“หลิงโอว!” ทางฝั่งสวี่เทาะโเรียกชื่อหลิงโอว ผู้จัดการของหลิงโอวสะกิดอีกฝ่ายเล็กน้อย “นี่ ผู้กำกับเรียกคุณอยู่นะ รีบไปเร็วเข้า รีบไปเร็ว!”
หลิงโอวถลึงตาใส่ฉินซีอย่างดุร้าย ก่อนเดินจากไปด้วยความไม่มั่นใจ รอจนหลิงโอวเดินเข้ามาใกล้ ถูกสวี่เทาด่าทอมากมาย พวกคนในกองถ่ายต่างก็มองดูกันอย่างขบขัน
ในตอนนั้นเอง เจี่ยงถิงเฟิงถือบทเดินเข้ามาใกล้อย่างไม่ได้มีเจตนาดีนัก “ฉินซี ฉันได้ยินว่าวันนี้นายจะต้องถ่ายสองซีน...”
ฉินซีรู้ดีว่าเจี่ยงถิงเฟิงกำลังนึกขันเื่อะไร เป็เพราะตอนนี้คนในกองถ่ายเริ่มจะคุ้นเคยกันบ้างแล้ว สวี่เทาจึงเริ่มลงมือถ่ายทำพวกฉากจูบหรือฉากที่ค่อนข้างจะถึงเนื้อถึงตัว และในวันนี้ก็ได้เตรียมให้ฉินซีถ่ายซีนที่ค่อนข้างใกล้ชิดมาสองซีน ซีนหนึ่งต้องถ่ายกับเจี่ยงถิงเฟิง ส่วนอีกซีนก็ต้องถ่ายกับหลิงโอว เพราะเมื่อชาติก่อนฉินซีถึงกับโดนขายให้กับผู้ชาย ทำให้ตอนนี้เขาค่อนข้างรู้สึกกดดัน
แต่ว่าแม้รู้สึกกดดันอย่างไร ฉินซีก็ไม่อาจแสดงออกมาให้เห็น ไม่เพียงเท่านั้น เขายังหันไปมองเจี่ยงถิงเฟิงด้วยสายตาท้าทาย “ทำไมล่ะ? อยากจะให้ผมต่อบทด้วยหน่อยไหม?”
เจี่ยงถิงเฟิงยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน “เอาสิ”
ใบหน้าของฉินซีหม่นลงเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเจี่ยถิงเฟิงจะหน้าหนาขึ้นขนาดนี้
ทีมงานคนหนึ่งเดินมาขัดบทสนทนาของทั้งสอง “ฉินซี พี่เจี่ยง ผู้กำกับบอกว่าเดี๋ยวจะถ่ายฉากของพวกคุณแล้ว ฉินซียังต้องไปแต่งหน้าอีกลุค...”
“โอเค เดี๋ยวผมไปครับ” ฉินซีเดินตามพนักงานไปทางซุ้มแต่งหน้า ในระหว่างที่เดินไปเขาก็ไม่ลืมหันกลับมาโบกมือให้เจี่ยงถิงเฟิง “ดูเหมือนว่าพวกเราจะต่อบทกันไม่ได้แล้วล่ะ”
เจี่ยงถิงเฟิงลูบคางของตัวเองพร้อมอ่านคำอธิบายที่เขียนอยู่ในบท ก่อนจะอดเดาะลิ้นขึ้นมาไม่ได้ “นี่มันค่อนข้างจะใช้อารมณ์รุนแรงเกินไปหน่อยนะ...”
นี่เป็ซีนที่จะต้องถ่ายตอนที่ตงฟางปู๋ป้ายจงใจลากลิ่งหูชงลงไปในน้ำ ทั้งยังยั่วยวนเขาอีก จากนั้นเริ่นอิ๋งอิ๋งก็เข้ามาเห็นฉากนี้เข้าพอดี เริ่นอิ๋งอิ๋งที่แต่เดิมในต้นฉบับทั้งงดงาม ชาญฉลาด และใจกว้าง ในเวลาประโลมโลกแบบนี้ก็เปลี่ยนเป็เด็กสาวที่นึกจะไม่พอใจก็ไม่พอใจขึ้นมาได้เหมือนกัน
ฉินซีค่อนข้างผิดหวังกับบทนี้เล็กน้อย แต่เขารู้ดีว่าตอนนี้คนดูชอบอะไรแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแสดงบทบาทตงฟางปู๋ป้ายออกมาให้ดีก็พอ ใครใช้ให้เขาเป็มือใหม่ไม่สามารถเลือกอะไรมากได้กันล่ะ?
ไม่นานฉินซีก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ คิ้วของเขาถูกเขียนอย่างตั้งใจจึงเฉียบคมเป็พิเศษ ด้วยความสามารถของช่างแต่งหน้า ทำให้ความงดงามของเขายิ่งจับใจคนมากยิ่งขึ้น เมื่ออยู่หน้ากล้อง สวี่เทาก็ตื่นเต้นจนเกือบจะทำแก้วน้ำในมือหล่นคว่ำไป
เมื่อสักครู่เจี่ยงถิงเฟิงยังล้อเลียนฉินซีไว้มากมาย มาตอนนี้เขากลับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว โดยเฉพาะเมื่อเห็นการแต่งตัวในครั้งนี้ เขาก็อดหันไปพูดจาปากร้ายใส่เถาเซียงเพื่อข่มความรู้สึกอึดอัดในใจไปไม่ได้ “ฉันว่าฉินซีแต่งแบบนี้แล้วดูเหมือนนางเอกมากกว่าเถาเซียงเสียอีก...”
เถาเซียงยืนอยู่ข้างกายสวี่เทา เมื่อได้ยินเจี่ยงถิงเฟิงพูดแบบนี้ เธอก็กลอกตามองทันที “ความ้าเ้าช่างสูงนัก ธิดาเทพเป็นางเอกแก่เ้า เ้ายังไม่ยินดีอีกหรือ?”
เจี่ยงถิงเฟิงส่ายหน้าไปพร้อมกับหัวเราะล้อเลียน “ข้าชอบปรมาจารย์เทพ ไม่ได้ชอบธิดาเทพสักหน่อย”
สวี่เทาพูดขัดขึ้นข้างๆ “พอแล้ว เริ่มถ่ายเถอะ”
พวกเขาเลือกถ่ายข้างสระน้ำของเมืองเล็ก สระน้ำนี้ไม่ได้ใหญ่นัก เดิมทีในบท้าสระน้ำใต้น้ำตก แต่เพราะน้ำตกไม่ได้ พวกเขาก็พยายามหาให้ดีที่สุดแล้ว
หลังจากกล้องเข้าที่ สวี่เทาก็ะโสั่งเริ่ม
กล้องเริ่มเคลื่อนไหว
ตงฟางปู๋ป้ายถอดเสื้อตัวนอกออกเหลือเพียงเสื้อด้านในสีขาวดั่งหิมะลงไปในน้ำ สระน้ำยังคงปล่อยไอเย็นออกมา ทว่าใบหน้าที่งดงามยังคงสงบนิ่ง ในตอนนั้นสิ่งเดียวที่ได้ยินคือเสียงคลื่นน้ำที่สั่นไหว
ลิ่งหูชงมายังข้างสระด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “ท่านบ้าไปแล้วหรือ? ท่านจะอาบน้ำที่นี่?”
ตงฟางปู๋ป้ายสงบนิ่งกว่าเขามาก จึงตอบกลับไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ร่างกายสกปรก หรือว่าเ้าไม่้าอาบกันเล่า?”
ลิ่งหูชงรู้สึกได้ถึงอันตรายขึ้นมาอย่างฉับไว เขาขยับถอยไปด้านหลัง แต่ใครจะรู้ว่าจู่ๆ ตงฟางปู๋ป้ายถึงกับส่งผ้าไหมสีขาวบางๆ พุ่งออกมา แต่ดันตกลงไปข้างสระอย่างเบาๆ จนเกิดเสียงดัง “แปะ”
......
เจี่ยงถิงเฟิงกลั้นขำไว้ไม่ได้ “ฮ่าๆๆ… ฉินซี มือนายไม่มีแรงหรือยังไง?”
ฉินซีถลึงตาใส่เขา เจี่ยงถิงเฟิงหันหน้าไปอีกทาง เขาลูบลงที่หน้าอกของตัวเอง บริเวณนั้นยังคงร้อนระอุ ไม่รู้ว่าทำไม ทว่าเขากลับหัวเราะไม่ออก
“เอาใหม่” สวี่เทาพูดออกมา
ดังนั้นฉินซีจึงสะบัดแขนไปมา และเริ่มใหม่อีกครั้ง
กล้องเริ่มขยับไปตามการเคลื่อนไหวเขาอีกครั้ง
ผ้าสีขาวบางเบาล่องลอยออกไปพันรัดตัวลิ่งหูชงไว้ เมื่อใต้เท้าของลิ่งหูชงลื่นไถล เขาก็ร้องะโพร้อมกับถูกลากลงตกไปในน้ำ ตงฟางปู๋ป้ายหยัดตัวขึ้นมา จากนั้นก็กดทับตัวของลิ่งหูชงลงที่ข้างสระด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยอำนาจ เสียง “ตึง” ดังขึ้น หัวของลิ่งหูชงกระแทกเข้ากับฝั่ง ทำเอาละอองน้ำสาดกระจาย บริเวณด้านข้างมีคนกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่ได้อีก
เจี่ยงถิงเฟิงกุมหัวของตัวเองลุกขึ้นจากน้ำ “ฉินซี นี่จะฆ่ากันหรือไง!”
ฉินซีแบสองมือออกอย่างไร้เดียงสา “ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ”
สวี่เทาถามขึ้นอย่างเป็ห่วง “นี่นายเข้าไม่ถึงอารมณ์หรือเปล่า?”
ฉินซีส่งเสียง “เอ๋” ขึ้น “ก็นิดหน่อยครับ”
สวี่เทาถามขึ้นอีก “พวกนาย้าจะต่อบทกันอีกสักหน่อยไหม?”
เจี่ยงถิงเฟิงมองไปทางฉินซี นี่แสดงให้เห็นว่าแล้วเขาตามใจฉินซีทั้งหมด ฉินซีทัดผมปลอมที่ตกลงมาข้างหู “ยังมีซีนแบบนี้อีกกี่ซีนครับ? ลองเปลี่ยนเป็ซีนอื่นแล้วปรับเปลี่ยนอารมณ์ดูหน่อยได้ไหมครับ?”
“ถ้าอย่างนั้นนายลองไปเล่นกับหลิงโอวดูก่อนไหม?”
“ได้ครับ” ฉินซีขึ้นจากน้ำ เสื้อผ้าบนตัวเปียกชุ่มราบไปกับเรือนร่าง ทีมงานผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ พูดหยอกล้อด้วยรอยยิ้ม “เห็นหมดแล้ว...”
ฉินซีถูกทีมงานนำผ้าเช็ดตัวมาห่อพาเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า หลิงโอวเองก็แต่งหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาแล้ว สีหน้าของเขายังคงบึ้งตึง เนื่องจากคิดไม่ถึงว่า เพิ่งจะกลับมาถึงกองถ่าย ซีนแรกที่ต้องถ่ายก็คือซีนที่ใกล้ชิดกับฉินซี ในใจของหลิงโอวไม่สบอารมณ์เป็อย่างมาก แต่เพราะสวี่เทาเพิ่งถูกตำหนิไป เขาจึงไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้
เจี่ยงถิงเฟิงถอดเสื้อตัวนอกที่เปียกชื้นออก ลากเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งพักอยู่ข้างๆ ภายในใจของเขาคิดย้อนไปถึงฉากเมื่อสักครู่ เดิมทีตั้งใจจะครุ่นคิดว่ามีตรงไหนที่แสดงได้ไม่ดี แต่ผลคือเขากลับเอาแต่นึกไปถึงภาพของฉินซีในชุดสีขาวที่เปียกชุ่ม...
มีคนเดินมาทางนี้ เมื่อเจี่ยงถิงเฟิงเงยหน้าขึ้น ก็ได้พบกับอาจารย์ของตัวเอง เขาส่งเสียงออกไปด้วยความประหลาดใจ “อาจารย์ มาได้ยังไงครับนี่?”
คนที่ถูกเรียกว่า ‘อาจารย์’ คือชายหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง คนที่อยู่โดยรอบต่างใช้สายตายกย่องมองไปทางเขา ใครใช้ให้ชายที่มีชื่อว่าจงซิ่งอู๋คนนี้คือเทพเ้าจงที่มีชื่อเสียงในวงการบันเทิงภายในประเทศกันล่ะ?
จงซิ่งอู๋ตบลงบนบ่าของเขา “พาเพื่อนมาดูนายถ่ายละครน่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เจี่ยงถิงเฟิงก็หันไปมอง ‘เพื่อน’ ที่อยู่ข้างกายอีกฝ่าย พบว่าเขาสวมใส่ชุดสบายๆ สีขาว แต่รูปร่างลักษณะนั้น เมื่อเทียบกับเด็กในวงการบันเทิงที่มีชื่อเสียงแล้ว ก็ยังต้องยอมหลีกทางให้ ใบหน้าของอีกฝ่ายนิ่งเฉย เมื่อได้พบกับนักแสดงมากมายในกองถ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีตื่นใแต่อย่างใด เจี่ยงถิงเฟิงมักจะรู้สึกว่าบนร่างของคนคนนี้ปกคลุมไปด้วยความสง่าสูงส่ง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แต่งตัวหรูหราเลยก็ตาม
เจี่ยงถิงเฟิงคิดว่าจงซิ่งอู๋จะแนะนำอีกฝ่ายให้รู้จัก แต่ใครจะรู้ว่าแม้จะมองพิจารณาอยู่นาน จงซิ่งอู๋ก็ไม่ได้บอกว่าเขาเป็ใคร ทำให้เจี่ยงถิงเฟิงได้แต่หันหน้าไปอีกทาง
ในตอนนั้นเอง ฉินซีเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกมา เขาใส่ชุดคลุมหลวมๆ ลวดลายตรงรอยแยกเป็สีแดง เมื่อรวมกับชุดด้านในสีขาวแล้ว ภาพที่เห็นก็ชวนให้ตื่นตะลึงยามได้จ้องมอง
สวี่เทาพึงพอใจกับการแต่งกายของฉินซีมาก เขาชี้ไปยังฉากที่ถูกจัดขึ้นชั่วคราวที่อยู่ไม่ไกลนัก ตรงนั้นมีเตียงกุ้ยเฟยถูกวางเอาไว้ ขนาดกว้างใหญ่สามารถรองรับคนได้ถึง 3-4 คน ทั้ง้ายังปูด้วยขนจิ้งจอกขาว บริเวณด้านหน้าเตียงถูกฉากกันลมบังไปกว่าครึ่ง และข้างเตียงยังแขวนคลุมผ้าบางๆ เมื่อกล้องถ่ายผ่านเข้าไปก็ดูสลัวๆ เร้าอารมณ์เป็อย่างมาก
ฉากที่ถูกสร้างขึ้นชั่วคราวนี้เรียกได้ว่าถูกตกแต่งอย่างสวยงาม
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสวี่เทาถึง้าถ่ายซีนถึงเนื้อถึงตัวพวกนี้ เพราะว่าเมื่อถ่ายออกมาสวยแล้ว มันจะสามารถเพิ่มความสวยงามของละครทั้งเื่ได้ และยังทำให้ผู้ชมเกิดความพึงพอใจขึ้นในยามดู
ฉินซีอึดอัดใจเล็กๆ เขาถ่ายฉากใกล้ชิดกับผู้หญิงมาไม่น้อย แต่เขาคิดไม่ถึงว่าในชาตินี้จะต้องมาถ่ายฉากแบบนี้กับผู้ชาย เขาก้าวมายังข้างเตียงกุ้ยเฟย และจัดท่าทางให้ดูเอื่อยๆ สบายๆ
ดวงตาของสวี่เทาวาบประกาย ก่อนจะะโสั่งให้เริ่ม
หลิงโอวจัดชายเสื้อผ้า เดินเข้าไปในกล้อง กล้องขยับไล่ตามฝีเท้าของเขาเข้าไปใกล้ขึ้น จากฉากกันลมที่ปกปิด ไปจนถึงผ้าบางๆ ที่ปกคลุม คั่นด้วยชั้นผ้า หลิงโอวนั่งลงตรงหน้าฉินซี
สวี่เทาที่นั่งอยู่ด้านหลังจอมอนิเตอร์ถึงกับกลั้นหายใจ เขาจ้องคนที่อยู่หน้ากล้องตาไม่กะพริบ
หลิงโอวเริ่มพูดบทออกมา “ท่านปรมาจารย์เทพ...”
ร่างกายของเขาโน้มไปใกล้ตัวของฉินซีบนเตียงกุ้ยเฟย
......
จงซิ่งอู๋พลันััได้ถึงลมหายใจของคนข้างกายที่สั่นระรัวไม่เป็จังหวะ จงซิ่งอู๋หันหน้าไปมอง ก่อนจะอดถามขึ้นไม่ได้ “คุณเฉิน พวกเราจะยังดูอยู่ที่นี่ต่อไปไหม?”
เฉินเจวี๋ยพยักหน้าลงเบาๆ “นายไม่ได้จะดูการแสดงของลูกศิษย์เหรอ?”
จงซิ่งอู๋พูดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “ดูเหมือนจะต้องรออีกสักพักเลย...”
“อืม” เฉินเจวี๋ยตอบสั้น ทว่ากลับไม่ได้มีท่าทางจะขยับเท้าจากไป จงซิ่งอู๋คิดไปคิดมา อย่างไรเขาก็ต้องอยู่เป็เพื่อนเฉินเจวี๋ย แบบนั้นก็อดทนรออยู่ที่นี่อีกสักพักก็แล้วกัน
......
เพราะหลิงโอวนั่งอยู่ที่ปลายเตียงกุ้ยเฟย แม้เขาจะทิ้งตัวลงไปทั้งตัว แต่มันก็ไปถึงเพียงส่วนขาของฉินซีเท่านั้น วันนี้การแสดงของหลิงโอวดีขึ้นไม่น้อย เขาแหวกชายเสื้อผ้าของฉินซีออกช้าๆ ฉินซีนอนหงายอยู่ใต้ล่างตลอด เห็นได้ชัดว่าอยู่ในตำแหน่งที่ด้อยกว่า แต่สายตาที่เขามองไปยังหลิงโอวกลับแฝงความสูงส่ง
หลิงโอวเงยหน้าขึ้นมองฉินซีเล็กน้อย แต่การสบสายตาครั้งนี้ทำให้เขานิ่งไป หลิงโอวกลืนน้ำลายอย่างไม่ทันรู้สึกตัว เขามักจะรู้สึกว่าสายตาของฉินซีแฝงความเฉียบแหลมไว้ ทำให้เขาไม่กล้ามองไปตรงๆ
หลิงโอวก้มหน้าลงด้วยความสับสนอีกครั้ง มือของเขาลูบไล้ไปตามขาของฉินซี
ท่าทางของฉินซีทำให้ชุดคลุมที่ปล่อยแผ่บนเรือนร่างเปิดออกไม่เป็ระเบียบมากขึ้น รอยแยกสีแดงไหลลงไปถึงบริเวณข้อแขนปรากฏให้เห็นเสื้อผ้าด้านใน
คิ้วของฉินซีขมวดเข้าหากัน ทำไมหลิงโอวยังไม่พูดบทออกมาอีก?
เขายกเท้าขึ้นเตะข้อมือของหลิงโอวเบาๆ จากนั้นยกคางขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะอ้าปากออกน้อยๆ เป็คำว่า ‘บท’ แต่ใครจะรู้ว่าเดิมทีหลิงโอวก็ไม่ได้สนใจมองสัญญาณนั้น เมื่อหลิงโอวจับข้อเท้าของเขา ใบหน้าของฉินซีก็ดำมืดลงในทันที
สวี่เทานั่งกำมือแน่นด้วยความตื่นเต้นเต็มพิกัดอยู่หลังจอมอนิเตอร์ เขาคิดว่ามันเป็ภาพที่มีสุนทรียศาสตร์ที่สุดเท่าที่เขาเคยถ่ายทำมา ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงลืมเื่ที่หลิงโอวไม่ได้พูดบทไปชั่วขณะ
ในชั่วนาทีนี้ทั้งกองถ่ายถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบสงบ
เจี่ยงถิงเฟิงนิ่งมองภาพตรงหน้า เขาคิดว่าตัวเองเริ่มจะหาความรู้สึกในการแสดงขึ้นมาได้บ้างแล้ว แต่ความรู้สึกนั้นก็ราวกับมีความไม่เข้าใจกระแสหนึ่งปะปนอยู่
จงซิ่งอู๋กลับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า เขารู้สึกว่ามันน่าสนใจดี แต่เมื่อหันหน้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เห็นว่าสีหน้าของเฉินเจวี๋ยกลับมืดมนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก