ความเงียบเข้าปกคลุม เมฆสีขาวลอยเอื่อยๆ อยู่บนท้องฟ้าสีคราม
ปลายสะพานหิน
ร่างของซุนเฟยตั้งตระหง่านเหมือนหอก มีดสั้นสีทองอยู่ในมือขวา บนแขนซ้ายมีโล่ขอบแหลมแขวนอยู่และมือซ้ายก็ถือหัวของนักรบสามดาวแรนดุ๊กที่ถูกเขาตัดหัว หยดเืไหลลงบนสะพาน หลงเหลือไว้เพียงรอยเื...
ด้านหลังซุนเฟยเป็ร่างไร้หัวของแรนดุ๊ก เืพุ่งทะยานขึ้นฟ้าประหนึ่งน้ำพุ ดาบยาวในมือเขาร่วงลงพื้นจนเกิดเสียงดัง ‘เคร้ง’ ก่อนหน้านั้นร่างนี้ยังเปี่ยมไปด้วยพลังมหาศาล แต่ตอนนี้ค่อยๆ เอนล้มไปด้านหน้าเหมือนท่อนไม้ผุๆ ท่อนหนึ่งอย่างช้าๆ
นักรบสามดาวไม่มีอีกต่อไปแล้ว เหลือเพียงร่างไร้หัวเท่านั้น
หัวของแรนดุ๊กที่อยู่ในมือ ดวงตายังคงเบิกโพลงราวกับเขายังไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น รอยยิ้มตรงมุมปากแข็งค้าง ประกายชีวิตในดวงตาสูญหายไป
ในตอนที่ยังมีชีวิตนั้น นักรบสามดาวเป็บุคคลสง่าผ่าเผยและไร้พ่าย
แต่พอตาย เขาก็ไม่แตกต่างอะไรกับสุนัขตัวหนึ่งเลย
ดวงตาของซุนเฟยเป็ประกายเย็นเยียบ เขาก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว จังหวะการก้าวเดินของเขาเบาอย่างมาก แต่ทุกครั้งที่เขาก้าวเข้ามาข้างหน้าหนึ่งก้าว ทหารเกราะดำฝ่ายศัตรูที่ตกอยู่ในอาการตื่นใและหวาดกลัวต่างพากันถอยหลังไปหลายสิบก้าวอย่างหวาดผวา...
ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา ไม่มีแม้แต่สายตาเย็นะเื
ซุนเฟยก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างเงียบๆ
เขาไม่ได้มองไปที่ศัตรูนับร้อยนับพันที่อยู่ข้างหน้าเขา แต่มองข้ามกลุ่มทหารเกราะดำที่กำลังหวาดกลัวเหมือนสุนัขจรจัด เขามองไปยังกลุ่มหมอกสีดำที่อยู่ตรงปลายสะพานนั่น พลังเวทอันทรงพลังที่แผ่ออกมาจากในหมอกสีดำนั้น มันทำให้ซุนเฟยรู้สึกว่าอันตรายที่อยู่ในความคิดเขา ยิ่งนานยิ่งรุนแรง
“จะจัดการกับนักเวทอย่างไรดี?”
ในใจของซุนเฟยครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว
การต่อสู้เมื่อครู่นี้ ตอนลงมือสังหารแรนดุ๊กอาจดูเหมือนง่าย แต่สำหรับเขามันไม่ง่ายเลย
ตอนแรกที่เปลี่ยนเป็ ‘โหมดจอมเวท’ ก็ใช้ทักษะจอมเวทที่มีเพียงสามทักษะในปัจจุบันให้เกิดประโยชน์สูงสุด ใช้ ‘ะุเพลิง’ ดึงดูดความสนใจของคู่ต่อสู้ให้ไขว้เขว ตามด้วยใช้ ‘ะุพลังงาน’ ที่มีคุณสมบัติพิเศษทำให้เส้นประสาทในร่างของคู่ต่อสู้เป็อัมพาต รบกวนการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ และปิดท้ายด้วย ‘ะุน้ำแข็ง’ แช่แข็งร่าง ทำให้ทักษะการตอบสนองของคู่ต่อสู้ชะงักลง ขั้นตอนทั้งหมดเขาคำนวณมาเป็อย่างดีและแม่นยำ เวลาหนึ่งนาทีหนึ่งวินาทีถือว่าไม่เลวเลยสำหรับการสังหารนักรบสามดาวแรนดุ๊ก
ถ้าพูดในแง่ของพลังที่แท้จริง ซุนเฟยในตอนนี้เทียบไม่ได้กับแรนดุ๊ก แต่ด้วยทักษะที่น่าทึ่งทุกอย่างของตัวละครในโลก Diablo บวกกับการจู่โจมทีเผลอของซุนเฟย ทำให้ประสบความสำเร็จในการจัดการกับนักรบสามดาวแรนดุ๊ก
แต่ร่างเงาที่ปกคลุมด้วยหมอกสีดำตรงปลายสะพานนั่น เห็นได้ชัดว่ามีพลังเหนือกว่านักรบสามดาวแรนดุ๊ก บวกกับการต่อสู้ก่อนหน้านั้น ไพ่ตายของเขาก็ถูกใช้ออกไปไม่น้อย และคงถูกนักเวทคนนั้นมองออก หากใช้ทักษะพิเศษของตัวละครในโลก Diablo อีกครั้งคงทำไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายคงเตรียมการป้องกันไว้แล้ว และด้วยช่องว่างด้านพลังระหว่างพวกเขา แม้ว่าแผนที่วางไว้จะดีแค่ไหนมันก็เป็ได้แค่คว้าดวงจันทร์ในน้ำ1เท่านั้น
ความคิดมากมายผุดขึ้นมาในหัวซุนเฟยไม่หยุด ทว่าเท้าก็ก้าวเดินไปด้านหน้าไม่หยุดเช่นกัน
เขาก้าวไปด้านหน้าทีละก้าว ทหารเกราะดำฝั่งตรงข้ามก็เหมือนกับหนูที่กำลังเผชิญหน้ากับสิงโต พวกเขาถอยหลังไปหลายก้าวอย่างควบคุมไม่ได้ แม้แต่ความกล้าที่พวกเขาจะมองหน้าซุนเฟยยังมีแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์ ผลการต่อสู้ที่ไม่น่าเชื่อของปีศาจกระหายเืก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะในระหว่างกำลังบั่นหัวนักรบสามดาวแรนดุ๊กเมื่อครู่ เขาก็พลันแสยะยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว ทำให้ความกล้าที่จะต่อสู้ของทหารกลุ่มนี้หายไป
ติ๋ง ติ๋ง
หยดเืสีแดงที่กระเซ็นออกมาขณะที่บั่นคอแรนดุ๊ก สาดไปที่หมวกเหล็กของซุนเฟยและมันค่อยๆ ไหลลงไป ตลอดทางที่ซุนเฟยผ่านก็จะมีรอยเืไหลเป็ทางอย่างน่าสยดสยอง เขาเดินเหมือนกับกำลังเดินเล่นอยู่ตามทุ่งนา แม้จะไม่แผ่พลังใดๆ ออกมา แต่ก็ทำให้ทหารเกราะดำหวาดกลัวและถอยไปด้านหลังไม่หยุด ความเร็วที่พวกเขาถอยนั้นเร็วมากจนหลังของพวกเขาเสียบเข้ากับดาบเหล็กที่อยู่ด้านหลัง แต่ก็ไม่อาจยับยั้งให้พวกเขาหยุดถอยหลังได้ มีทหารเกราะดำบางส่วนที่ดวงตาเริ่มแดงก่ำและใช้ดาบฆ่าสหายตัวเองเพื่อที่จะหลบหนีออกไป...
“ว้ากกกก...พลธนู ยิงมันให้ตาย! รีบยิงมันให้ตายเร็ว!”
ชายหน้ากากเงินที่เห็นนักรบสามดาวแรนดุ๊กถูก ‘อสุรกายเกราะเหล็ก’ บั่นคอก็พลันหน้ามืดไปชั่วขณะ ก่อนจะแหกปากร้องเสียงแหลมขึ้นมา ยิ่งมองไปที่ช่องว่างที่กว้างราวๆ สิบหกสิบเจ็ดเมตรบนสะพาน ชายหน้ากากเงินก็รู้สึกอึดอัดจนแทบอยากจะร้องไห้ รู้สึกหนาวเย็นในใจ เขารู้ว่าเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วเขาไม่อาจทำาต่อไปได้ เมืองแซมบอร์ดในตอนนี้เป็เมืองที่ไม่สามารถเอาชนะได้แล้ว ในความคิดของชายหน้ากากเงิน เขามีวิธีการเป็พันหมื่นวิธีที่จะโจมตีเมืองแซมบอร์ดอย่างง่ายดาย ทว่า แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมในตอนสุดท้ายเขาถึงได้แพ้ยับเยินแบบนี้ เขาถามตัวเองซ้ำๆ ว่าแผนการที่เขาเลือกใช้มีจุดไหนที่เลินเล่อไปหรือเปล่า เขามั่นใจเลยว่าเขาไม่เคยประมาทต่อภูมิประเทศของศัตรู...แต่ว่า เขากลับพ่ายแพ้ พ่ายแพ้อย่างยับเยิน สูญเสียอย่างหนัก
มองไปบนสะพานเห็นศัตรูก้าวเข้ามาอย่างช้าๆ ทีละก้าวโดยที่ไม่มีใครกล้าไปขวาง ทำให้ชายหน้ากากเงินพลันฉุดคิดขึ้นมา ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าแล้วตนเองมองข้ามอะไรไปในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาไม่เคยคิดเลยว่าพลังของาาฝ่ายศัตรูจะพัฒนาได้ไว้ขนาดนี้ เมื่อวานพลังของมันยังทำได้แค่ทำให้นักรบสามดาวแรนดุ๊กล่าถอยไปได้เท่านั้น แต่พอมาวันนี้ เขากลับสามารถสังหารนักรบสามดาวท่ามกลางทหารชั้นยอดได้ด้วยการบั่นคอแรนดุ๊กเพียงครั้งเดียว
แค่วันเดียวสามารถพัฒนาพลังจากหนึ่งดาวไปถึงสามดาวได้หรือ?
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ กลายเป็ว่านี่เป็สิ่งที่ทำให้มันเอาชนะวิกฤตินี้ไปได้ แผนการที่วางไว้ก่อนหน้านี้ของชายหน้ากากเงินกลับกลายเป็ช่วยเพิ่มพลังให้กับศัตรู...ไม่อย่างนั้น เขาจะต่อสู้กับกองทัพเกราะดำบนสะพานหินแคบๆ นั่นได้อย่างไร?
แต่ทำไมมันถึงทำได้?
หรือว่า...มันสามารถเลื่อนพลังได้สองระดับภายในหนึ่งวันได้?
ใบหน้าของชายหน้ากากเงินเริ่มขมวดคิ้ว เขาใกับความคาดเดาของตัวเอง ถ้าเป็แบบนั้นจริงๆ ไอ้หมอนั้นมันเป็ตัวอะไรกันแน่? หรือว่ามันจะเป็เทพลงมาจุติ?
“ไม่มีทาง คนแบบนี้ไม่น่าจะอยู่บนโลกนี้ ไม่อย่างนั้น...”
เมื่อคิดว่าศัตรูคนนี้หากเติบโตขึ้นมาคงกลายเป็หายนะครั้งใหญ่อย่างแน่นอน ชายหน้ากากเงินพลันเหงื่อท่วมตัว ความกลัวปรากฏขึ้นมาในใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เขาไม่สนใจกับคำขอให้ไว้ชีวิตมันของชายชุดคลุมสีดำที่เอ่ยกับเขาก่อนหน้านี้ เขาะโด้วยความหวาดกลัว สั่งให้พลธนูเจาะเกราะที่อยู่ห่างออกไประดมยิง “ถ่ายทอดคำสั่งข้าไป พลธนูรีบยิงมันเสีย...สังหารมันให้ข้า เร็ว...เร็ว เร็ว เร็ว! เดี๋ยวนี้!”
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!
บางที นี่อาจจะเป็คำสั่งเดียวของชายหน้ากากเงินในวันนี้ที่ออกคำสั่งได้ทันต่อเหตุการณ์และเป็ประโยชน์ครั้งแรก ภายใต้คำสั่งของเขา ธนูนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา ลอยอยู่กลางอากาศ เสียงสั่นไหวเบาๆ ดังขึ้น ธนูเจาะเกราะหนักที่มีขนนกสีขาวและลูกศรเหล็กสีดำพุ่งออกมา มีเสียงแหลมๆ อยู่ในอากาศราวกับเสียงดูดเืของปลิงที่หิวโหย เงามืดสีดำปกคลุมไปทั่วฟ้า พุ่งทะยานเข้ามาที่สะพาน
“สมควรตาย!”
เห็นฉากนี้ ชายชุดดำลึกลับที่อยู่ในหมอกดำบนปลายสะพานเงยหน้าขึ้นมองพลางสถบด่าอย่างโมโห ทีแรกเขาอยากจะจับมันเป็ๆ เพื่อเค้นถามถึงความลับที่มีพลังที่แตกต่างกันได้ แต่ด้วยฝนธนูเจาะเกราะหนักนี้ เกรงว่าต่อให้เ้านั่นสวมเกราะเหล็กไว้ทั่วร่าง แต่คงไม่อาจรอดชีวิตไปได้
บนสะพาน
ซุนเฟยเงยหน้ามอง เขาเห็นฝนธนูปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าและกำลังลอยเข้ามา มันดูเหมือนมัจจุราชกำลังเรียกหาเขา...ธนูพุ่งเป้ามาที่ซุนเฟย โดยที่ฝ่ายข้าศึกไม่สนใจทหารของตัวเองว่าอาจจะได้รับาเ็ไปด้วย
ท่ามกลางวิกฤตินี้ จิตใต้สำนึกสั่งให้เขายก ‘โล่ตราิญญาคชสาร’ ขึ้นมาปกป้องใบหน้าหล่อๆ ของตนเอง จากนั้นได้ยินเสียงดังฉึกๆๆๆ มีธนูนับไม่ถ้วนปักเข้ามาบนร่างของเขา ความเ็ปแล่นขึ้นทั่วร่าง...
ในขณะเดียวกันก็มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นบนสะพาน
ด้วยธนูเจาะเกราะของฝ่ายตัวเองทำให้ทหารเกราะดำจำนวนมากล้มไปนอนกองกับพื้นและร้องโหยหวน พลธนูไม่ลังเลใจสักนิดยามที่ยิงลงไป เืสาดกระเซ็น เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้องฟ้า ธนูเจาะเกราะที่แทงไปที่ดวงตา ขา หัว อก เท้าของทหารด้วยกัน...มีทหารได้รับาเ็สาหัสแต่ยังไม่ตาย พวกเขาส่งเสียงร้องโหยหวน พยายามที่จะไต่ขึ้นมาบนฝั่ง มีรอยเืลากไถตามร่างของเขา
ชั่วพริบตา บนสะพานก็กลายเป็นรก
ห่างออกไป ชายหน้ากากเงินที่ยืนอยู่บนเนินเขาที่อยู่ไกลจากชายฝั่ง เขามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่กะพริบตา เสียงร้องโหยหวนและเสียงขอร้องของเหล่าทหารที่ร่างเต็มไปด้วยเืดังขึ้นไม่ขาดสาย แต่เขาก็ทำเหมือนหูหนวกมองไม่เห็น เขาจ้องไปที่ร่างๆ เดียวที่เป็จุดสนใจของชายหน้ากากเงิน
แต่ที่ทำให้เขารู้สึกโกรธและเคียดแค้นก็คือ หลังจากที่ฝนธนูเจาะเกราะยิงลงไปแล้ว เขาเห็นร่างของชายคนนั้นที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยเืแต่มีดสั้นและโล่บนมือยังคงขยับเคลื่อนไหวอยู่ ราวกับว่าไม่ได้รับาเ็ร้ายแรงเท่าไรนัก
“พลธนู ไม่ต้องหยุด ยิงต่อไป!”
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!
ฝนธนูปกคลุมท้องฟ้า ราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามกลางคืนที่สวยงาม เสียงแหลมๆ เหมือนเสียงร้องคร่ำครวญของเหล่าิญญาดังขึ้น ลูกธนูยิงเข้ามาบนสะพานอย่างต่อเนื่อง
ฉึก ฉึก ฉึก ฉึก!
ลูกธนูเจาะเกราะหนักได้คร่าชีวิตทุกคนที่อยู่ในบริเวณรอบๆ ปลายลูกธนูปักเข้าไปที่ร่างผู้คนอย่างบ้าคลั่ง บางส่วนก็ปักลงบนพื้น แม้กระทั่งปักทะลุสะพานหินจนเกิดหลุมขนาดใหญ่อย่างน่าตื่นตะลึง
ไร้ความเมตตา เสียงร้องแหลมๆ ดังขึ้นอีกครั้ง
ไม่ช้า บนสะพานก็ไม่มีใครรอดชีวิต ทหารบางส่วนที่ตอนแรกยังคงดิ้นรนส่งเสียงร้อง ตอนนี้ก็ตายไปแล้ว ร่างของพวกเขาต่างมีธนูปักบนร่างทุกคนจนเหมือนเม่นก็ไม่ปาน
ชายหน้ากากเงินจ้องเขม็งไปที่ร่างนั้นบนสะพาน
ในที่สุดฉากที่เขาคาดหวังปรากฏขึ้น ชายที่เหมือนปีศาจตนนั้น ในที่สุดก็หยุดเคลื่อนไหวแล้ว บนร่างของเขาเต็มไปด้วยลูกธนูมองจากไกลๆ เหมือนกับเม่นสีขาวกำลังยืนอยู่ ไม่ช้าเสียงดัง ‘ตุบ’ มีดสั้นและโล่ในมือของเขาต่างตกลงบนพื้นตามมาด้วยร่างนั้นที่ในที่สุดก็ล้มกองบนพื้น...
“ตายแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ ในที่สุดมันก็ตายแล้ว...ในที่สุดมันตายแล้ว!”
ชายหน้ากากเงินหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งตัวสั่นเทิ้ม เขาเอามือท้าวเอวแล้วโค้งตัวลงพลางหัวเราะจนน้ำตาไหล ไม่รู้ว่าเป็เพราะดีใจหรือเสียใจกันแน่ สุดท้ายเขาก็คุกเข่าลงกับพื้น ขณะที่หัวเราะเสียงก็พลันแหบแห้ง จนในท้ายที่สุด จากเสียงหัวเราะก็กลายเป็เสียงร้องไห้...
สองมือของชายหน้ากากเงินกำหญ้าบนเนินแน่น น้ำตาไหลออกมาจากหน้ากากอย่างควบคุมไม่ได้
ในที่สุดก็ตายแล้ว
ในที่สุดเ้านั่นก็ตายแล้ว
แต่ทหารเกราะดำนับสามพันคนของตนเองก็จบสิ้นแล้ว ไม่เพียงพ่ายแพ้ย่อยยับ แต่ทหารที่ยังรอดชีวิตก็หมดสิ้นขวัญกำลังใจ ทุกคนต่างใกลัว เกรงว่าหลังจากนี้คงไม่มีความกล้าที่หยิบอาวุธเข้าร่วมาอีก ยิ่งกว่านั้น สิ่งทำทำให้เขาแทบบ้าก็คือ อัศวินเกราะดำคนสนิทที่มีพลังนักรบหนึ่งดาวก็ตายไปมากกว่าครึ่ง แม้แต่นักรบสามดาวแรนดุ๊กก็ตายในสนามรบ
ไม่ช้า ชายหน้ากากเงินก็เหมือนถูกปีศาจหลอกหลอนจวนจะเป็บ้า
บนสนามรบ เหล่าทหารเกราะดำที่เห็นว่าชายคนนั้นล้มลงไปกองกับพื้น ทุกคนต่างพากันหยิกคอตัวเอง ราวกับว่ามัจจุราชที่กำลังกำคอของพวกเขาได้ปล่อยมือแล้ว แรงกดดันที่เหมือนกับูเาสูงตั้งตระหง่านที่กำลังกดทับจิตใจพวกเขาได้ถูกยกออกไปแล้ว เงาแห่งความตายในที่สุดก็ได้สลายหายไป มีทหารบางส่วนกลายเป็วิกลจริตเดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้
ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า คนคนเดียว แค่คนคนเดียวจะสามารถต่อกรกับกองทัพจนแตกพ่ายไปได้
ชายชุดคลุมสีดำลึกลับที่ยืนอยู่บนปลายสะพานด้วยความหงุดหงิด เขามองเห็นสภาพของชายหน้ากากเงินที่กำลังพังทลาย แม้เขาจะหงุดหงิดมากแต่ก็ไม่คิดจะไปเค้นถามกับชายหน้ากากเงิน หลังจากที่ปรับสีหน้าได้ก็หันไปสั่งเหล่าทหารที่ยืนนิ่งอึ้งอยู่ข้างๆ “พวกเ้า ไปเอาศพผู้ชายคนนั้นมาและยกมันไปไว้ที่ในเต็นท์ของข้า”
ด้วยพลังของนักเวทก็ทำให้ดึงสติของเหล่าทหารที่กำลังพังทลายกลับมาได้ ทหารที่มีพละกำลังมากกว่าคนอื่นๆ สองสามคนก็รีบวิ่งไปที่ศพของคนคนนั้นที่เต็มไปด้วยลูกธนูเจาะเกราะหนักปักทั่วร่าง และยกขึ้นมาเพื่อนำไปส่งที่เต็นท์ของชายลึกลับคนนั้น
ศพหนักมากบวกกับชุดเกราะเหล็กที่ชำรุดและธนูที่ปักอยู่คงหนักประมาณสามร้อยกว่าจิน (ประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลกรัม) ทหารเกราะดำยกขึ้นมาพลางเหงื่อแตกพลั่ก แม้กระทั่งตอนนี้พวกเขายังไม่กล้าที่จะมองดูศพนี้เต็มๆ ตา รังสีฆ่าฟันที่แผ่ออกมาจากศพราวกับบดิญญาของพวกเขาให้แหลกละเอียด พวกทหารยกไปที่เต็นท์ของชายลึกลับ
“พวกเ้าออกไปเถอะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามใครเข้ามารบกวนข้า!”
หลังจากที่เข้ามาที่เต็นท์สีดำนี้ ชายชุดคลุมลึกลับก็สั่งให้ทหารวางศพลงตรงกลางเต็นท์ ก่อนเสียงแหบๆ จะสั่งการ เหล่าทหารราวกับว่าได้รับนิรโทษกรรม พวกเขารีบวิ่งออกจากเต็นท์ อากาศด้านในเต็มไปด้วยกลิ่นราและมีแต่ความมืด คละเคล้ากับกลิ่นเหม็นเน่าของศพจางๆ เครื่องมือแหลมคมแปลกๆ มากมายและขวดที่วางอยู่ทุกที่เหมือนเป็โรงฆ่าสัตว์ก็ไม่ปาน ไม่มีใครในกองทัพทหารเกราะดำอยากอยู่ในเต็นท์นี้แม้แต่วินาทีเดียว
ชายชุดดำลึกลับปิดเต็นท์แต่ก็ยังไม่วางใจ เขาร่ายเวทป้องกันเล็กๆ อย่างรอบคอบ จากนั้นเปลวไฟสีฟ้าก็ลอยออกจากเตาในเต็นท์ เปลวไฟสีฟ้าจางๆ ริบหรี่ในเต็นท์เต็มไปด้วยความหนาวเย็นเหมือนกับมีปีศาจนรกที่น่าขนลุกอยู่ที่นี่
“ฮุๆๆๆๆ...”
เสียงหัวเราะของชายชุดคลุมสีดำเหมือนนกฮูก ดวงตาจับจ้องไปที่ศพบนพื้น พลางพูดพึมพำกับตัวเองอย่างเสียดาย “น่าเสียดายที่ไม่ได้จับเป็...บางทีหากผ่าร่างเด็กคนนี้ อาจพบความลับที่สามารถเปลี่ยนพลังที่ไม่ซ้ำกันก็ได้ ฮุๆๆๆๆ...หากได้กำความลับนี้ บางทีข้าอาจทะลวงคอขวดที่ติดขัดอยู่นานหลายปีเลื่อนระดับเป็นักเวทห้าดาว ไม่ก็อาจจะทะลวงผ่านระดับดาวเป็ระดับจันทรา มันอาจเป็ไปได้แน่นอน ฮุๆๆๆๆ!”
เขาหัวเราะด้วยเสียงแหบแห้ง ไม่รีรอที่จะก้มเอวลงเล็กน้อ ยยืดนิ้วที่เหมือนไม้ไผ่แห้งออกไปเพื่อจะถอดชุดเกราะจากศพออก จากนั้นจะได้เริ่มผ่าทันที...
แต่เมื่อเขาออกแรงพลิกศพกลับมาด้านหน้าและเอื้อมมือไปที่เข็มขัดบนชุดเกราะ ใบหน้าก็พลันแข็งค้าง บนใบหน้าของเขาปรากฏความหวาดกลัวแบบที่ไม่เคยเป็มาก่อน
แม้แต่หัวใจที่อยู่ในชุดคลุมสีดำของชายลึกลับก็เต้นโครมครามไม่หยุด
นี่ไม่ใช่เพราะเขาอับอาย
แต่เพราะเห็นใบหน้าที่เปื้อนเืของชายที่ตายไปแล้วกำลังยิ้มให้กับตัวเอง ในชั่วพริบตา ร่างของชายชุดคลุมสีดำลึกลับก็พลันแข็งทื่อ มันเป็การตอบสนองของคนปกติทั่วไปพึงจะมี
---------------------------------
1 คว้าดวงจันทร์ในน้ำ อุปมาว่า ไปหาสิ่งของผิดที่หรือตั้งความหวังไม่สมกับความเป็จริง