกระดิ่งเล็กๆ หนึ่งอันผูกอยู่บริเวณบั้นเอวของชายคนนั้น
กระดิ่งอันเล็กๆ นั้นดูเหมือนเครื่องประดับ แต่ตอนที่มันเคลื่อนไหวเสียงของมันกลับคมชัดและก้องกังวานมาก
“หนึ่งในเก้าส่วนของระฆังจักรพรรดิประจิม?”
หลัวเลี่ยเริ่มใจสั่น เขารู้สึกได้ถึงสายสัมพันธ์ระหว่างระฆังใบเล็กอันนั้นกับระฆังจันทราของเขา
หลัวเลี่ยเดินตามชายคนนั้นเข้าไปในโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่ง เขาเดินขึ้นไปบนชั้นสามของโรงเตี๊ยม
เมื่อหลัวเลี่ยปรากฏตัว ผู้คนในโรงเตี๊ยมที่อึกทึกครึกโครมในตอนแรกก็เงียบเสียงลงทันที ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่หลัวเลี่ยโดยพร้อมเพรียงกัน
หลัวเลี่ยกวาดสายตาไปรอบๆ หนึ่งครั้ง จากนั้นคิ้วของเขาเลิกขึ้นเล็กน้อย
เขาพบว่าลูกค้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ล้วนเป็บุคคลที่ไม่ธรรมดา
ในหมู่คนหนุ่มสาว ทั้งชายและหญิงที่มีอายุประมาณสิบกว่าปีล้วนมีไอพลังที่ไม่ธรรมดา ไอพลังของพวกเขาค่อนข้างทรงพลังซึ่งเป็ลักษณะของระดับหยินหยางและดูเหมือนว่าคนที่มีพลังวรยุทธ์ต่ำที่สุดจะมีพลังอยู่ในระดับที่สิบของระดับผู้ฝึกตน ส่วนชายหนุ่มและหญิงสาวที่มีอายุมากขึ้นกว่านี้เล็กน้อยส่วนใหญ่ก็จะมีพลังอยู่ในระดับแก่น์ขึ้นไป นอกจากนี้หลัวเลี่ยยังไม่สามารถมองระดับพลังของชายและหญิงที่อยู่ในวัยกลางคนขึ้นไปได้ เป็การยากที่จะระบุว่าพลังของพวกเขาอยู่ในระดับใด
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือเห็นได้ชัดว่าพวกเขาล้วนเป็ผู้ที่มีตำแหน่งสูงหรืออีกนัยหนึ่งคือพวกเขาทั้งหมดอาจมาจากกองกำลังที่ทรงพลังมาก
ชายที่หลัวเลี่ยแอบตามมานั่งลงที่โต๊ะที่มีที่นั่งเจ็ดตัวแล้ว
ผู้ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะนั้นเป็ชายวัยกลางคนคนหนึ่งมีใบหน้าเป็เอกลักษณ์แนวจีนโบราณและมีเครายาวสามเส้นอยู่ใต้กรามของเขา เขาดูสง่าผ่าเผยและสูงส่งมาก เมื่อเขาเห็นว่าหลัวเลี่ยมองมาที่โต๊ะของพวกเขา เขาก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อไม่มีที่นั่งเหลือแล้ว หากนายน้อยหลัวไม่รังเกียจ ท่านสามารถมาร่วมโต๊ะกับพวกเราได้”
“เช่นนั้นหลัวเลี่ยไม่เกรงใจแล้ว” หลังจากนั้นหลัวเลี่ยก็เดินไปที่โต๊ะของบุคคลนี้ เขาจะพลาดโอกาสนี้ได้อย่างไร “ไม่ทราบว่าท่านผู้าุโมีนามว่าอะไรหรือขอรับ”
ชายวัยกลางคนยกยิ้ม “ข้าคือศิษย์ไร้ประโยชน์ของบรรพชนหรานเติง ข้ามีนามว่าหลี่จิ้งแห่งด่านเฉินถังกวน”
ที่แท้คนคนนี้ก็คือหลี่จิ้ง
หลัวเลี่ยกวาดสายตามองร่างของหลี่จิ้งขึ้นและลง เมื่อมองดูภายนอก หลี่จิ้งดูสง่างามและทรงอำนาจมากราวกับแม่ทัพคนหนึ่ง
“ที่แท้ท่านก็คือผู้าุโหลี่ หลัวเลี่ยทำความเคารพท่าน” หลัวเลี่ยยกมือขึ้นประสานกันเป็ท่ากำหมัดเพื่อทำความเคารพ
“ฮ่าๆ อย่าเลย เ้าไม่ต้องสุภาพกับข้าขนาดนั้น พวกเรามาทำตัวสบายๆ ต่อกันเถิด” หลี่จิ้งกล่าว “อา ข้าคิดว่าการที่ข้าทำเช่นนี้ ข้าจะเอาเปรียบเ้ามากไปหรือไม่”
“ผู้าุโหลี่หมายความว่าอย่างไร?” หลัวเลี่ยไม่เข้าใจ
คนอื่นถึงกับหูผึ่ง
คนที่พูดคุยกับผู้าุโหลี่ได้อย่างสบายๆ หลี่จิ้งบอกว่าเขาเอาเปรียบคนคนนั้นหรือ? แน่นอนว่าตอนนี้ทุกคนเริ่มสงสัยภูมิหลังของหลัวเลี่ยแล้ว
ใครจะคิดว่าคนที่สังหารไก้อู๋ซวงเสร็จแล้วไม่เพียงไม่หลบหนี แต่คนคนนั้นยังกล้ากลับมายืนอยู่ต่อหน้าผู้คนและศิษย์ของสำนักวรยุทธ์อื่นๆ เพื่อจะมาสังหารนางอีกครั้ง
เว้นแต่คนคนนั้นจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่เพียงพอที่จะช่วยเหลือเขาจนทำให้เขาไม่จำเป็ต้องกลัวอูอวิ๋นเซียน
หลี่จิ้งไม่ได้ตอบคำถามของหลัวเลี่ย แต่เขากลับเปลี่ยนหัวข้อในการพูดแทน “ข้าคิดว่าตอนนี้เหล่าบรรพชนในใต้หล้านี้คงจดจำชื่อของนายน้อยหลัวได้หมดแล้ว”
“ผู้าุโล้อข้าเล่นแล้ว” หลัวเลี่ยไม่เชื่อ
เขาจะเชื่อได้อย่างไร ในเมื่อหากบรรพชนคนหนึ่งกักตนเข้าชาญก็จะใช้เวลานับสิบปีหรือบางครั้งอาจมากถึงหนึ่งร้อยปี แต่หลัวเลี่ยเพิ่งมีชื่อเสียงได้ไม่นานมานี้ ฉะนั้นพวกเขาจะรู้จักหลัวเลี่ยได้อย่างไร
อาจมีบางคนกล่าวว่าหลัวเลี่ยใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนกว่าในการศึกษาเคล็ดวิชามหาหลุนิและสังหารไก้อู๋ซวง ซึ่งเหตุการณ์ทุกอย่างก็น่าใจริงๆ จนทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับกายทองคำยังต้องตกตะลึงเมื่อได้ยินเื่นี้
แต่คำถามคือสำหรับเหล่าบรรพชนที่มีอายุยืนยาวจนเคยพบกับอัจฉริยะมามากมายแล้ว ในชีวิตนี้พวกเขาจะเคยพบเจอกับคนที่สร้างปาฏิหาริย์ได้สักกี่คน?
เื่นี้เกรงว่าแม้แต่ลูกศิษย์และลูกหลานของเหล่าบรรพชนที่ต่อให้อัจฉริยะแค่ไหนก็คงไม่สามารถเทียบกับคนที่สร้างปาฏิหาริย์นั้นได้
เพราะใน่ชีวิตที่ยืนยาวของเหล่าบรรพชนนั้น พวกเขาได้พบกับคนที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะมากมาย จนอัจฉริยะตัวเล็กๆ หนึ่งถึงสองคนที่ไม่มีความโดดเด่นเป็พิเศษก็ไม่อาจเรียกความสนใจจากพวกเขาได้ เพราะหากพวกเขาต้องสนใจอัจฉริยะทุกคน เช่นนั้นพวกเขาก็คงต้องสนใจคนเป็ร้อยเป็พันในดินแดนเหยียนหวงแห่งนี้ และถ้าเป็เช่นนั้น วันๆ หนึ่งพวกเขาจะเหลือเวลาไปทำอะไรได้อีกเล่า
ดังนั้นคนที่เรียกตนเองว่าอัจฉริยะจำเป็ต้องไปให้ถึงระดับวรุยทธ์หนึ่งก่อนจึงจะได้รับความสนใจจากบรรพชนได้
และระดับหนึ่งที่ว่านั้นก็มักจะเป็ระดับกายทองคำ
ระดับกายทองคำเปรียบเสมือนคอขวด เพราะไม่ว่าที่ผ่านมาผู้ฝึกวรยุทธ์จะมีศักยภาพและอัจฉริยะเพียงใดแต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าคนคนนั้นจะทะลวงระดับกายทองคำนี้ไปได้ การทะลวงระดับนี้จำเป็ต้องพึ่งความเข้าใจในวรยุทธ์ โอกาส และโชค หากผู้ฝึกวรยุทธ์คนใดไม่อาจทะลวงระดับกายทองคำไปได้ คนคนนั้นก็ไม่อาจพลิกชะตาและเข้าสู่ระดับบรรพชนได้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้การจะให้บรรพชนให้ความสนใจกับคนที่ยังไม่บรรลุระดับกายทองคำไปก็เกรงว่าจะทำให้เหลาบรรพชนเสียเวลาเปล่า
“นี่เป็สิ่งที่อาจารย์ของข้าได้กล่าวออกมาด้วยตนเอง” หลี่จิ้งพูดอย่างจริงจัง
“บรรพชนหรานเติงเคยกล่าวไว้หรือ?” หลัวเลี่ยถามด้วยความประหลาดใจ
หลี่จิ้งพยักหน้า “ที่จริงแล้ว การที่นายน้อยหลัวได้รับความสนใจจากเหล่าบรรพชนใต้หล้า ไม่ใช่แค่เป็เพราะเื่ความสามารถที่โดดเด่นของเ้า แต่ยังเป็เพราะคนคนหนึ่งอีกด้วย”
หลัวเลี่ยหุบรอยยิ้มแล้วส่ายหัว “ก็อย่างที่ข้าเคยพูดไปแล้วว่าความสามารถของข้าคงไม่อาจเรียกความสนใจจากเหล่าบรรพชนได้ ท่านจะบอกว่าคนคนนั้นที่ทำให้ข้าได้รับความสนใจคือไก้อู๋ซวงหรือ? แม้ไก้อู๋ซวงจะกำเนิดมาจากพลังแห่งฟ้าดิน ทว่าเื่เช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นคงไม่ใช่นาง เช่นนั้นข้าก็จนปัญญาแล้ว เชิญท่านผู้าุโว่ามาเถิด”
หลี่จิ้งตอบว่า “สาเหตุเป็เพราะเ้าสามตาหยางเจี้ยน”
"เขาหรือ?" ใจของหลัวเลี่ยกระตุกเล็กน้อย
“ใช่ เป็เด็กน้อยคนนั้น” หลี่จิ้งกล่าว “เ้าอย่าได้ดูถูกเขาเชียว ประวัติของหยางเจี้ยนไม่ธรรมดาเลย ในสายตาของท่านเทพ หยางเจี้ยนและบรรพชนอวี้ติงเจินเหรินมีสายสัมพันธ์ระหว่างศิษย์และอาจารย์อยู่ ดังนั้นบรรพชนอวี้ติงเจินเหรินจึงอยากรับเขาเป็ศิษย์และสั่งสอนรวมทั้งเปิดเส้นทางในโลกของผู้ฝึกยุทธ์ให้กับหยางเจี้ยน เื่นี้แม้แต่ท่านเทพก็เห็นด้วย แต่หยางเจี้ยนกลับปฏิเสธ เพราะเขาได้ยินชื่อเสียงของเ้า หยางเจี้ยนผู้นั้นยึดมั่นว่าในใต้หล้านี้คนที่คู่ควรกับการเป็อาจารย์ของเขามีแค่เ้าเท่านั้น หยางเจี้ยนมองว่าเ้ามีสถานะทัดเทียมกับเหล่าบรรพชนเสียด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นการที่ข้าบอกให้เ้าปฏิบัติกับข้าอย่างเท่าเทียมก็ดูราวกับว่าข้าจะเอาเปรียบเ้าแล้ว”
หลัวเลี่ยไร้รอยยิ้ม เขาพูดว่า “ผู้าุโอย่าได้ถือสากับคำพูดเด็กๆ ของหยางเจี้ยนเลย”
หลี่จิ้งตอบกลับอย่างจริงจัง “หยางเจี้ยนคนนั้นพูดเพียงประโยคเดียว บรรพชนอวี้ติงเจินเหรินก็ล่าถอยกลับไปอย่าเศร้าใจและปล่อยให้เขาเลือกอาจารย์ด้วยตนเอง เมื่อเื่นี้รู้ไปถึงหูของท่านเทพ ท่านเทพก็พูดออกมาเพียงคำว่า 'ปล่อยเขาไป' และเมื่อหยางเจี้ยนได้รับคำอนุญาตจากท่านเทพแล้ว เขาจึงมาเลือกอาจารย์ด้วยตัวของเขาเอง”
ครั้งนี้ไม่ใช่แค่หลัวเลี่ยแต่ทุกคนต่างประหลาดใจ
คำพูดจากเด็กเช่นหยางเจี้ยนหรือ?