ชายร่างเล็กเห็นลู่เต้าหันหน้าขวับซ้ายขวา ก็คิดว่าเขากลัวชุดเกราะกระดูกจนคิดจะหนี จึงเอ่ยยั่วโมโห “ตอนนี้อยากหนีก็สายไปแล้ว ข้า...”
ไป๋เสียตัดบทอย่างไม่สบอารมณ์ “หุบปากซะ เ้าสวะ!”
ว่าแล้วก็ยกขลุ่ยสะกดมารขึ้นมาจรดริมฝีปาก ทันใดนั้นดวงตาก็แฝงไปด้วยความดุดันและหมายสังหารทันใด นิ้วทั้งสิบปิดเปิดรูบนขลุ่ยอย่างคล่องแคล่ว เสียงดนตรีแหลมสูงจังหวะเร่งเร้าพลันดังก้อง
ลมพายุพัดพาใบไม้ปลิวว่อน ชายร่างเล็กคิดว่าตัวเองโดนเล่นงานเข้าแล้ว แต่ปรากฏว่านอกจากรู้สึกไม่ค่อยสบายหูแล้ว ก็ไม่ได้รับาเ็แม้แต่น้อย เขาคิดว่าไป๋เสียกำลังเขียนเสือให้วัวกลัว จึงชักมีดกระดูกอาบยาพิษออกมาหมายจะเข้าไปจัดการ
“หือ?” ทันใดนั้นก็มีแรงกดดันมหาศาลแผ่พุ่งมาจากทั่วสารทิศ ชายร่างเล็กก็พบว่าตนไม่อาจขยับตัวได้
ตอนแรกเขาคิดว่าไป๋เสียใช้เสียงขลุ่ยสะกดเขา แต่ไม่นานเขาก็พบว่าตนเองคิดผิด แรงกดดันที่ทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออกค่อยๆ แผ่พุ่งมาจากชุดเกราะกระดูก มันไม่เชื่อฟังคำสั่งของเขาอีกต่อไป แถมยังบีบรัดเข้ามาอีก
ในที่สุดชายร่างเล็กที่หายใจไม่ออกก็เข้าใจ ไป๋เสีย้าใช้ชุดเกราะกระดูกบดขยี้เขา!
ชุดเกราะกระดูกที่เคยปกป้องเขาอย่างแ่า บัดนี้กลับกลายเป็สิ่งที่จะคร่าชีวิตเขา
“เป็ไปไม่ได้...”
ระดับคำสั่งสูงกว่าเขา? ขลุ่ยนั่นต้องมีอะไรบางอย่างแน่!
ชายร่างเล็กตกตะลึง “เ้า... เ้าเป็ใครกันแน่...”
เสียงขลุ่ยหยุดลงทันที ราวกับโลกทั้งใบเงียบสงัด
ไป๋เสียค่อยๆ ลืมตาขึ้น สายตาเ็าสบเข้ากับชายร่างเล็ก อีกฝ่ายรีบรนร้องขอชีวิต “เดี๋ยวก่อน...”
ยังไม่ทันพูดจบ ชายร่างเล็กก็ถูกชุดเกราะกระดูกบีบจนแหลกเละ กระดูกทั่วร่างแหลกสลาย พร้อมกับเสียงกระดูกหักน่าขนลุก
เมื่อชุดเกราะกระดูกสูญเสียแหล่งพลังงาน ก็กลายเป็ผงธุลีปลิวหายไป เหลือไว้เพียงเศษเนื้อและกระดูกกองอยู่บนพื้น ศัสตราวุธิญญาที่เขาสวมอยู่บนนิ้วก็ถูกทำลายไปด้วย
ลู่เต้าที่อยู่ในร่างประจักษ์ต่อเหตุการณ์ทั้งหมดก็รู้สึกคลื่นเหียน แม้ว่าคนที่ไป๋เสียสังหารจะเป็ผู้บงการที่ฆ่าท่านปู่และทุกคน แต่ลึกๆ ในใจเขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
การกระทำที่โเี้ไร้ความปรานีของไป๋เสียทำให้ลู่เต้านึกขึ้นได้อีกครั้ง “เ้านี่... เป็จอมมารจริงๆ ด้วย...”
หลังจากจัดการชายร่างเล็กแล้ว ไป๋เสียก็หันไปตามหาชายร่างสูงต่อ เดิมทีด้วยพลังที่เขามีอยู่เพียงพอที่จะจัดการกับผู้ควบคุมิญญาทั้งสองได้อย่างสบายๆ แต่เขาไม่นึกเลยว่าตนเองจะถูกเมล็ดพันธุ์ปริศนานั้นดูดพลังไปมากมายขนาดนี้
แม้แต่จะรักษาสติ ไป๋เสียก็ยังทำได้อย่างยากลำบาก เขากลัวว่าหลังจากเขาหมดสติไปแล้ว ลู่เต้าจะรับมือปรมาจารย์ฝึกอสูรทั้งสองไม่ไหว เขาจึงรีบเข้ายึดร่างลู่เต้า หมายจะรีบๆ จัดการให้จบ ส่วนชายร่างสูงเห็นท่าไม่ดี จึงแสร้งทำเป็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างทั้งสอง
“หนีไปแล้วหรือ” แม้ว่าไป๋เสียใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว แต่ก็ยังแสร้งทำเป็สงบนิ่ง ราวกับยังมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือ
เขาจงใจใช้วิธีโเี้เช่นนี้จัดการกับชายร่างเล็ก ก็เพื่อเป็การเตือนชายร่างสูง หวังว่าอีกฝ่ายจะยอมล่าถอยออกไป
“น่าตายนัก... เมล็ดพันธุ์นั่นดูดพลังิญญามากเกินไปแล้ว” ไป๋เสียหลับตาลง พยายามััตำแหน่งของอีกฝ่าย แต่ก็ล้มเหลว เพราะร่างกายอ่อนแอเกินไป
ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรงโถมทับเข้ามา ไป๋เสียไม่อาจฝืนต่อไปได้ จึงยอมปล่อยให้สติของลู่เต้ากลับคืนมา
“ฟังนะ เ้าหนู...” ไป๋เสียเอ่ยอย่างอ่อนแรง “เมล็ดพันธุ์นั่นดูดพลังิญญาของข้าไปเกือบหมดแล้ว ข้า้าเวลาในการฟื้นฟู ต่อไปเ้าต้องพึ่งตัวเองแล้ว”
“เอ๋? ท่านไม่เป็ไรนะ” ลู่เต้าเอ่ยถามอย่างเป็ห่วง
บางทีอาจจะเป็เพราะไม่ได้รับความห่วงใยมานาน ไป๋เสียจึงชะงักไปสองวินาทีก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงโมโห “เ้าสนใจตัวเองก็พอแล้ว! ไม่ต้องมาห่วงข้า!”
“ข้าก็แค่หวังดีเท่านั้นเอง...” ลู่เต้าพึมพำ
ไป๋เสียแสร้งทำเป็ไม่ได้ยินแล้วเอ่ยต่อ “ชายร่างสูงนั่นหายไปแล้ว ไม่รู้ว่ากลัวจนหนีไปแล้ว หรือว่าแอบซ่อนตัวรอโอกาสลงมือ”
“ต้องรู้เอาไว้ว่าศัสตราวุธิญญานั้นล้วนเป็ผลึกแห่งความพยายามของบรรพบุรุษ ศัสตราวุธิญญาชั้นเลิศหนึ่งอันสามารถช่วยให้นายของมันผ่าน่เริ่มต้นแห่งการฝึกตนที่อ่อนแอนี้ไปได้อย่างง่ายดาย” ไป๋เสียกล่าวต่อ “ผู้ควบคุมิญญาคนนั้น คงสนใจขลุ่ยสะกดมารไม่น้อย ภายภาคหน้าอย่าได้ใช้มันต่อหน้าผู้ใดอีก”
เป็อย่างที่ไป๋เสียคาดการณ์ไว้จริงๆ ผู้ควบคุมิญญาร่างสูงนามว่าจางเฟิง ได้หลงใหลขลุ่ยสะกดมารเข้าอย่างจัง
ร่างของเขาแเีไปความมืดมิดเื้ัราวกับเงาร่างหนึ่ง นั่นเป็เพราะเคล็ดวิชา ‘ม่านราตรี’ ของเขา เขามองขลุ่ยสะกดมารในมือลู่เต้าด้วยั์ตาละห้อย “ศัสตราวุธิญญาชิ้นนั้น ข้าจะเอามาให้จงได้!”
จางเฟิงทะลวงจุดชีพจรมาสามปีเต็มแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจเข้าใจเคล็ดวิชาของตัวเองได้ เพราะไม่มีเงินซื้ออาหาริญญาราคาแพง เขาเห็นเพื่อนร่วมรุ่นต่างก็ฝึกฝนได้อย่างราบรื่น บ้างก็เข้าไปในซากโบราณสถานลึกลับเพื่อค้นหาสมบัติ หรือไม่ก็ศัสตราวุธิญญา บ้างก็เข้าไปในดินแดนรกร้างอันตรายเพื่อล่าสัตว์อสูร นำอาหาริญญาหายากมาเสริมพลังให้กับตัวเอง
มีเพียงเขาคนเดียวที่ยังอยู่ที่เดิม จากที่ตามคนอื่นไม่ทัน ก็ค่อยๆ ถูกคนอื่นลืมเลือนไปในที่สุด จางเฟิงที่ปรารถนาจะเรียนรู้เคล็ดวิชาเพื่อสานต่อเส้นทางการฝึกตน จึงเลือกที่จะขายิญญาให้สำนักจันทราฉายที่เป็ลัทธิมนต์ดำ กลายเป็หนึ่งในศิษย์มากมายของ ฝูเหยาเฮ่า
เขาใช้เืและิญญาของภรรยาแลกกับหญ้าเงาต้นหนึ่ง หลังจากที่ทานเข้าไป จางเฟิงก็ปลุกเคล็ดวิชา ‘ม่านราตรี’ ที่ทำให้เขาเป็หนึ่งเดียวกับอันธการ
แม้แต่ศิษย์น้องที่เข้าสำนักหลังเขายังมองตนด้วยหางตา เพราะเขามีเพียงเคล็ดวิชาไร้ประโยชน์เช่นนี้ แถมยังพูดจาไม่รู้จักผู้ใหญ่ เพียงเพราะมีแหวนอยู่หนึ่งวง
เดิมทีเขาคิดว่าลู่เต้าที่เอาชนะเงากวนอิมที่มีระดับพลังเทียบเท่าผู้ฝึกตนหนึ่งดาราได้ คงจะไม่ใช่คนธรรมดาแน่ จึงให้ศิษย์น้องเข้าไปหาเื่ก่อน หมายจะฉวยโอกาสเข้าไปช่วยเหลือเพื่อกู้หน้า
ไม่นึกเลยว่าศิษย์น้องสารเลวนั่นจะโดนศัสตราวุธิญญาในมือลู่เต้าสังหารได้อย่างง่ายดาย!
“ศัสตราวุธิญญาชิ้นนั้น... ข้าจะเอามาให้จงได้” จางเฟิงยิ้มเยาะ ก่อนที่ร่างจะเลือนหายไปกับความมืด
ภาพศิษย์น้องถูกฆ่าตายยังคงติดตา แม้ว่าจางเฟิงจะอยากได้ขลุ่ยสะกดมารมากเพียงไหน เขาก็ไม่กล้าลงมือกับลู่เต้าโดยตรง นั่นหมายความว่าความพยายามครั้งสุดท้ายของไป๋เสียไม่ได้สูญเปล่า
จางเฟิงวางแผนรักษาระยะห่างกับลู่เต้า คอยสะกดรอยตามอย่างลับๆ จับตาดูทุกการกระทำของลู่เต้าจากเื้ั รอจังหวะที่เขาเผลอแล้วค่อยลงมือสังหาร
หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาครึ่งค่อนวัน ในที่สุดลู่เต้าก็เดินลึกเข้าไปในป่าผีคร่ำครวญตามคาราวานที่มาซื้อของป่าจากหมู่บ้านเมฆาขาวเคยเล่าไว้ได้ ขอแค่ผ่านป่านี้ไป ก็จะถึงเมืองัทมิฬแล้ว
แต่พอเดินไปเรื่อยๆ ลู่เต้าก็ยิ่งรู้สึกแปลก
“ทำไมระหว่างทางถึงมีลมเย็นชวนวังเวงเช่นนี้เล่า” ลู่เต้าถามอย่างไม่สบายใจ “ไป๋เสีย ท่านว่าที่นี่จะมีผีหรือไม่”
“ข้าไม่รู้ ทำไมเ้าไม่ลองถามคนที่อยู่ข้างหลังเ้าดูเล่า” ไป๋เสียเอ่ยด้วยท่าทีไม่ยี่หระ
ลู่เต้าเบิกตากว้าง “???”
ทันใดนั้น กลิ่นฉุนจมูกก็ทะลักเข้าโพรงจมูกลู่เต้าจนเขาอดขมวดคิ้วไม่ได้ เขาเคยได้กลิ่นนี้ตอนอยู่บนเขายักษามาบ้าง
เป็กลิ่นเหม็นเน่าของศพ
กลิ่นนี้จะดึงดูดแมลงวันเข้ามา ยิ่งกลิ่นศพรุนแรงมากเท่าไร แมลงวันก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เสียงกระพือปีกของแมลงวันจำนวนมากดังประสานกัน ฟังดูวุ่นวายและน่ารำคาญยิ่งนัก
ลู่เต้าฝืนทนกลิ่นเหม็น แหวกหญ้าฟันเลื่อยที่ขึ้นรกชัฏออก พลันสะดุ้งกับภาพเบื้องหน้าที่ราวกับโลกันตนรก
ที่แท้ผู้ควบคุมิญญาทั้งสองคนได้ตั้งแท่นบูชาไว้ที่นี่ บนแท่นบูชาประดิษฐานรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมที่แกะสลักจากหินสูงถึงหนึ่งจั้ง
ใบหน้าของรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมสีดำบิดเบี้ยวน่าเกลียดน่ากลัว ตัดกับใบหน้าที่อ่อนโยนของรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมโดยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
ศพไร้หัวนับไม่ถ้วนถูกวางเรียงรายอยู่ใต้รูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมสีดำอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย เสมือนว่ามันเป็เครื่องเซ่นไหว้ และเพราะเสียชีวิตมานานแล้ว ศพเหล่านี้จึงเน่าส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว ดึงดูดแมลงวันให้บินมาตอมมากมาย
“ที่แท้เงากวนอิมก็เกิดขึ้นที่นี่เอง” ในที่สุดลู่เต้าก็เข้าใจ
เงากวนอิมถูกหลอมขึ้นมาจากิญญาของผู้ตกเป็เหยื่อที่น่าสงสารเหล่านี้
เขามองศพไร้หัวทีละศพด้วยความสลดใจ ฉับพลันนั้น รอยสักบนแขนของศพร่างหนึ่งก็ดึงดูดสายตาของเขา เขาที่ไม่สนใจกลิ่นเหม็นนี้แล้ววิ่งไปตรวจสอบ ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา “นี่...”
เพื่อพิสูจน์ว่าตนเองคิดผิด ลู่เต้าจึงตรวจดูศพที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง พบว่าบนแขนของพวกเขาล้วนมีรอยสักัทมิฬเหมือนกัน
“พวกเขาคือ...” ลู่เต้าเอ่ยด้วยความเศร้าโศก “คนที่คอยเล่าให้ข้าฟังว่าโลกภายนอกนั้นวิเศษเพียงใด...”
“กองคาราวานเมืองัทมิฬ...”
