ตำหนักขององค์หญิงเชียนเชียนไม่ได้อยู่ในจวนเ้าเมืองวันสิ้นโลก แต่อยู่บนยอดเขาเยว่ซิ่วเฟิง ประจันหน้ากับยอดเขาของคฤหาสน์เ้าเมือง ระหว่างยอดเขามีเชือกเส้นหนึ่งเชื่อมต่อกัน กลับไม่ห่างไกลกันมากนัก องค์หญิงเชียนเชียนอาศัยอยู่คนเดียวในตำหนักบนยอดเขา ูเาไม่สูงชันมาก เส้นทางูเาที่สวยงามสายหนึ่งทอดยาวผ่านผืนทะเลดอกไม้ขนาดใหญ่ ราวัขนด ดั่งฟีนิกซ์โบยบินเข้าไปยังตำหนักขององค์หญิง
บนยอดเขาเยว่ซิ่วเฟิงล้อมด้วยทะเลดอกไม้รอบด้าน บางครั้งมีต้นสนสีเขียวและต้นไผ่เขียวแซมอยู่บ้างประปราย ดูหยิ่งผยองและทระนงเป็พิเศษ กลับทำให้ผู้คนมองว่าสตรีนางนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจริงๆ
กลิ่นหอมโชยมา ทำให้จ้านอู๋มิ่งรู้สึกจิตใจสดชื่นยิ่งนัก บนเส้นทางูเาที่ราวัขนดฟีนิกซ์โบยบิน มียานพาหนะเทียมสัตว์อสูรจำนวนมากมาย เดินทางตามลำดับอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย แสดงให้เห็นว่า บรรดาอัจฉริยะจากเส้นทางต่างๆ ที่มาร่วมงานเลี้ยงมิ้าสูญเสียบุคลิกภาพของตนต่อหน้าองค์หญิงเชียนเชียน
จ้านอู๋มิ่งเดินเท้าแทนรถ อีกทั้งไม่ได้ขี่สัตว์อสูรจิติญญา ตอนที่มา ต้วนหลิวฉางปรารถนาเหลือเกินที่จะนำสัตว์อสูรจิติญญาลากวายุมาตัวหนึ่ง สุดท้ายถูกจ้านอู๋มิ่งปฏิเสธไป ดูสภาพของต้วนหลิวฉางแล้ว จัดทรงผมจนดูเหมือนดอกไม้กลีบใหญ่ก็ปาน บนร่างยังพรมด้วยน้ำหอมกลิ่นจางๆ สิ่งนี้ทำให้จ้านอู๋มิ่งรู้สึกว่าเสียหน้ามากแล้ว อีกทั้งแต่งตัวราวกับจะไปหาแม่ยายก็มิปาน หากนำสัตว์อสูรจิติญญาลากวายุที่สะดุดตามาด้วยอีก จ้านอู๋มิ่งรู้สึกอับอายขายหน้าผู้คนเกินไปแล้ว
“เ้าดูสิ ทุกคนล้วนขี่สัตว์อสูรจิติญญามา มีเพียงพวกเราเท่านั้นที่เดินมา ไยมิใช่สูญเสียภาพลักษณ์ของพวกเราไป จะว่าไป พวกเราก็เป็อัจฉริยะของสำนักบริบาลเดรัจฉานนะ” ต้วนหลิวฉางบ่นตัดพ้อต่อว่าเสียงเบา เขาบ่นพลางมองดูสีหน้าจ้านอู๋มิ่ง มิกล้าตอแยจนจ้านอู๋มิ่งเกิดโทสะขึ้นมา หากจ้านอู๋มิ่งไม่พาตนเข้าไป นั่นก็ย่ำแย่ นับเป็การสูญเสียครั้งใหญ่แล้ว
“อา นี่มิใช่ราชันแห่งอัจฉริยะของสำนักบริบาลเดรัจฉานหรอกหรือ? ไฉนสำนักบริบาลเดรัจฉานไม่มีสัตว์อสูรจิติญญา ยังต้องใช้การเดินเท้าแทน?” ขณะกำลังเดินอยู่ เสียงแหลมๆ เสียงหนึ่งก็ดังแว่วมา
จ้านอู๋มิ่งเหลียวกลับไปดู รู้สึกใเล็กน้อย เขาไม่รู้จักผู้ที่กำลังมา เมื่อดูจากพาหนะเทียมสัตว์อสูรแล้วจึงได้เข้าใจ ผู้มาก็คือศิษย์ของสำนักกระบี่ิญญานั่นเอง
“คนผู้นี้นามหวางป้าเหอ เป็ศิษย์ของสำนักกระบี่ิญญาและก็เป็คนของตระกูลหวางในเมืองวันสิ้นโลก ที่นี่คือเมืองวันสิ้นโลก ศิษย์น้องอย่าได้ไปตอแยมันเข้า!” บนใบหน้าต้วนหลิวฉางปรากฏความโกรธเคืองขึ้นวูบหนึ่ง แต่ไม่ได้แสดงออก กลับออกเสียงเตือนจ้านอู๋มิ่ง
ตระกูลหวางในเมืองวันสิ้นโลกก็นับเป็หนึ่งในกลุ่มอำนาจชั้นนำของเมืองวันสิ้นโลก ถึงแม้จะไม่ได้มีอิทธิพลมากเท่าตระกูลหนานกง แต่ในตระกูลก็มีบรรพบุรุษผู้เฒ่าที่เข้าไปอยู่ในรายชื่อของจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นศักดิ์ฐานะในเมืองวันสิ้นโลกจึงสูงส่งไม่ธรรมดา แม้แต่เ้าเมืองวันสิ้นโลกก็ยังต้องเกรงใจตระกูลหวาง จ้านอู๋มิ่งคร้านที่จะไปสนใจอีกฝ่าย รอให้เข้าไปในมหาสมุทรวันสิ้นโลกแล้ว ค่อยให้หมอนี่ทราบว่าหน้าตาของผู้เฒ่าหวางจะเก่งจริงหรือไม่
“พวกเ้าดูสิ พวกนั้นโกรธแล้วแต่ไม่กล้าพูดจาโต้ตอบ สำนักบริบาลเดรัจฉานนี่เป็อย่างไรไปแล้ว ไฉนศิษย์ที่ออกมาจึงขี้ขลาดเพียงนี้ แม้กระทั่งบันดาลโทสะก็ยังมิกล้า” หวางป้าเหอพอเห็นจ้านอู๋มิ่งและต้วนหลิวฉางล้วนไม่พูดจา ผยองลำพองใจยิ่งกว่าเดิม หยุดรถะโบอกบรรดาศิษย์สำนักเดียวกันทางด้านหลัง
“หวางป้าเก๋อจื่อ[1] เ้านี่ให้เกียรติกลับไม่รับจริงๆ!” จ้านอู๋มิ่งหันกลับมาแค่นเสียงเ็าคำหนึ่ง แล้วก็ลงมือชกออกหนึ่งหมัดใส่ท้องน้อยหวางป้าเหอทันที
ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป เมื่อครู่จ้านอู๋มิ่งยังอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว พูดว่าเปลี่ยนแปลงก็แปรเปลี่ยนทันที ระยะห่างระหว่างสองคนก็ไม่ไกลกันมาก รถเทียมสัตว์อสูรหยุดอยู่ตรงหน้าจ้านอู๋มิ่งนี่เอง แสดงให้เห็นว่า้าขวางทางสร้างความอัปยศให้พวกเขา จ้านอู๋มิ่งก้มหน้าก้มตาเดินตลอดเวลา สองก้าวก็มาถึงใต้รถเทียมสัตว์อสูรแล้ว เวลานี้ลงมืออย่างกะทันหัน ชกออกหนึ่งหมัดอันรวดเร็วปานสายฟ้า ไม่มีคำเตือนล่วงหน้า พลันหวางป้าเหอถูกทำร้ายจนงวยงงไปแล้ว
หวางป้าเหอชะล่าใจ นั่นก็คือพลังกายเนื้อของจ้านอู๋มิ่งที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานในระดับขอบเขตเดียวกัน เวลาลงมือไม่จำเป็ต้องใช้พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้แต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่เกิดการกระเพื่อมเปลี่ยนแปลงใดๆ ของคลื่นพลัง ถึงแม้ในใจจะระมัดระวังอย่างยิ่งตลอดเวลา สังเกตคลื่นพลังของจ้านอู๋มิ่งและต้วนหลิวฉางอยู่ตลอดเวลา แต่จ้านอู๋มิ่งลงมือด้วยพลังกายเนื้อล้วนๆ รอจนกระทั่งเวลาที่รู้ตัว หมัดก็มาถึง่เอวและท้องมันแล้ว พลังโจมตีอันรุนแรงมหาศาลกระแทกร่างหวางป้าเหอกระเด็นลอยออกไปกว่าสิบวา ตีลังกาบนพื้นหลายตลบจึงหยุดลง
“อัก…” หวางป้าเหอกระอักโลหิตออกมาคำใหญ่ หมัดนี้แทบจะทำลายอวัยวะภายในพังพินาศย่อยยับ มันไม่รู้ว่าจ้านอู๋มิ่งยั้งมือไว้ไมตรีให้แล้ว จ้านอู๋มิ่งยังไม่้าตอแยตระกูลหวางของเมืองวันสิ้นโลกจนบันดาลโทสะขึ้นมา ถึงแม้จะมีเยว่หลิงซานคอยปกป้องอยู่ด้านหลัง แต่เช่นคำกล่าวที่ว่าัเข้มแข็งมิรังแกงูเ้าถิ่น หากเป็การทะเลาะวิวาทของพวกเด็กๆ ตระกูลหวางก็คงมิกล้าเกิดความขัดแย้งกับสำนักบริบาลเดรัจฉานเพราะเื่เล็กน้อยนี้
หวางป้าเหอโกรธแล้ว กำลังคิดจะลุกขึ้น เท้าใหญ่ข้างหนึ่งก็เหยียบลงบนศีรษะอย่างรุนแรง ใต้ฝ่าเท้ายังมีดินโคลน คอยลูบไล้ถูไถบนใบหน้า เขาไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้ พลังของเท้าหนักหน่วงดุจดั่งมหาบรรพตลูกหนึ่งก็มิปาน ใบหน้าของมันกำลังรองรับส่วนปลายของยอดเขานั้นอยู่ หากยอดเขานั้นขยับ มหาบรรพตก็จะกดทับลงมาทันที ดังนั้นมันจึงไม่กล้าขยับเคลื่อนไหวอีก
“เ้าเรียกว่าหวางป้าเก๋อใช่หรือไม่? ตั้งชื่ออะไรไม่ดีเช่นนี้ อย่าได้คิดว่าหวางป้าเก๋อแข็งมากก็สามารถจะออกมาเห่าหอนไปทั่วได้ เดิมทีพี่ชายมีอารมณ์อันสุนทรียิ่งนักคิดจะออกมาเดินเล่นช้าๆ ในฤดูกาลที่เหล่ามวลบุปผาบานสะพรั่งสวยงามเช่นนี้ ยังเตรียมที่จะแต่งโคลงกลอนสักหลายบท แต่กลับถูกเ้าขัดจังหวะจนแรงบันดาลใจสะดุดลง เ้าว่าพี่ชายควรจะจัดการกับเ้าเช่นไรจึงจะดีเล่า?”
“ปล่อยคุณชายของพวกเรา!” บ่าวทาสตระกูลหวางที่ขับรถอยู่หน้ารถเทียมสัตว์อสูรร้อนใจขึ้นมาแล้ว เมื่อครู่นี้เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป พวกมันคิดไม่ถึงว่าในเมืองวันสิ้นโลกกลับมีคนกล้าลงมือกับคุณชายของตน ถึงแม้พวกมันก็เป็ราชันาเช่นกัน แต่ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกับศิษย์อัจฉริยะของสำนักเหล่านี้ เมื่อครู่ต่อให้พวกมันลงมือก็ไม่สามารถรวดเร็วเท่าจ้านอู๋มิ่ง ั้แ่เริ่มลงมือจนถึงวางเท้าเหยียบลงบนใบหน้าของหวางป้าเหอ ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น แทบจะเป็เวลาเดียวกับที่หวางป้าเหอร่วงลงบนพื้น จ้านอู๋มิ่งก็มาถึงเบื้องหน้าแล้ว ดังนั้นเวลานี้สิ่งที่พวกมันสามารถทำได้ก็คือ หวังว่าคนผู้นี้อย่าได้ทำร้ายคุณชายจนาเ็จริงๆ เท่านั้นแล้ว
“บ่าวทาสน้อยๆ ผู้หนึ่ง ที่นี่ไม่มีที่ให้เ้าพูดจา!” จ้านอู๋มิ่งถลึงตาคราหนึ่ง หันกลับมามองใบหน้าหวางป้าเหอ ถามเสียงเรียบว่า “พี่ชาย เมื่อครู่ได้ยินเ้าพูดเตือนขึ้น รู้สึกว่าเดินเท้าจนเมื่อยขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ คิดจะยืมรถเทียมสัตว์อสูรของเ้าแทนเดินด้วยเท้า เ้าว่าดีหรือไม่?”
“เ้า…” หวางป้าเหอกำลังคิดจะก่นด่าด้วยโทสะ ทันใดนั้นได้ยินเสียงลั่นดังกึกๆ ของกรามทั้งสองข้าง ขอเพียงเท้าข้างนี้เพิ่มแรงอีกเพียงเล็กน้อย ขากรรไกรของมันก็จะแตกสลายทันที หวางป้าเหอใอย่างใหญ่หลวง สำนึกเสียใจยิ่ง ไม่มีเื่อันใด ทำไมต้องไปแหย่ดาวมฤตยูผู้นี้ด้วยเล่า! ในสำนักเล่าลือกันว่า แม้แต่จักรพรรดิาสองคนของตระกูลหนานกงที่ไล่ล่าตามเขาก็ยังหายสาบสูญไปแล้ว เสียดายที่สำนึกเสียใจตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว
“มีความเห็นหรือไม่?” น้ำเสียงจ้านอู๋มิ่งเย็นเยียบกว่าเดิมแล้ว
“ไม่…” หวางป้าเหอโกรธนัก ต้องมาอับอายขายหน้าต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ ต่อไปไหนเลยจะเงยหน้า ลืมตาอ้าปากต่อหน้าองค์หญิงเชียนเชียนได้อีก เห็นชัดว่าจ้านอู๋มิ่งฐานบ่มเพาะแค่ปรมาจารย์นักยุทธ์ ตนเองกลับหลบหมัดนี้ไม่พ้น ตอนนี้ยังมิอาจไม่มอบรถเทียมสัตว์อสูรให้จ้านอู๋มิ่ง ชีวิตน้อยๆ สำคัญมากกว่า
“ได้ยินคุณชายของบ้านเ้าพูดหรือยัง? ยังไม่ไสหัวลงจากรถอีก” จ้านอู๋มิ่งตวาดใส่บ่าวทาสคนขับรถของตระกูลหวางคำหนึ่ง
คนขับรถสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย กลับไม่กล้าขึ้นเสียง หากทำให้คุณชายได้รับาเ็เพราะตน กลับถึงตระกูลหวางมีแต่ตายสถานเดียว ได้แต่เพียงลงจากรถด้วยความโมโห
“ศิษย์พี่ ข้าผู้นี้เกียจคร้านจนเคยตัวแล้ว หน้าที่ขับรถก็มอบให้ท่านก็แล้วกัน” จ้านอู๋มิ่งหันไปพูดกับต้วนหลิวฉาง
ต้วนหลิวฉางก็ใไปแล้ว เขาคาดมิถึงว่าจ้านอู๋มิ่งจะลงมือรวดเร็วขนาดนี้ และไม่มีการเตือนล่วงหน้าใดๆ ทั้งสิ้น ตอนนี้เขาเชื่อแล้วจริงๆ ว่าศิษย์น้องเล็กตรงหน้าผู้นี้เป็คนขวัญกล้าบ้าบิ่นอย่างไม่อินังขังขอบต่อเื่ใดๆ เื่ราวมาถึงขั้นนี้ก็ได้แต่คล้อยตามสถานการณ์ ทำหน้าที่คนขับรถ ผู้ใดใช้ให้จ้านอู๋มิ่งเป็นักสู้ที่กล้าหาญขนาดนี้เล่า
“พวกเ้าศิษย์สำนักกระบี่ิญญาว่าง่ายดี ทั้งยังชอบช่วยเหลือผู้อื่น รถเทียมสัตว์อสูรคันนี้ข้าจะรับไว้อย่างยินดีแล้ว ขากลับเ้าแวะไปรับที่ตำหนักองค์หญิงเชียนเชียนก็แล้วกัน ตอนนี้อย่าได้ขวางทาง เกิดไม่ระวังชนถูกรถเทียมสัตว์อสูรคันนี้ ข้าเกรงว่าจะไม่มีปัญญาจ่ายรถคืนให้เ้า” พูดจบ จ้านอู๋มิ่งเตะออกเท้าหนึ่งเตะจนหวางป้าเหอลอยไปอยู่ท่ามกลางพุ่มดอกไม้ จากนั้นยกเท้าก้าวขึ้นรถไป
“ย่า…” ต้วนหลิวฉางเองก็รู้สึกว่ามีหน้ามีตา ศิษย์น้องเล็กคนนี้ผยองทระนงได้ประเสริฐนัก ภายใต้สายตาของฝูงชน ศิษย์สำนักกระบี่ิญญาไม่สามารถรับได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว การปล้นเพื่อยืมรถในลักษณะนี้ ช่างอหังการ! พลันเขามีความรู้สึกที่ภาคภูมิใจพุ่งสูงขึ้นมาชนิดหนึ่ง เป็คนต้องทำให้ได้เช่นศิษย์น้องเล็กคนนี้ ดูแล้วขัดตาก็ซัดเลย ยังพูดพล่ามมากมายทำผายลมอันใดเล่า
รถเทียมสัตว์อสูรถูกลากจนเกิดควันสายยาวไปตลอดทาง หวางป้าเหอสีหน้าเขียวคล้ำออกมาจากพุ่มดอกไม้ ภายใต้สายตาแปลกประหลาดของฝูงชน แค้นที่หาช่องบนพื้นสักแห่งมุดเข้าไปไม่ได้ เมื่อครู่เป็ตนที่หยิ่งผยอง ดึงความสนใจให้พวกนี้ดูเื่สนุก เวลานี้เื่สนุกที่พวกมันดูกลับเป็ตนเอง ตัวเอกกลับกลายเป็จ้านอู๋มิ่งไป มันแอบลอบสาบานในใจ ครั้งนี้จะต้องไม่ให้จ้านอู๋มิ่งมีชีวิตรอดไปจากมหาสมุทรวันสิ้นโลกอย่างเด็ดขาด ต่อให้ต้องใช้ยอดฝีมือของตระกูล ก็จะต้องล้างแค้นครั้งนี้ให้ได้ มิฉะนั้นเขาจะไม่มีวันโงหัวในเมืองวันสิ้นโลกได้อีก
……
ณ งานเลี้ยงราตรีขององค์หญิงเชียนเชียน ที่เชิญมาส่วนใหญ่เป็ศิษย์ชั้นยอดแสนโดดเด่นของแต่ละสำนักใหญ่ เนื่องเพราะเื่สถานที่พำนักของคุนเผิง ราชันาชั้นยอดของแต่ละตระกูลและสำนักทั่วใต้หล้าล้วนถูกดึงดูดเข้ามา
ยามนี้งานเลี้ยงราตรีขององค์หญิงเชียนเชียนกลายเป็งานเลี้ยงของเหล่าบรรดาอัจฉริยะไปแล้ว
ตอนที่จ้านอู๋มิ่งนั่งรถมาถึง ตำหนักองค์หญิงเชียนเชียนได้ชุมนุมด้วยชายหนุ่มผู้มีพร์จำนวนมากมายแล้ว ฝูงชนกำลังอยู่ในห้องโถงรับแขกขนาดใหญ่มหึมาห้องหนึ่ง ชื่นชมของสะสมล้ำค่าต่างๆ ขององค์หญิงเชียนเชียน
จ้านอู๋มิ่งมองเห็นห้องโถงรับแขกขนาดใหญ่มหึมาก็รู้สึกตื่นตะลึงมากเช่นกัน กึ่งกลางห้องโถงรับแขกวางไว้ด้วยชั้นหนังสือจำนวนมาก ชั้นหนังสือแต่ละชั้นล้วนวางตำราคัดลายมือชนิดต่างๆ ไว้จนเต็ม ยังมีคัมภีร์เคล็ดวิชาฝึกฌานและเคล็ดวิชาวิทยายุทธ์แปลกพิสดารส่วนหนึ่ง หนังสือม้วนตำราที่ไม่สมบูรณ์มีมากยิ่งกว่า ทำให้ผู้ที่อ่านแล้วต้องอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดไร้สิ้นสุด บนผนังห้องโถงยังแขวนไว้ด้วยภาพวาดและรูปภาพจำนวนมากมาย มีบางส่วนที่เป็ลายมือของผู้มีความเชื่อมั่นนำมา เมื่อมองใกล้ๆ ก็พบว่าทุกจังหวะถูกแฝงเร้นด้วยความลึกลับซับซ้อน จ้านอู๋มิ่งอดไม่ได้ที่จะมององค์หญิงเชียนเชียนด้วยสายตาที่ประเมินใหม่ เขาอ่านบันทึกย่อที่เขียนด้วยลายมือขององค์หญิงเชียนเชียนไปหลายเล่ม และความคิดเห็นบางอย่างที่สรุปไว้ตอนท้ายของหนังสือตำราที่ขาดความสมบูรณ์ ความคิดเห็นเหล่านี้กับบทสรุปในความคิดของจ้านอู๋มิ่งกลับใกล้เคียงกันถึงแปดเก้าส่วนเลยทีเดียว สิ่งนี้ทำให้เขาประเมินองค์หญิงเชียนเชียนผู้ลึกลับนี้สูงขึ้นอีกหลายส่วน คนผู้นี้เป็คนเก่งมากความสามารถผู้หนึ่ง นึกถึงเ้าเมืองวันสิ้นโลกก็เป็หนึ่งในกลุ่มมหาอำนาจอันดับต้นๆ ของกองกำลังหลักแห่งโลกหล้าก็รู้สึกโล่งใจแล้ว มีบิดาที่เป็เ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ บุตรสาวจะแตกต่างได้อย่างไร?
จ้านอู๋มิ่งก็เหมือนเช่นคนอื่นๆ พลิกอ่านตำราหนังสือในห้องนั่งเล่น เขาประหลาดใจที่พบว่าองค์หญิงเชียนเชียนผู้นี้ไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญในศาสตร์การต่อสู้เท่านั้น ตำราที่ขาดความสมบูรณ์ที่นางรวบรวมไว้ยังมี ตำรับโอสถ ตำราค่ายกล ตำราสร้างเครื่องมือต่างๆ เป็ต้น ตำรับตำราขาดความสมบูรณ์เหล่านี้ล้วนมีความคิดเห็นที่เป็ความเห็นส่วนตัวขององค์หญิงเชียนเชียน จะเห็นได้ว่านางต้องตั้งใจอ่านอย่างละเอียดมาก่อน นี่คืออัจฉริยะประเภทใดกัน ถึงกับค้นคว้าหาความรู้ครอบคลุมกว้างขวางถึงเพียงนี้ นอกจากนี้ความสามารถของการหยั่งรู้สูงส่งยิ่งนัก ความสนใจอยากรู้เกี่ยวกับองค์หญิงเชียนเชียนจึงมากยิ่งขึ้นตามลำดับ เขากับต้วนหลิวฉางผู้งมงายคนนั้นแตกต่างกัน เ้าหมอนั่นหลงใหลในศิลปะภาพวาดและการประดิษฐ์ตัวอักษรขององค์หญิงเชียนเชียน เขายังคงสรรเสริญซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยคำยกย่องไม่กี่คำในสมองของเขา ยังมิต้องกล่าวถึงว่าคนผู้นั้นยังเจอเพื่อนร่วมแนวทางเดียวกันอีกหลายคน ในหลายคนนี้ ท่านพูดคำหนึ่งข้าพูดคำหนึ่งล้วนเป็คำกล่าวที่ทำให้ผู้อื่นฟังแล้วชวนให้รู้สึกคลื่นไส้ทั้งสิ้น หลายคนนั้นช่างมีพร์ยิ่งนัก สรรเสริญมาร่วมครึ่งชั่วยามล้วนไม่มีคำพูดที่ซ้ำกันเลยทีเดียว
จ้านอู๋มิ่งรู้สึกชื่นชมความรอบรู้คำศัพท์ของบรรดาพี่ชายพวกนี้จริงๆ สามารถรวบรวมขึ้นมาได้อย่างไร เขาเห็นลักษณะท่าทางของต้วนหลิวฉางแล้วก็โกรธไม่ลงคอ เขาเพียงแต่หวังว่าตนเองจะไม่ได้มาพร้อมกับศิษย์พี่ผู้นี้ น่าขายหน้าเกินไปแล้ว เ้านี่กำลังจะเปลี่ยนจากหลงใหลองค์หญิงเชียนเชียนมาเป็หลงใหลชายผู้ที่พูดจายกย่องไม่มีคำพูดซ้ำไปแล้ว ้าไหว้อาจารย์เพื่อเรียนรู้ถึงวิธีการจะสรรเสริญองค์หญิงเชียนเชียนเช่นไร
จ้านอู๋มิ่งแค้นที่ไม่สามารถเข้าไปเตะคนผู้นั้นเท้าหนึ่งให้กระเด็นออกจากประตูไป นี่ก็ทำให้สำนักบริบาลเดรัจฉานขายหน้าเช่นกัน เ้าบอกว่าเ้ามีคำพูดสละสลวยไม่เพียงพอ เพียงจำคำพูดใจความสำคัญสองสามคำก็พอแล้ว สิ่งที่สำคัญก็คือหัวใจ จะต้องไหว้อาจารย์เรียนรู้คำสรรเสริญผู้คนให้จงได้ ยอดเยี่ยมยิ่งนัก เขาตัดสินใจเด็ดขาด ในอนาคตจะไม่พาคนผู้นี้มาร่วมงานเช่นนี้อีกแล้ว เห็นคนเ่าั้ที่มีท่าทางเสียดายที่พบกันช้าไปหน่อยแล้ว ในที่สุดเขาก็ทราบแล้วว่าไฉนต้วนหลิวฉางถึงคิดว่าตนเองนั้นเ้าสำราญ
“ศิษย์น้อง นี่คือเพื่อนใหม่หลายคนที่ข้าเพิ่งรู้จัก ผู้นี้คือกงซุนฉางเซ่าจากตระกูลกงซุนแห่งเมืองวันสิ้นโลก ผู้นี้คือตงกัวตัวฉิงจากตระกูลตงกัว ผู้นี้คือเถวี่ยหลิวอวิ๋นจากตระกูลเถวี่ยของราชวงศ์ชางเหยียน…”
จ้านอู๋มิ่งแทบจะอดยกมือขึ้นปิดหน้าไม่ได้ ต้วนหลิวฉางยังแนะนำเพื่อนใหม่ที่ไม่เข้าท่าให้ตนรู้จักอย่างตื่นเต้นอีก ล้วนเป็ผู้งมงายหลงใหลขององค์หญิงเชียนเชียนทั้งสิ้น พวกเขาดูเหมือนว่าจะมีหัวข้อเดียวที่พูดกันไม่รู้จักจบสิ้น ที่น่าแปลกก็คือคนเหล่านี้กลับไม่มีความรู้สึกอิจฉาต่อกันแม้แต่น้อย สมองจ้านอู๋มิ่งจำได้เพียงไม่กี่ชื่อเท่านั้นเอง และก็ไม่อาจทำให้ต้วนหลิวฉางต้องเสียหน้าโดยตรง ได้แต่พยักหน้ายิ้มๆ ตามมารยาท ในใจกลับแค้นที่ไม่สามารถเตะต้วนหลิวฉางกระเด็นลอยโด่งกลับไปที่หนึ่งแสนมหาบรรพตโดยตรง
[1] แปลว่าเปลือกแข็ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้