ในท้องทะเลทรายยามกลางวันดวงอาทิตย์นั้นเผาไหม้ผืนทรายจนร้อนระอุขึ้นมา เดิมทีแล้วที่นี่ไร้ซึ่งแรงลมแต่หลังจากที่หลินลั่วหรานนั้นััได้ถึงความแปลกประหลาดของซากปรักหักพังแห่งนี้อยู่ๆ ก็เกิดลมแรงพัดพาเอาทรายสีเหลืองทองกระจายขึ้นเต็มท้องฟ้า
สายลมนี้อยู่ๆ ก็พัดผ่านมา ดูเหมือนกับสายลมแปลกๆที่เกิดขึ้นในตอนที่เป่าเจียหายตัวไป
หลินลั่วหรานพบว่าเหวินกวนจิ่งนั้นยืนเหม่อลอยอยู่ที่ฐานตรงนั้นสักครู่ก่อนที่ดวงตาของเขาจะกลับมาเป็ปกติแต่คนที่ยังยืนอยู่ภายนอกเสาอย่างปาหนีและย่าจีกลับยิ่งดูเหมือนกับสัตว์ป่าที่ไร้ซึ่งสติและพยายามดิ้นรนมากขึ้นเรื่อยๆ
ใช่แล้ว ในตอนแรกเหวินกวนจิ่งเองก็ไม่ได้ดูผิดปกติอะไรแต่เมื่อเขาเข้าไปห้ามไม่ให้ทั้งสองทะเลาะกัน ดวงตาทั้งสองของเขาก็แดงก่ำขึ้นสิ่งที่เป็ปัญหาก็คือภายนอกของซากปรักหักพังนี้ต่างหาก
เมื่อความคิดนี้ไหลเข้ามาในหัวของหลินลั่วหรานเธอก็สะบัดเชือกน้ำทั้งสองเส้นออกไป ทำให้คนที่ถูกมัดเอาไว้ทั้งสองถูกดึงเข้ามาหลังจากนั้นมันก็ทำให้ชาวพื้นเมืองทั้งสองคนที่กำลังบ้าคลั่ง ต่างก็พากันสงบลง
ในใจของเหวินกวนจิ่งนั้นยังคงรู้สึกกังวลอยู่ “รุ่นพี่หลิน ที่นี่ดูแปลกประหลาดมากเกินไปแล้วพวกเรารีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ”
หลินลั่วหรานฝืนยิ้มขึ้นก่อนที่จะชี้ไปยังพายุทะเลทรายที่ค่อยๆ รุนแรงขึ้นบริเวณด้านนอก “ดูสิ คิดว่าตอนนี้พวกเราจะออกไปจากที่นี่ได้ไหม?”
เศษฝุ่นทรายนั้นปลิวขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับหมุนวนไปโดยรอบซากปรักหักพังแห่งนี้บางทีพวกเขาทั้งสองคนอาจจะสามารถเดินผ่านออกไป ท่ามกลางเศษดินทรายพวกนี้ได้ก็จริงแต่ว่าหากเป็ปาหนีและย่าจีแล้วพวกเขาก็มีโอกาสที่จะถูกแรงลมพัดพาให้ร่างแตกสลายกลายเป็เพียงเศษฝุ่นไปได้เช่นกัน
“เอ๋รุ่นพี่หลินดูเหมือนว่าพวกเศษทรายพวกนั้นจะถูกกันเอาไว้ให้อยู่ด้านนอกซากปรักหักพังแห่งนี้หรือว่าที่นี่แต่เดิมแล้วจะเป็สถานที่หลบภัยที่ใครสักคนสร้างขึ้นมาจริงๆ” เมื่อมองดูสักพัก เหวินกวนจิ่งก็ไตร่ตรองความเป็ไปได้นี้ออกมา
แต่หลินลั่วหรานกลับไม่ได้มองมันในแง่ดีเช่นนั้นไม่รู้ว่าเป็เพราะ ‘คำสาปปีศาจ’ ที่ย่าจีพูดเอาไว้ทำให้เธอมีอคติหรือเปล่า เมื่อรวมเข้ากับการหายตัวไปของเป่าเจียหลินลั่วหรานก็มักจะรู้สึกว่า การเดินทางของพวกเขาในครั้งนี้มีความอันตรายบางอย่างซ่อนอยู่
“ซากปรักหักพังแห่งนี้ดูเหมือนว่ากำลังปกป้องพวกเราจากการโจมตีของเหล่าเศษพายุทะเลทรายแต่ว่าถ้าหากมองอีกมุมหนึ่ง มันก็เหมือนว่ากำลังทำให้เราติดอยู่ในนี้...”
หลินลั่วหรานพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบและเธอก็ไม่้าให้มันเป็อย่างที่เธอพูด เพราะไม่เช่นนั้นก็คงจะซวยมากทีเดียว
เมื่อเห็นว่าดวงตาของย่าจีและปาหนีนั้นไม่ได้แดงก่ำแล้วหลินลั่วหรานก็ปล่อยเชือกที่จับพวกเขาเอาไว้ และถามถึงเื่ที่เกิดขึ้น
ปาหนีคิดอยู่สักพักเขาจำได้ว่าในตอนแรกเขากำลังเป่าดนตรีอยู่ แต่ว่าเมื่อได้ยินหัวหน้าเผ่าย่าจีพูดบ่นด่าเขาออกมาไม่หยุดเขาก็เริ่มรู้สึกโมโหขึ้นมาในใจ อยากจะทำให้หัวหน้าเผ่านี่หุบปากไปซะดังนั้นทั้งสองคนก็เลยทะเลาะกันขึ้นมา อีกทั้งปาหนียังนำก้อนหินไปกระแทกใส่เขาอีก
ย่าจีนั้นพูดเจี๊ยวจ๊าวอยู่นาน เมื่อแปลออกมาแล้วก็มีเนื้อหาว่า คนชนเผ่าพื้นเมืองอย่างพวกเรานั้นต่างก็รักพวกพ้องมากทำไมเขาถึงจะต้องด่าทอปาหนีออกมาด้วยมันจะต้องเป็เพราะปีศาจกำลังหลอกหลอนอยู่แน่ๆ
เมื่อได้ยินทั้งสองคนพูดจบเหวินกวนจิ่งก็คิดขึ้นมาอย่างละเอียด ในตอนแรกเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแต่ว่าในตอนที่เข้าไปห้ามทั้งสองคน เพราะว่ารู้สึกรำคาญขึ้นมาดังนั้นในใจก็เลยรู้สึกเหมือนจะมีความคิดที่โหดร้ายขึ้นมาก่อนที่ดวงตาของเขาจะค่อยๆ เต็มไปด้วยเส้นเื...
หลินลั่วหรานเงียบไปสักพัก “มีอะไรบางอย่างที่พวกเราไม่รู้กำลังหลอกหลอนพวกเราอยู่ โชคดีที่พบได้เร็ว ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดว่าฉันโดนไปด้วยแล้ว...” แม้ว่าเธอจะยังไม่ทันได้พูดจบแต่ว่าเหวินกวนจิ่งก็สามารถคาดคิดได้ว่าสิ่งที่เธอ้าจะพูดด้านหลังนั้นคืออะไร
แน่นอนว่าหากหลินลั่วหรานเป็ฝ่ายที่เสียสติไปแล้วทำร้ายคนอื่นอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา คนที่อยู่ด้วยกันในตอนนี้ นอกจากตัวเธอแล้วก็อาจจะไม่มีใครมีโอกาสได้มีชีวิตต่อแม้ว่าเหวินกวนจิ่งอาจจะสามารถรับมือกับเธอได้นานเสียหน่อยแต่ว่าด้วยปัญหาของระยะเวลาอย่างไรนักปราชญ์ระดับฝึกลมปราณขั้นสุดท้ายกับนักปราชญ์ระดับพื้นฐานนั้นก็มีความแตกต่างกันมากอยู่ทีเดียว ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางที่จะสามารถต่อกรกับหลินลั่วหรานที่ไร้สติได้เลย
ความจริงที่หลินลั่วหรานสามารถควบคุมสติอยู่ได้และไม่เป็อะไร ก็เป็เพราะว่าเธอมีระดับการฝึกศาสตร์ที่สูงและด้วยนิสัยพื้นฐานของเธอนั้น ก็เป็คนที่โมโหได้ยากขอเพียงแค่เธอสามารถควบคุมจิตใจของตัวเองได้ จิตความคิดของเธอก็เป็ดั่งูเาหนักแน่นและไม่สามารถที่จะเกิดเื่อะไรขึ้นได้อย่างแน่นอน
ปาหนีทำแผลบนหัวให้กับย่าจีทั้งสองนั้นไม่ได้คิดอะไรมากกับการทะเลาะกันเมื่อสักครู่แต่หลินลั่วหรานกลับไม่สามารถสบายใจขึ้นมาได้เลย
ในตอนนี้เธอไม่รู้ว่าเป่าเจียหายไปไหนไม่ว่าพายุทรายนี้จะนำพาความเดือดร้อนมาให้กับพวกเธอหรือว่าตั้งใจจะขังพวกเธอเอาไว้ที่นี่ พวกมันต่างก็ทำให้เธอไม่อาจสงบใจได้ทั้งนั้น
ย่าจีพูดพึมพำกับพวกเขาว่าพวกชนเผ่าพื้นเมืองนั้นมีคาถาขอพรให้ปลอดภัยอยู่ ปาหนีจึงท่องขึ้นพร้อมกันอยู่ข้างๆโดยที่หลินลั่วหรานเองก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร
เื่ของทะเลทรายแห่งนี้ผู้คนชนเผ่าพื้นเมืองต่างก็ต้องเข้าใจมันมากกว่าหลินลั่วหรานและเหวินกวนจิ่งที่มาจากที่อื่นอยู่แล้ว
ไม่รู้ว่าเป็เพราะคาถาอวยพรขอให้ปลอดภัยที่ทั้งสองท่องเกิดผลขึ้นมาหรือเปล่าเพราะอยู่ๆ พายุทรายก็ค่อยๆ สงบลง
ใบหน้าผอมดำของย่าจีนั้นปรากฏรอยยิ้มออกมาเขาลูบลงไปยังกิ้งก่าที่อยู่บริเวณ่เอวของเขาก่อนจะรู้สึกว่าความลำบากในครั้งนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้วปาหนีเองก็เผยรอยยิ้มออกมาเช่นกัน หลินลั่วหรานกับเหวินกวนจิ่งหันมาสบตากัน ก่อนที่จะเห็นได้ว่าสีหน้าของทั้งสองนั้นไม่ได้สู้ดีนัก
หลินลั่วหรานมีความสามารถทางการได้ยินที่ดีกว่าผู้คนทั่วไปก่อนหน้านี้เป็เพราะว่ามีพายุลมแรงทำให้ได้ยินเพียงแต่เสียงพายุทรายและไม่ได้ยินเสียงอื่นๆ ใด แต่ว่าเมื่อพายุสงบลงแล้ว เสียงของลมค่อยๆ หายไปในที่สุดเธอก็เริ่มได้ยินเสียงที่ทำให้ในใจของเธอรู้สึกไม่ดีขึ้นมาราวกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังรวมกลุ่มกัน แล้วผ่านเข้ามาในทางนี้
พายุทรายค่อยๆ สงบนิ่งหลินลั่วหรานทอดสายตาออกไปยังที่ห่างไกล ที่แท้ในบริเวณเนินทรายที่ห่างไกลก็ปรากฏจุดสีดำขึ้นอย่างแ่าและมันก็กำลังขยับมาโดยไม่หยุดหย่อน...ในตอนที่เธอสามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าสิ่งนั้นคืออะไรเธอก็รู้สึกว่าทั่วทั้งร่างของเธอชาไปทั่วทั้งตัว
เปลวไฟปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเหวินกวนจิ่ง เขาหมวดคิ้วแน่น
พายุทรายครั้งนี้เป็เหมือนกับที่รุ่นพี่หลินบอกมัน้าที่จะขังพวกเขาเอาไว้ที่นี่ ย่าจีและปาหนีเองก็สามารถเห็น ‘กองทัพ’ ที่ขยับเข้ามาใกล้ที่นี่ได้อย่างชัดเจนใบหน้าของทั้งสองนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
แต่เหวินกวนจิ่งกลับไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันมากนัก พวก ‘ของเล่น’ เหล่านี้ต่างก็ไม่สามารถจะทำอะไรกับนักปราชญ์ทั้งสองคนได้
พวกเหล่าแมงป่องมากมายเ่าั้ต่างพากันยกกล้ามของพวกมันขึ้นก่อนที่จะพุ่งตรงเข้ามา
หลินลั่วหรานรู้สึกว่าขนของเธอลุกไปทั่วทั้งตัว
แม้ว่าทางประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีบางพื้นที่ที่นำแมลงพิษเหล่านี้มาทำเป็อาหาร แต่ว่าในตอนนี้แล้วทั่วทั้งกองเนินทรายต่างเต็มไปด้วยแมงป่องสีดำอีกทั้งข้างหลังยังเต็มไปด้วยกองทัพมากมายที่พุ่งเข้ามาไม่ขาดตอนไม่มีใครที่จะนึกอยากอาหารขึ้นมาตอนนี้ได้หรอก
“จะออกไปหรือว่าจะคอยดูก่อนดีครับ...” เหวินกวนจิ่งไม่รู้ว่าั้แ่เมื่อไรที่เขากลายเป็คนชอบคอยถามความคิดเห็นของหลินลั่วหรานอยู่เสมอ
แสงสีฟ้าประกายขึ้นในมือของหลินลั่วหรานดาบเจาเจี้ยนปรากฏขึ้นในมือของเธอ “ไปมองดูจาก้าก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที!”
ดาบเจาเจี้ยนปล่อยพลังแสงออกมามันเปล่งประกายในดวงตาของพวกปาหนี หลินลั่วหรานะโขึ้นไปแสงดาบนั้นประกายขึ้นไปยังท้องฟ้า ‘ต้องตาย’ ในใจของเธอมีเป้าหมายขึ้นมาแต่หลินลั่วหรานยังไม่ทันได้ะโขึ้นไปสูงเท่าไรนักเธอก็ถูกบังคับให้ตกลงมาอีกครั้ง
“รุ่นพี่!” เหวินกวนจิ่งคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
หลินลั่วหรานเก็บดาบเจาเจี้ยนเข้ามา “ดูเหมือนว่าที่นี่จะมีบาเรีย เราถูกขังเอาไว้ที่นี่แล้วจริงๆ”
เหวินกวนจิ่งนั้นเกิดขึ้นมาในสำนักที่มีชื่อเสียงแม้ว่าการฝึกของเขาอาจจะยังไม่สามารถเทียบเท่ากับหลินลั่วหรานได้แต่ว่าในเื่ความรู้เกี่ยวกับทางด้านการฝึกศาสตร์ เขาเองก็รู้อยู่ไม่ใช่น้อยตระกูลเหวินแห่งเขาชู่ชาน นอกจากศาสตร์การฝึกดาบแล้ว ก็มีการศึกษาเกี่ยวกับเื่บาเรียเช่นกัน
ในตอนนี้สิ่งที่หนักหนาที่สุดก็คือคนที่มั่นใจในเื่ความรู้เกี่ยวกับบาเรียอย่างเหวินกวนจิ่งรวมทั้งหลินลั่วหรานต่างถูกบังคับให้ถอยหลังกลับมาพวกเขาอยู่ที่นี่กันมาสักพักแล้วแต่เขากลับยังไม่สามารถััได้ถึงบาเรียที่อยู่ที่นี่เลยแม้แต่น้อย
“รุ่นพี่สถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีนัก ถ้าหากว่าพวกแมงป่องเองก็เป็เหมือนกับพวกเราก็คงไม่อาจจะห้ามไม่ให้พวกมันเข้ามาได้...”
สิ่งที่ทำให้หลินลั่วหรานปวดหัวอยู่ก็คือสิ่งนี้เธอทอดสายตาออกไปยังกองทัพแมงป่องที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เธอเริ่มที่จะทดลองใช้ ‘ศาสตร์ควบคุมลม’ ขึ้นมาอีกครั้ง โอเค ยังคงสามารถใช้พลังได้อยู่้าหัวของเธอนั้นดูราวกับมีกระจกบางอย่างกั้นเอาไว้อย่างแ่าทำให้เมื่อบินขึ้นไปได้เพียงไม่กี่เมตร ก็ไม่สามารถที่จะบินขึ้นไปต่อได้อีก
ปาหนีส่งเสียงโห่ร้องขึ้นมาเหวินกวนจิ่งขยับมือขวาของเขาร่ายเวทออกมาไม่นานนักมันก็เกิดกำแพงไฟขึ้นบนทะเลทรายแมงป่องที่ขยับเข้ามาด้วยความรวดเร็วต่างก็ถูกเผาไหม้จนเกิดเสียง ซู่ ขึ้นมาพวกมันถูกเปลวไฟสกัดกั้นไว้ชั่วขณะ
เหล่าแมงป่องที่ถูกเผาไหม้เริ่มส่งกลิ่นหอมเย้ายวนออกมา ปาหนีกลืนน้ำลายลงไปด้วยความยากลำบากพร้อมกับพยายามเพ่งความสนใจไปยังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ผู้คนทางฝั่งตะวันออกทั้งสองคนนี้ ช่างดูแปลกประหลาดพวกเขานั้นไม่สามารถที่จะรับมือได้ง่ายๆ การที่มีพวกเขาอยู่ด้วยดูเหมือนว่าจะทำให้ดูปลอดภัยขึ้นหรือเปล่า?
ย่าจีท่องคาถาออกมาอย่างตะกุกตะกัก
หลินลั่วหรานรู้สึกได้ว่าเื่ราวเหล่านี้ไม่น่าจะสามารถเข้าใจกันได้ง่ายๆ แบบนั้น
เหวินกวนจิ่งควบคุมพลังไปพร้อมกับพยายามัักับกลิ่นอายของบาเรียแต่น่าเสียดายที่เขาก็ยังคงไม่ได้รับอะไรกลับมา
กำแพงไฟนั้นบดบังวิสัยทัศน์ของเธอหลินลั่วหรานะโขึ้นไปบนก้อนหินที่มีความสูงประมาณหนึ่งเมตรเธอมองไปยังเหล่าแมงป่องที่พุ่งเข้ามาโดยไร้ซึ่งความกลัวในใจของเธอก็รู้สึกสับสนขึ้นมา
ถ้าหากว่าพวกเขาถูกขังเอาไว้ที่นี่อีกทั้งกองทัพแมงป่องเหล่านี้ก็ดูเหมือนว่าจะมาเรื่อยๆ ไม่มีจุดสิ้นสุด ใครๆต่างก็พูดกันว่า มดนั้นหากมีจำนวนมาก ก็สามารถกัดช้างให้ตายได้ไม่ว่าจะเป็พลังในกายของเหวินกวนจิ่งหรือว่ามวลพลังในกายของเธอเองต่างก็มีจุดที่สิ้นสุดกันทั้งนั้นแม้ว่าตัวเธอจะสามารถหลบเข้าไปในพื้นที่ลึกลับได้ แต่ว่าอีกสามคนที่เหลือก็คงจะต้องตายอย่างไร้ข้อสงสัย
“ไม่ดีแล้ว!” หลินลั่วหรานมองลงไปจากก้อนหินผุพังพวกแมงป่องที่ถูกเผาไหม้ต่างก็เริ่มเรียนรู้ขึ้นมา เมื่อมองไปยังพื้นที่ที่ห่างไกลพวกมันก็เริ่มที่จะปล่อยพิษออกมาจากปลายหาง
แม้ว่าจะเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อรวบรวมเข้าด้วยกันแล้วในที่สุดมันก็สามารถดับพลังของกำแพงไฟลงไปได้
เ้าพวกนี้เป็แมงป่องอะไรกัน...หากว่าเหวินกวนจิ่งนั้นใช้พลังในการช่วยและปล่อยพลังเหล่านี้ออกมาก็แปลว่าเดิมทีมันก็ไม่ใช่เปลวไฟธรรมดาทั่วไป แต่พวกมันกลับถูกพิษของแมงป่องพวกนี้กำจัดไปจนหมดสิ้นได้ทำให้สามารถเห็นได้ว่าแมงป่องพวกนี้ไม่ใช่แมงป่องธรรมดาทั่วไป
เหวินกวนจิ่งเป็ผู้ควบคุมกำแพงไฟแน่นอนว่าเขาสามารถััได้ถึงความผิดแปลกของกำแพงไฟของเขาเขาขยับเปลี่ยนท่าทางมือของตัวเอง ก่อนที่จะกดให้ขอบเขตของกำแพงไฟนั้นหดเล็กลงให้เหลือขนาดที่พอจะปกป้องตัวเขาทั้งสี่ ก่อนจะะโขึ้นมาว่า “รุ่นพี่หลิน คุณลองทำลายบาเรียดูหน่อยได้ไหม!”
เขาขยับขอบเขตของกำแพงไฟเข้ามาทำให้พวกเหล่าแมงป่องนั้นขยับเข้ามาได้ใกล้มากขึ้นพวกมันพยายามพ่นพิษออกมาอย่างสุดกำลัง
ปาหนีและย่าจีต่างก็ขยับตัวเข้าใกล้เหวินกวนจิ่งมากขึ้นแน่นอนว่าพวกเขาต้องกลัวว่าจะถูกไฟกำแพงพวกนี้เผาไหม้ แต่แน่นอนว่าพวกเขาเองก็ต้องกลัวพิษของเหล่าแมงป่องเช่นกัน
หลินลั่วหรานพยักหน้าลงก่อนที่จะเรียกดาบเจาเจี้ยนกลับมาอีกครั้ง
แสงสีฟ้าประกายออกมาดาบบินธาตุน้ำเมื่ออยู่ในสถานที่ที่แห้งผากอย่างในทะเลทรายแห่งนี้ทำให้ไม่สามารถใช้วิชาบางอย่างได้ และความสามารถในการโจมตีของมันก็ลดน้อยลง
หลินลั่วหรานส่งพลังในร่างกายของตัวเองเข้าไปดาบเจาเจี้ยนขยายใหญ่ขึ้นด้วยความรวดเร็ว ตัวดาบของมันถูกครอบคลุมไปด้วยเกล็ดหิมะสีขาวใส
เพราะว่าทุกคนต่างก็หลบอยู่ในเปลวไฟขอบเขตของมันนั้นทั้งแคบและเล็กด้านหนึ่งนั้นคือพลังไฟที่ร้อนแรงอีกด้านหนึ่งก็เป็พลังแห่งความหนาวเย็นจากดาบเจาเจี้ยนปาหนีและย่าจีต่างก็เป็เพียงคนปกติทั่วไป การที่น้ำแข็งและไฟมาอยู่ใกล้กันแบบนี้ทำให้พวกเขารู้สึกเหลือเชื่อขึ้นมา
หลินลั่วหรานไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาตายไม่ใช่เพราะเพียงแค่เธอนั้นรู้สึกสงสาร แต่เป็เพราะเป่าเจียก็ยังหาไม่พบและการที่จะแก้ความลับของประติมากรรมฝาผนังเ่าั้ก็จำเป็ที่จะต้องมีทั้งสองคนในการช่วยเหลือ
ดาบเจาเจี้ยนเปล่งประกายแสงสีฟ้าออกมากระทบกับสายตาหลินลั่วหรานตั้งใจฟันลงไปยังพื้นที่ว่าง้าหัวของพวกเขา แต่กลับเห็นว่าแมงป่องกลุ่มนั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงเสียก่อนบนเนินเขาเองก็ปรากฏเงาร่างสีดำขึ้นมา
เหวินกวนจิ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนชาวพื้นเมืองทั้งสองต่างก็มองเห็นได้ไม่ชัดนักส่วนหลินลั่วหรานนั้นไม่อาจที่จะมองไม่เห็นมัน
กองทัพแมงป่องนั้นเปิดทางให้กับอุโมงค์เส้นหนึ่งพวกมันชูก้ามขึ้นพร้อมกับก้มหัวลง เนินทรายนั้นขยับสั่นไหวดวงตาของมันดูราวกับโคมไฟสีแดง ร่างของมันนั้นเปล่งประกายสีดำออกมาเรือนร่างมีขนาดใหญ่กว่าเจ็ดถึงแปดเมตร เพียงแค่ก้ามของมันก็ใหญ่ยิ่งกว่าขนาดเอวของหลินลั่วหรานเสียอีก...นี่คือแมงป่องเหรอ?
หลินลั่วหรานอดที่จะจับปลายดาบของตัวเองให้แน่นขึ้นมาไม่ได้
