ในตำหนักใหญ่ของวิทยาลัยเซิ่งตู
ไม่กี่นาทีก่อน ฉินซวงซวงกับฉินฟางฟางเพิ่งดีใจที่ตนหนีรอดฝ่ามือปีศาจของสัตว์อสูรได้ แต่นาทีต่อมา พวกนางพบว่าตนกลับมาถึงในห้องโถงใหญ่ของวิทยาลัยเซิ่งตู
“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้น? พวกเรากลับมาได้อย่างไร?”
“ใช่แล้ว นี่มันเกิดเื่อะไรขึ้น?” ฉินซวงซวงมองน้องสาวด้วยสีหน้างุนงงเช่นกัน
“พวกเ้าสองคนฝ่าฝืนกฎข้อห้า ทำร้ายผู้อื่น ต้องถูกคัดออก!” อาจารย์หญิงของวิทยาลัยโอสถคนหนึ่งแจ้ง
“พวกเรา พวกเราฝ่าฝืนหรือ?” ฉินฟางฟางมองพี่สาวแล้วเอ่ยถาม
“ต่อให้พวกเราฝ่าฝืน แล้วสามคนนั้นเล่า? พวกเขาเห็นคนจะตายกลับไม่ช่วย สมควรถูกคัดออกด้วยสิ!” ฉินซวงซวงมองอาจารย์พลางตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ
“ในกฎการฝึกวิชาสิบสองข้อของพวกเรา ไม่มีกฎว่าเห็นคนจะตาย หากไม่ช่วยต้องถูกคัดออกหรอกนะ!” อาจารย์ที่ปรึกษาหญิงตอบด้วยสีหน้าเ็า
“อาศัยอะไรมาตัดสินกัน? พวกเราเข้าร่วมการฝึกวิชาพร้อมกัน ทุกคนอาจกลายเป็ศิษย์ร่วมสำนัก พวกเขาเห็นคนกำลังจะตายกลับไม่ช่วย ไม่ต้องถูกคัดออก แต่เป็พวกเราแทนหรือที่สมควร?” ฉินซวงซวงมองอาจารย์ ถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“ใช่แล้ว ไม่ยุติธรรมเกินไปไหม?” ฉินฟางฟางรู้สึกเช่นเดียวกัน
“เฮอะ ยุติธรรม? พวกเ้าคิดว่าตัวเองเป็ใครกันฮะ? กฎของวิทยาลัยเซิ่งตูเป็สิ่งที่พวกเ้าท้าทายได้หรือ?” อาจารย์หญิงถลึงตา ตั้งคำถามอย่างไม่สบอารมณ์
“เดิมที เื่นี้ก็ไม่ยุติธรรมไหม?” ฉินซวงซวงยังโวยวายต่อ
“เฮอะ พวกเ้าเป็ใครกันฮึ? แค่บังเอิญพบพาน ทำไมผู้อื่นต้องช่วยพวกเ้า? แล้วพวกเ้ามีคุณสมบัติหรือมีเหตุผลอะไรให้ผู้อื่นยอมขายชีวิตเพื่อพวกเ้าหรือ?” อาจารย์ใหญ่หญิงงามมองทั้งสองคนก่อนเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
“นี่...” ได้ยินคำนี้ ฉินซวงซวงพลันไร้คำพูด
“เฮอะ ที่นี่คือวิทยาลัยเซิ่งตูของพวกเรา ไม่ใช่ตระกูลของพวกเ้า พวกเ้าอยากเป็คุณหนูตระกูลใหญ่ก็กลับตระกูลไปเสีย ที่นี่ไม่มีใครยอมขายชีวิตให้พวกเ้าหรอก และก็ไม่มีใครมาฟังพวกเ้าออกคำสั่งด้วย” อาจารย์ใหญ่ร่างอ้วนมองพวกนาง กล่าวขึ้นอย่างหงุดหงิดเช่นกัน
“แต่ แต่พวกเขาเป็ศิษย์ร่วมสำนักกับพวกเรานะ!” ฉินซวงซวงมองอาจารย์ใหญ่ทั้งสอง ยังคงไม่ยอมรับ
“กฎวิทยาลัยของพวกเราเพียงกำหนดว่าไม่อนุญาตให้ศิษย์ร่วมสำนักเข่นฆ่ากันในวิทยาลัย แต่ไม่มีกฎไหนบอกต้องช่วยศิษย์ร่วมสำนัก” อาจารย์ใหญ่เคราแพะมองพวกนางเล็กน้อย ตอบด้วยเสียงเ็า
ช่วยศิษย์ร่วมสำนัก? ไม่วางแผนร้ายลับหลังศิษย์ร่วมสำนักก็นับว่ามีคุณธรรมแล้ว สาวน้อยสองคนนี้โง่เขลาปานนี้เชียวหรือ?
“แต่ แต่พวกเขา...”
“พวกเขาเห็นคนกำลังจะตายแล้วไม่ช่วยหรือคิดจะชักดาบช่วยเหลือล้วนถูกต้องสมควร ไม่ได้ละเมิดกฎสิบสองข้อของพวกเรา” อาจารย์หญิงชี้แจงซ้ำอย่างจริงจัง
“พอแล้ว อาจารย์ซุน ไม่ต้องเปลืองคำพูดกับพวกนางอีกต่อไป รีบเอายัยหนูสติปัญญาสามขวบสองคนนี้ออกไปทีสิ เห็นแล้วข้าปวดหัว!” อาจารย์ใหญ่หญิงงามโบกมือส่งสัญญาณให้พาออกไป
“ฮ่าๆๆๆ...” อาจารย์ไม่น้อยได้ยินคำพูดของอาจารย์ใหญ่หญิงงามก็กลั้นหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่
ในใจคิด ‘สองคนนี้เป็ทหาร์มาจากไหน? เด็กสติปัญญาสามขวบยังไม่คิดเช่นนี้เลย!’
“เชิญ!” อาจารย์ซุนส่งเสียงเ็า ทำมือเชิญออกทีหนึ่ง
“พวกท่าน พวกท่านทำเกินไปแล้ว!” สองพี่น้องตระกูลฉินหน้าเขียว โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกจากตำหนักใหญ่ไป
อู๋ฉิงจ้องกระจกของตน ั้แ่ต้นจนจบสายตาไม่อาจละออกจากเงาสามร่างที่หลบหนีอย่างทุลักทุเล
“อู๋ฉิง ที่เ้าหนูนั่นใช้คือยันต์อะไรหรือ? สิบแผ่นก็กำจัดสัตว์อสูรขั้นสามระดับกลางตัวหนึ่งได้เชียวนะ” อาจารย์ใหญ่อ้วนถามอย่างสนใจ
“ยันต์ผนึกน้ำแข็งขั้นสามระดับสูง!” ยันต์นี่นับว่าร้ายกาจอย่างแท้จริง!
“ว้าว ยันต์ขั้นสามระดับสูง? แผ่นหนึ่งก็เจ็ดแปดพันศิลาทิพย์สินะ? สิบแผ่น ต้องใช้เจ็ดแปดหมื่นศิลาทิพย์เลยมิใช่หรือ?” อาจารย์ใหญ่อ้วนมองอู๋ฉิง อดกัดลิ้นไม่ได้พลางคิด ‘เ้าหนูนี่ จะทำตระกูลล่มจมเลยหรือ?’
“คง คงไม่ใช่ว่าเขาวาดออกมาเองหรอกนะ?” อาจารย์ใหญ่หญิงงามมองอู๋ฉิง เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
หากหลิ่วเทียนฉีเป็ผู้ใช้ยันต์ขั้นสามระดับสูง ถ้าเช่นนั้นก็ร้ายกาจผิดธรรมดาแล้ว!
“ไม่ใช่ ด้วยความสามารถของเขาตอนนี้ วาดยันต์ขั้นสามระดับสูงออกมาไม่ได้หรอก!” อู๋ฉิงส่ายศีรษะปฏิเสธ
แม้เขามั่นใจมากว่ายันต์นั่นไม่ใช่เด็กน้อยวาด แต่ตอนอีกฝ่ายใช้ยันต์ถึงห้าแผ่น อู๋ฉิงััได้ว่ายันต์ห้าแผ่นกับเด็กน้อยมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งยิ่งนัก
อาจเป็ผู้ใหญ่ในตระกูลของอีกฝ่ายวาดให้งั้นหรือ?
ได้ยินอู๋ฉิงว่าเช่นนี้ อาจารย์ใหญ่หญิงงามถึงสงบ ก็คิดอยู่ คงไม่มีทางร้ายกาจปานนั้นหรอก?
.........
สิบวันให้หลัง
แม้พวกหลิ่วเทียนฉีลำบากมากเท่าไร แต่พวกเขาก็เดินทางออกมาจากเขตใจกลางได้
“เทียนฉี หัวไหล่ของเ้ายังเจ็บอยู่ไหม?” เฉียวรุ่ยมองคนรักพลางเอ่ยขึ้นอย่างเป็กังวล
“วางใจเถอะ แผลหายหมดแล้วล่ะ!” หลิ่วเทียนฉีส่ายศีรษะพลางบอก ปราณทิพย์ในสถานที่นี้รักษาอาการาเ็ได้เป็อย่างดี โอสถกับยาทาภายนอกก็ดีกว่ายาสมัยปัจจุบันมากนัก แผลภายนอกจึงหายดีได้เร็วนัก
“เฉียวรุ่ย ข้าก็เป็คนเจ็บนะ เ้าเอาแต่ถามเทียนฉีทุกวัน ทำไมถึงไม่ถามข้าบ้างเล่า?” ต่งเฟิงส่งเสียงบ่นไม่พอใจ
“เ้าวิ่งได้ ะโได้ ยังต้องให้ข้าถามอีกหรือ?” เฉียวรุ่ยถลึงตามองอีกฝ่าย พูดเหมือนเป็เื่ถูกต้อง
“เฮ้อ มีคู่หมั้นนี่ดีจังนะ!” ต่งเฟิงเห็นท่าทางรักใคร่กลมเกลียวของทั้งสองคนก็ถอนหายใจเฮือก
“รอออกจากเขาเทียนมู่ เ้าค่อยหาสักคนก็ได้นี่?”
ได้ยินอย่างนั้น ต่งเฟิงพยักหน้าน้อยๆ “นั่นก็จริง!”
หลิ่วเทียนฉีจูงมือคนรัก ััได้ว่าพลังทิพย์ของเฉียวรุ่ยรั่วไหลออกมาข้างนอกอยู่เลือนราง
“เสี่ยวรุ่ย เ้ารู้สึกถึงกำแพงชั้นนั้นแล้วหรือเปล่า?”
“อืม เดือนก่อนข้าััได้ แต่ข้าไม่กล้าลองถึงกดไว้ตลอดน่ะ!” เฉียวรุ่ยพยักหน้าตอบรับ
อันที่จริง ก่อนหน้าเข้าร่วมการสอบคัดเลือก หลังเขาดูดซับวารีบำรุงิญญาครึ่งขวดก็รู้สึกอยู่จางๆ และเมื่อมาถึงเขาเทียนมู่ ต้องสังหารสัตว์อสูรทุกวัน พลังจึงยิ่งคงที่จนรู้สึกชัดขึ้นไปทุกที
“ไม่ได้ พวกเรายังต้องอยู่ที่นี่อีกเดือนหนึ่งเชียวนะ? เ้าไม่อาจกดไว้ได้ตลอดหรอก ดูท่าว่าพวกเราต้องหาสถานที่ปลอดภัยสักแห่งให้เ้าเลื่อนระดับก่อนสินะ”
“ไม่ ไม่ดีกระมัง? เลื่อนระดับสร้างรากฐานที่นี่หรือ? อันตรายเกินไปไหม?” ต่งเฟิงมองหลิ่วเทียนฉีพลางส่งเสียงอุทานใ
“ช่วยไม่ได้นี่ อย่างไรก็ควรเลื่อนระดับ พลังทิพย์ของเสี่ยวรุ่ยเริ่มรั่วออกมาข้างนอก หากไม่เลื่อนระดับอีก ร่างของเขาจะะเิ!” พูดถึงตรงนี้ หลิ่วเทียนฉีพลันอับจนหนทาง
“อ้อ นั้นก็ใช่!” ต่งเฟิงพยักหน้า เข้าใจความร้ายแรงของเื่นี้ขึ้นมา
“ไปเถอะ พวกเราไปหาถ้ำูเาเหมาะๆ สักแห่ง เช่นนั้นน่าจะปลอดภัยอยู่บ้างล่ะ” หากมีถ้ำูเาสักแห่งย่อมปลอดภัยกว่าอยู่ข้างนอกเป็แน่
“ถ้ำูเา? แต่อาจมีสัตว์อสูรนะ?” ต่งเฟิงพูดแล้วขมวดคิ้ว
“เช่นนั้นก็สังหารแล้วแย่งมา อย่างไรก็ออกจากเขตใจกลางแล้ว ด้านนี้คงไม่มีสัตว์อสูรขั้นสามหรอก!”
“ก็จริง!” ต่งเฟิงพยักหน้าเห็นด้วย
.........
สามวันให้หลัง
ฟ้าไม่ทรยศคนตั้งใจ ทั้งสามคนค้นหาด้วยกันอยู่สามวัน ในที่สุดก็หาถ้ำูเาแห่งหนึ่งพบ
นอกถ้ำห่างออกไปราวสิบเมตร หลิ่วเทียนฉีมัดใยไหมฟ้าไว้บนต้นไม้ แปะยันต์วิเศษไว้เสร็จสรรพ ทำกับดักที่เข้าได้เพียงอย่างเดียวอันหนึ่งไว้ หลังจากนั้นจึงวางศพสัตว์อสูรขั้นสองที่ตายแล้วตัวหนึ่งไว้ในกับดักอีก
ต่งเฟิงหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ห่างไปสิบเมตร มองกับดักที่หลิ่วเทียนฉีทำก็เบ้ปาก “เทียนฉี เ้าชั่วร้ายเอาเื่เลยนะ ถึงกับวางแผนยึดบ้านของอสูรหมีเช่นนี้!”
“เฮอะ ไม่ได้ชั่วร้ายสักหน่อย นี่เรียกกลยุทธ์ กลยุทธ์น่ะ เ้าเข้าใจหรือเปล่า?” เฉียวรุ่ยถลึงตามองอีกฝ่ายอย่างเหี้ยมโหด เขาเถียงอย่างไม่ยอมแพ้
“ไม่ต้องพูดแล้ว พวกมันกำลังจะออกมา!” หลิ่วเทียนฉีโบกมือ ส่งสัญญาณให้ทั้งสองคนเงียบ
ได้ยินเข้า ทั้งสองคนหุบปากทันที
เวลาผ่านไปคล้ายดื่มชาหนึ่งถ้วย ครอบครัวอสูรหมีสามตัวก็เดินส่ายไปมา เข้าไปในกับดักที่ทำไว้
เห็นเ้าตัวโตทั้งสามเข้าไป หลิ่วเทียนฉี เฉียวรุ่ยและต่งเฟิงจึงกระตุ้นยันต์สื่อนำพร้อมกัน ยันต์ะเิ ยันต์อัคคี ยันต์อสนีบาตและยันต์ทองที่อยู่ในกับดักถูกกระตุ้น ทำให้หมีทั้งสามตัวโดนะเิตายทันที
ทั้งสามคนวิ่งเข้ามาเก็บศพของสัตว์อสูรทั้งสามร่างโดยเร็ว พอหลิ่วเทียนฉีเก็บใยไหมฟ้าทั้งสองเส้นเรียบร้อย พวกเขาพลันดีอกดีใจ รีบเดินเข้าไปในถ้ำหมี
“ไม่เลวเลย ทั้งใหญ่และกว้างขวาง เหมาะให้เฉียวรุ่ยเลื่อนระดับเป็ที่สุด!” ต่งเฟิงมองสภาพด้านในถ้ำหมีเล็กน้อยก็พยักหน้าหลายหน
“ต่งเฟิง หากเสี่ยวรุ่ยจะเลื่อนระดับ เกรงว่าคงล่าช้าไป่เวลาหนึ่ง เ้าเดินทางไปก่อนเถอะ อย่าให้เกินกำหนดสามเดือนเลย!” หลิ่วเทียนฉีมองต่งเฟิงพลางเอ่ยอย่างจริงจัง
หากเกินกำหนดย่อมถูกคัดออก ต่งเฟิงกับพวกเขาเพียงบังเอิญพบพาน เขาย่อมไม่หวังให้อีกฝ่ายถูกคัดออกเพราะพวกเขาหรอก
“เทียนฉี เ้าพูดอะไรเล่า? ตลอดทางมานี้ล้วนเป็เ้ากับเฉียวรุ่ยที่ดูแลข้า ครั้งนี้เฉียวรุ่ยเลื่อนระดับ ข้าจะทอดทิ้งพวกเ้าสองคนได้อย่างไรกัน? ข้าต่งเฟิงไม่ใช่คนเช่นนั้น!” ต่งเฟิงส่ายศีรษะตอบ เขาไม่ยินดีจากไป
“แน่ใจนะว่าเ้าจะอยู่?” หลิ่วเทียนฉีมองเขา เอ่ยถามอีกครั้ง
“อืม ข้าจะอยู่!” ต่งเฟิงพยักหน้าตอบกลับ
“ก็ได้!” หลิ่วเทียนฉีพยักหน้ารับ เอาแผ่นค่ายกลระดับสามออกมา วางไว้หน้าปากถ้ำหมีแล้วกระตุ้น
“เทียนฉี นี่คือ?” ต่งเฟิงเห็นแสงสีน้ำเงินลุกโชนพุ่งขึ้นที่ปากถ้ำก็ชำเลืองมองอีกฝ่าย
“นี่คือค่ายกลสังหารระดับสาม หากมีมันอยู่ สัตว์อสูรขั้นสองหรือขั้นสามตัวใดก็อย่าได้คิดเข้ามา!”
“ฮ่าๆๆ เ้านี่ดีจริงเชียว!” ต่งเฟิงพยักหน้าชม
หลิ่วเทียนฉีหันกลับมามองคนรัก
“เสี่ยวรุ่ย นี่คือโอสถสร้างรากฐาน โอสถอดอาหารและศิลาทิพย์ห้าหมื่นก้อน เ้าไปด้านในเลื่อนระดับเสียเถอะ ข้าจะทำกำแพงป้องกันให้เ้าอีกชั้นหนึ่ง รับประกันความปลอดภัยให้เ้าเอง” หลิ่วเทียนฉีเอาโอสถสองเม็ดกับศิลาทิพย์ถุงหนึ่งออกมาส่งให้
“อื้อ!” เฉียวรุ่ยพยักหน้า รับโอสถกับศิลาทิพย์ก่อนเดินเข้าไปด้านในถ้ำหมี
หลิ่วเทียนฉีเอากระดูกซี่โครงของสัตว์อสูรที่ยาวเท่ากันสี่ชิ้นออกมาจากในแหวนมิติ ปักกระดูกซี่โครงสี่ชิ้นบนพื้น เว้นห่างระหว่างกันครึ่งเมตรเรียงเป็แถวหนึ่ง จากนั้นเอายันต์วิเศษสี่แผ่นออกมา แบ่งแปะไว้บนกระดูกทั้งสี่ชิ้น
เขาค่อยๆ กรอกพลังทิพย์เข้าไปกระตุ้นยันต์วิเศษตามลำดับ กำแพงวารีสีน้ำเงินผืนหนึ่งแบ่งถ้ำหมีออกเป็สองส่วนทันที
“ฮึๆ เ้านี่ดีนะ!” ต่งเฟิงเห็นกำแพงวารีสูงใหญ่ เขารู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง
“ปากถ้ำต้องวางไว้สักหน่อย เ้ามาช่วยข้าเร็ว!” หลิ่วเทียนฉีพูดพลางเดินไปตรงปากถ้ำหมี
“ได้สิ!” ต่งเฟิงพยักหน้า ใช้กระดูกสัตว์อสูรกับใยไหมฟ้าวางเกราะป้องกันตรงปากถ้ำด้วยกันกับเขา
“ทุกสิ่งเป็อันเรียบร้อย พวกเราพักผ่อนสักหน่อยเถอะ!” ต่งเฟิงมองหลิ่วเทียนฉีแล้วยิ้มพลางเอ่ยขึ้น
“อืม พักผ่อนกันสักพักเถอะ!” หลิ่วเทียนฉีพยักหน้า โยนเนื้อย่างชิ้นหนึ่งให้อีกฝ่าย ทั้งสองคนนั่งลงด้านในถ้ำหมีก่อนเริ่มลงมือกิน