กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว ใคร่ครวญดูแล้ว ก็กดเสียงต่ำพูดว่า “ชางไห่ นับแต่นี้ไป สั่งคนในจวนว่าห้ามออกไปไหนโดยพลการเด็ดขาด หากต้องออกไปซื้อของ ก็ให้ระวังตัวให้มาก” แล้วหันไปบอกฉีเฟิงว่า “ฉีเฟิง เ้ามีคนรู้จักในเมืองหลวง ไปสืบที ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ทั้งสองคำนับ ฉีเฟิงพูดขึ้นมาว่า “ฮูหยินสาม หากในวังหลวงเกิดเื่ขึ้นจริงๆ ทหารของจวนผู้ว่าในเมืองหลวงได้รับราชโองการให้ออกลาดตระเวนเท่านั้น สาเหตุอย่างไรคงไม่มีผู้ใดทราบ”
“ฉีเฟิงพูดถูก” ต้วนชางไห่พูด “วังหลวงออกคำสั่งย้ายค่ายดาบดำเข้าเมืองมา แถมยังเปลี่ยนทหารอารักษ์ขาวังหลวง แสดงว่าในวังหลวงมีหมายจะปิดข่าว ตอนนี้เราคงสืบหาข่าวได้ยาก”
กู้ชิงฮั่นนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “เมืองหลวงจะปิดประตูเมืองหรือ?”
“ตอนนี้ยัง” ฉีเฟิงพูดว่า “แต่ว่าจากสถานการณ์ในตอนนี้ คืนนี้น่าจะเริ่มประกาศใช้กฎอัยการศึก และเมื่อไหร่ก็ตามในเมืองใช้กฎอัยการศึก การปิดประตูเมืองหลวงก็เป็เื่ที่เลี่ยงไม่ได้”
“แต่ว่าอีกสองวันก็จะเคลื่อนขบวนศพของท่านแม่ทัพไปฝังแล้ว หากปิดประตูเมือง เราจะออกนอกเมืองได้อย่างไรเล่า?” กู้ชิงฮั่นพูดอย่างรู้สึกกังวล “การเคลื่อนขบวนศพทำตามฤกษ์ยาม หากคลาดเคลื่อนไป จะกระทบต่อดวงชะตาฮวงจุ้ย แถมยังจะผิดต่อกฎข้อบังคับ ไม่แน่อาจจะมีคนฉวยโอกาสนี้ก่อเื่ได้”
ต้วนชางไห่พูดว่า “ฮูหยินสามวางใจ ประตูเมืองยังอยู่ในมือของค่ายหู่เสิน ผู้บัญชาการของค่ายหู่เสินเคยเป็คนของท่านเหล่าโหวมาก่อน เดี๋ยวข้าจะไปลองถามเขาดู ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม จะต้องเคลื่อนขบวนศพของท่านแม่ทัพออกไปตามกำหนดให้ได้”
กู้ชิงฮั่นตบหน้าอกพร้อมยิ้มบาง “เ้าดูข้าสิร้อนใจจนสับสนไปหมด ท่านผู้บัญชาการเซวียตอนนี้ยังคงเป็ผู้บัญชาการของค่ายหู่เสิน มีเขาอยู่ การเคลื่อนขบวนศพของท่านแม่ทัพก็ไม่น่าจะมีปัญหา” หลังจากนั้นสีหน้าก็แสดงความกังวลขึ้นมาอีกครั้ง “มิน่าทำไมในวังหลวงถึงไม่ส่งคนมาสักที ที่แท้ภายในก็วุ่นวายนี่เอง...!”
หยางหนิงยืนอยู่เฉยๆ ไม่พูดอะไร เมื่อได้ยินบทสนทนาของหลายๆ คนแล้ว ก็รู้ทันทีว่าตอนนี้ในเมืองหลวงไม่ค่อยสงบ
“จริงสิ ฮูหยินสาม ตอนที่เราเดินมา เห็นท่านอู่เซียงโหวกำลังออกไป สีหน้าเขาไม่ค่อยดีเลย แล้วก็... แล้วก็เอาแต่บ่นด่า...!” ต้วนชางไห่หยุดพูด ก่อนจะเบาเสียงลงแล้วพูดว่า “เขาเหมือนจะไม่พอใจท่าน เกิดเื่อะไรขึ้นหรือเปล่า?”
กู้ชิงฮั่นยิ้มแห้ง แล้วพูดว่า “เ้าคิดว่าเขามาเพราะเื่อะไรเล่า? ใครๆ ก็บอกว่ามีพ่อเป็เสือลูกก็ต้องเป็เสือ คำพูดนี้ใช้กับอู่เซียงโหวไม่ได้จริงๆ” เมื่อเห็นว่าหยางหนิงยืนอยู่ข้างๆ จึงยากที่จะพูดออกไป ก่อนจะหันไปพูดกับหยางหนิงว่า “หนิงเอ๋อร์ เ้าไม่ต้องสนใจเื่อื่นนะ จัดการเื่งานศพของท่านแม่ทัพให้เรียบร้อยก่อน เื่อื่นค่อยว่ากัน”
หยางหนิงพยักหน้า รู้ว่าเื่มันเรียงรายกันมาหลายเื่ต่อๆ กัน กู้ชิงฮั่นเองตอนนี้ก็สับสนวุ่นวายใจไม่น้อย
ในเมืองหลวงเกิดการเปลี่ยนแปลง กู้ชิงฮั่นยังต้องไปบอกกับไท่ฟูเหรินอีก เมื่อกู้ชิงฮั่นออกไปแล้ว ต้วนชางไห่ก็สั่งการกับฉีเฟิง ฉีเฟิงรีบออกไปในทันที
“ซื่อจื่อ หากอู่เซียงโหวพูดอะไรที่ท่านไม่ชอบใจ ท่านก็อย่าได้ใส่ใจเลย” ต้วนชางไห่เห็นหยางหนิงเองก็มีสีหน้าที่ไม่ดีเช่นกัน คิดไปเพียงว่าเขาคงทำผิดต่ออู่เซียงโหวมา ก็เลยปลอบใจว่า “อู่เซียงโหวปกติก็ไม่สนใจเื่จุกจิก บางทีพูดจาอะไรมากเกินไปหน่อย... หรือพูดตรงเกินไป”
หยางหนิงยิ้มแปลกๆ แล้วพูดว่า “เขามายกเลิกการแต่งงานน่ะ”
“มันก็เพราะ...!” ต้วนชางไห่ที่กำลังจะพูดปลอบต่อ ต้องชะงักไป แล้วพูดเสียงหลงแทนว่า “อะไรนะ? ยกเลิกงานแต่งงานหรือ? ซื่อจื่อ ท่าน... ท่านล้อเล่นหรือเปล่า?”
หยางหนิงยักไหล่ แล้วพูดว่า “เ้าเห็นว่าข้าล้อเล่นหรืออย่างไร?”
“เป็ไปได้อย่างไร?” ต้วนชางไห่พูดอย่างใว่า “การแต่งงานครั้งนี้ ท่านเหล่าโหวทั้งสองเป็คนกำหนดขึ้น ไม่ว่าจะเป็ท่านองครักษ์เสื้อแพรหรือท่านอู่เซียงโหว ทั้งสองต่างเป็ตระกูลบรรดาศักดิ์ของต้าฉู่ เป็ชนชั้นสูง เมื่อกำหนดการแต่งงานมาแล้ว อย่าว่าแต่บ้านตระกูลใหญ่เลย ต่อให้... เป็คนทั่วไป ก็จะมายกเลิกง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เ้าบอกเองไม่ใช่หรือ อู่เซียงโหวไม่ค่อยสนใจอะไร? เ้าพูดถูก เขาบอกว่า้ายกเลิกงานแต่ง ก็เหมือนการฉีกกระดาษให้ขาดนั่นแหละ”
ดวงตาเสือของต้วนชางไห่แสดงออกถึงความโกรธ มือกำหมัดแน่น พูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวว่า “ศพของท่านแม่ทัพยังไม่ทันได้เคลื่อนขบวนไปฝัง เขา...เขาก็กลับคำสัญญาแล้ว เขายังเห็นองครักษ์เสื้อแพรของเราอยู่ในสายตาอยู่หรือไม่?”
หยางหนิงลูบคางแล้วพูดว่า “เขาบอกว่าตระกูลฉีของเราไม่มีใครที่เป็ลูกผู้ชายที่รับภาระใหญ่ได้ ยังบอกอีกว่า ข้าเป็บ้าแบบนี้ โง่ไร้ความสามารถ ไม่คู่ควรกับคุณหนูของพวกเขา”
ต้วนชางไห่สูดหายใจเข้าลึกๆ น้ำเสียงยังคงเจือไปด้วยความโกรธ “ซูเจินนี่ได้ทีขี่แพะไล่ เขา...!” เขาโกรธจนตัวสั่นไปหมด พูดอะไรไม่ออก
หยางหนิงยกมือตบไปที่ไหล่เขา ยิ้มแล้วพูดว่า “จริงๆ ก็ไม่มีอะไรมากหรือก พ่อเป็อย่างไรลูกก็คงเป็แบบนั้น มีพ่อที่ไม่รักษาคำพูดแบบนี้ ลูกสาวก็คงไม่ได้ดีไปกว่ากันหรอก” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “ท่านอาต้วน ท่านเคยเห็นคุณหนูของพวกเขาไหม หน้าตาเป็ไงบ้าง?”
ต้วนชางไห่กล่าวว่า “ไม่เคยเห็นนะ แต่ว่าอู่เซียงโหว... ซูเจินหน้าตาก็ไม่เลว ฮูหยินของอู่เซียงโหวก็ถือว่าเป็สาวงามคนหนึ่ง ลูกสาวของพวกเขาก็น่าจะหน้าตาใช้ได้” เขาพูดเสียงเข้มๆ ว่า “ซื่อจื่อ เขา้ายกเลิกงานแต่ง ท่านตอบไปว่าอย่างไร?”
“ซานเหนียงบอกว่าต้องเรียนท่านย่าก่อน” หยางหนิงถึงแม้จะไม่พอใจการกระทำของอู่เซียงโหวมาก แต่เขาไม่ได้สนใจการแต่งงานครั้งนี้มากนัก “รอดูว่าท่านย่าจะว่าอย่างไรบ้าง”
ต้วนชางไห่ยังโกรธไม่หาย ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ถึงแม้ซูเจินจะทำอะไรไม่ค่อยได้เื่เท่าไร แต่คิดไม่ถึงว่าเื่ใหญ่แบบนี้ คิดจะกลับลำก็กลับลำเลย ใจคนยากแท้หยั่งถึงจริงๆ คิดถึงเมื่อหลายปีก่อน...” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ก็ลังเล แล้วก็ไม่พูดต่อ
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอาต้วนรู้จักซูเจินดีงั้นหรือ? ข้าไม่ค่อยรู้จักว่าที่พ่อตาของข้าคนนี้เท่าไรเลย”
ต้วนชางไห่รู้ดีว่าแต่ก่อนซื่อจื่อจะมึนๆ งงๆ หน่อย ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นปัญญาอ่อน แต่สมองก็ไม่ค่อยจะเต็มเท่าไร แต่ว่าตอนนี้ถูกกระทบกระเทือนจนฉลาดขึ้นมา เริ่มรู้เื่ราวอะไรมากขึ้น เขาลังเล แล้วพูดว่า “ตอนที่ซูเจินยังเป็หนุ่มเ้าสำราญคนหนึ่ง ท่องเที่ยวเริงนารีไปทั่ว อู่เซียงโหวอยู่นอกเมืองหลายปี ไม่ได้ดูแลสั่งสอนให้ดี...!”
หยางหนิงทนไม่ได้ต้องด่าในใจ ก่อนหน้านี้ซูเจินวางมาดเป็คนดีด่าฉีหนิงว่าเป็พวกไม่เอาอ่าว แต่ตอนนี้ เขาเองก็เป็แบบนั้นมาก่อน
“ตอนงานแต่งของท่านสาม ซูเจินก็มาร่วมงานเลี้ยง ยัง...!” ต้วนชางไห่ยกหมัดขึ้นมา แล้วส่ายหัวแล้วพูดว่า “เื่มันผ่านไปแล้ว ช่างมันเถอะ”
หยางหนิงยังคงอยากรู้ ก็เลยถามไปว่า “ท่านอาต้วน เกิดอะไรขึ้น? อย่าบอกนะว่าซูเจินก่อเื่ในงานของท่านอาสาม?”
ต้วนชางไห่ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อพูดถูกแล้ว งานแต่งงานในครั้งนั้น ซูเจินกับคุณชายสองสามคนแอบไปที่ห้องหอ ให้เหตุผลว่าจะมาก่อกวนห้องหอ พูดเอาง่ายๆ แบบนั้น จนกระทั่งท่านสามพาคนมาถึง...!” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ต้วนชางไห่ก็ยิ้มแปลกๆ “เมื่อท่านสามมาถึง ซูเจินก็เืนองเต็มตัว จากนั้นก็สลบไป”
“ห้ะ?” หยางหนิงรู้สึกสนใจมาก เมื่อได้ยินว่าซูเจินซวยก็รู้สึกยินดีมาก “เกิดอะไรขึ้น?”
ต้วนชางไห่หันไปมองรอบๆ แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “ซื่อจื่อรู้แล้ว อย่าไปบอกใครนะ ถึงแม้จะมีคนรู้พอสมควรแล้ว แต่เื่นี้ไม่มีใครพูดแล้ว” เขาหยุดไป ยิ้มแล้วพูดว่า “ถึงแม้ไม่เห็น แต่คาดว่า นิสัยหื่นกามของซูเจินคงไม่เปลี่ยน คิดอยากจะใช้ห้องหอในการย่ำยีฮูหยินสาม แต่กลับถูกฮูหยินสามใช้กรรไกรแทงไปที่ขา ถึงแม้ซูเจินจะเป็ลูกชายคนโตของเมียแต่ง แต่ไม่มีเชื้อความกล้าหาญองอาจของท่านไปเลย สลบคาที่”
หยางหนิงหัวเราะร่าออกมา ตอนนี้ถึงได้เข้าใจ ว่าทำไมตอนที่อู่เซียงโหวซูเจินเห็นกู้ชิงฮั่นแล้ว ถึงได้มีอาการหวาดกลัวแบบนั้น ที่แท้มีความหลังกันนี่เอง
เมื่อคิดถึงใบหน้าที่สวยงามอ่อนโยน แต่ลงมือเหี้ยมโหดเด็ดขาด ก็อดที่จะยิ้มไม่ได้
“ถึงแม้ซูเจินจะทำเื่ไร้ศีลธรรมไปหน่อย แต่เื่การยกเลิกงานแต่งงานโดยพลการนั้น ข้าน้อยคิดไม่ถึงจริงๆ” ต้วนชางไห่ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “คนๆ นี้ใจร้อน้าเห็นความสำเร็จในทันที แม้ท่านเหล่าโหวซูเป็วีรบุรุษที่รักษาคำพูดแค่ไหน คิดไม่ถึงเลยว่า...!” แล้วเขาก็ส่ายหัว “หลังจากที่ซูเจินรับสืบทอดตำแหน่งของอู่เซียงโหว ชื่อเสียงก็ไม่เหมือนเดิมอีก เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนพูดถึงสี่ตระกูลบรรดาศักดิ์ใหญ่ ก็จะแอบพูดลับหลังว่าอู่เซียงโหวเทียบไม่ได้เลยกับโหวอีกสามท่าน แต่ท่านแม่ทัพก็ไม่ได้รังเกียจเลย ยังคงรักษาคำสัญญาการแต่งงานเอาไว้”
“ท่านอาต้วน ซูเจินมายกเลิกงานแต่งงานด้วยตัวเอง เหตุผลหลักๆ ก็น่าจะมาจากที่ท่านพ่อสิ้นแล้ว” หยางหนิงค่อยๆ พูด “เขาคิดว่าต่อแต่นี้ไปจวนองครักษ์เสื้อแพรก็จะต้องถดถอย ดังนั้นก็ไม่อยากจะดองญาติกับเรา ฟังจากที่ท่านพูดเกี่ยวกับเื่ที่เขาทำในอดีต การทำเื่แบบนี้ ก็ไม่ใช่เื่แปลกอะไร” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อ “ตอนนี้ข้าแค่รู้สึกแปลกใจว่า เขาเลือกมายกเลิกงานแต่งงานในเวลาแบบนี้ ในเวลาที่ท่านพ่อยังไม่เคลื่อนขบวนศพไปฝัง ตัวเขาก็น่าจะรู้ว่ามันคือการฉีกหน้าเรา หากว่าเขามีสมองอยู่บ้าง ก็ไม่น่าจะทำแบบนี้”
ต้วนชางไห่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อท่านพูดมาแบบนี้ มันก็น่าแปลกจริงๆ ด้วย ถึงแม้ซูเจินจะเป็คนไม่เอาไหน แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ ตามหลักแล้ว ต่อให้อยากจะยกเลิกการแต่งงาน ก็ควรจะรออีกสักระยะหนึ่ง แต่กลับเลือกที่จะทำในตอนที่ยังไม่เคลื่อนขบวนศพท่านแม่ทัพไปฝัง มันต้องมีเื้ัอะไรแน่ๆ”
หยางหนิงหันไป แล้วพูดใกล้ๆ ต้วนชางไห่ว่า “ท่านอาต้วน ท่านว่ามันจะมีอะไรซ่อนอยู่เื้ัไหม? ข้ารู้สึกว่าเื่การยกเลิกงานแต่งนี่ซูเจินน่าจะไม่ได้ตัดสินใจคนเดียวแน่ๆ”
ต้วนชางไห่คิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เื่แบบนี้ เราเดาไม่ได้หรอก” จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วพูดอีกว่า “แต่ว่าหากว่าการแต่งงานถูกยกเลิกจริง ชื่อเสียงของจวนองครักษ์เสื้อแพรของเราก็จะยิ่งตกต่ำลงไปอีก”
“การยกเลิกงานแต่งในครั้งนี้ ฝ่ายที่ชื่อเสียงตกต่ำเป็พวกเขา” หยางหนิงยิ้มแห้ง “ไม่รักษาคำพูด ชื่อเสียงของอู่เซียงโหวคงเหม็นเน่าไปอีกนาน”
“ซื่อจื่อ ท่านไม่เข้าใจ” ต้วนชางไห่ยิ้มแฝงไปด้วยความเ็ปแล้วพูดว่า “ตอนนี้จวนองครักษ์เสื้อแพรของเรากำลังลำบาก หลายๆ คนกำลังจับตาดูเราอยู่ ตระกูลซูยกเลิกงานแต่งงาน ถึงแม้พวกเขาจะเสียชื่อเสียง แต่ชื่อเสียงของจวนองครักษ์เสื้อแพรเองก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ท่านลองคิดดูสิ ตระกูลซูยกเลิกงานแต่งงาน คนนอกที่ไม่รู้อะไร ก็คิดแค่ว่าแม้แต่ตระกูลซูก็ดูถูกเรา ก็จะคิดว่าจวนองครักษ์เสื้อแพรกำลังตกต่ำ หากเป็อย่างนี้ เกรงว่จะมีใครหลายๆ คนที่ได้ทีขี่แพะไล่” เขาพูดเสียงเบาๆ ว่า “คำสัญญาแต่งงานเมื่อถูกยกเลิก ตระกูลซูเสียหน้า ส่วนองครักษ์เสื้อแพรของเราอาจจะเสียมากกว่านั้น”
“เป็อย่างนี้นี่เอง!” หยางหนิงหรี่ตา เหมือนกำลังคิดอะไรสักอย่าง