ดูเหมือนว่าจุดรวบรวมพลังปราณของอสรพิษมัจจุราชเพลิงมรกตนี้จะเป็จุดกึ่งกลางที่ปรากฎเป็อัญมณีสีมรกตเืที่เปล่งประกายแสงวูบวาบ หนิงอ้ายกับเฟยหลงลอบสบตาก่อนจะพยักหน้าให้กันอย่างมีความนัย ขณะที่มันกำลังห่วงพะวงกับการหลุดรอดไปจากพันธนาการพวกเขาจะต้อง่ชิงหรือทำลายอัญมณีให้ได้ ทั้งสองต่างปราดท่าร่างวิชาตัวเบาไปอย่างรวดเร็วก่อนที่กริชสั้นในมือของเฟยหลงจะทอประกายแสงสีเข้ม พร้อมกับกระบี่ในมือของหนิงอ้ายได้อาบย้อมไปด้วยปราณทิวาธาตุอันเข้มข้น
อสรพิษมัจจุราชเพลิงมรกตคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว ยิ่งมันขยับร่างกายมากเท่าใดพันธนาการอันน่าชังนี้ยิ่งผูกมัดแน่นขึ้นและสร้างความเ็ปเกินกว่าจะทนรับได้ มากไปกว่านั้นจิติญญาที่เปี่ยมไปด้วยไอสังหารจากการดูดซับตลอด่เวลาหลายหมื่นปีมานี้พลันอ่อนจางไปส่วนหนึ่ง ไม่คาดคิดว่าวิชายุทธ์ของมนุษย์ผู้ฝึกตนตรงหน้าจะมีความร้ายกาจได้มากถึงเพียงนี้
ดวงตาสีแดงของอสรพิษมัจจุราชเพลิงมรกตสว่างวาบด้วยความตื่นตระหนก ไม่คาดคิดว่าพวกมนุษย์ทั้งสองจะไม่ได้รับผลประทบจากหมอกควันพิษเหล่านี้สักเพียงนิด ฉับพลันนั้นอัญมณีตรงกึ่งกลางหน้าผากได้ทอแสงหลังจากได้รับการกระตุ้นถึงขีดสุด เกิดเป็สุดยอดเปลวเพลิงมรกตสองสายพุ่งเข้าขัดขวางทั้งสองด้วยความรวดเร็ว คลื่นพายุอัคคีต่างเข้าถาโถมอย่างเต็มกำลัง
การประสานโจมตีของทั้งสองที่ถูกหยุดชะงักในก่อนหน้าได้เคลื่อนไหวบัญชาการ ความเงียบสงบแทนที่ด้วยความรุนแรงและดุดันอย่างถึงที่สุด ฉากอันน่าสะพรึงปรากฏแก่สายตาอีกครั้ง เงาร่างของอสูรัผีเสื้อจักรพรรดิจรัสแสงนิรันดร์ได้ปรากฏขึ้นก่อนจะเข้าจู่โจมอสรพิษมัจจุราชเพลิงมรกตที่ใกล้หลุดพ้นจากพันธการดังกล่าว แรงะเิสั่นะเืไปทั่วทั้งเส้นทางนรกสายพร้อมกับเสียงคำรามต่ำอันเกิดจากการสั่นะเืดังก้องทั่วทิศ
สิ้นเสียงบัญชาการครั้งสุดท้ายเงาร่างของอสูรัผีเสื้อจักรพรรดิจรัสแสงนิรันดร์ได้พุ่งเข้าโจมตีส่วนของอัญมณีสีมรกตเื เมื่อแหล่งรวบรวมพลังปราณแล้วอสรพิษมัจจุราชเพลิงมรกตก็นับว่าเป็เพียงสัตว์อสูรที่อ่อนแอตัวหนึ่งเท่านั้น เฟยหลงไม่รอช้าตวัดกริชสั้นออกไปสะบั้นส่วนศีรษะให้ขาดจากร่างกายไปในที่สุด เมื่อร่างกายใหญ่โตของอสรพิษได้ล้มลง สิ่งที่ปรากฏขึ้นมีเพียงแก่นปราณอสูรสีเขียวเืที่ลอยคว้างบนร่างไร้ิญญา ไม่ต้องแสดงความลังเลแต่อย่างใดทั้งสิ้น เฟยหลงได้ส่งมอบแก่นปราณอสูรนี้ให้แก่ร่างบางที่ยืนอยู่ไม่ห่างไปนัก ด้วยความสามารถและฝีมือของอีกฝ่ายย่อมสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ได้อย่างแน่นอน
ร่องรอยความเสียหายจากการปะทะกับอสรพิษมัจจุราชเพลิงมรกต ได้ส่งผลให้ทั่วทั้งบริเวณดังกล่าวเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลี่ยนและหมอกของพิษมรณะที่เข้มข้น ดังนั้นทั้งสองจึงตกลงที่จะรีบเร่งเดินทางไปจากบริเวณนี้โดยเร็วที่สุด ทว่าหลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งลี้ สภาวะกดดันหนาแน่นสายหนึ่งได้สะกดข่มร่างกายของพวกเขาอย่างหนักหน่วง ทุกการย่างก้าวไปยังเบื้องหน้าแต่ละครั้งต้องรวบรวมพลังลมปราณที่เพิ่มทวีมากขึ้น ดูเหมือนว่าการทดสอบด่านสุดท้ายนี้จะเป็การตั้งรับต่อแรงกดดันของพลังพิสดารสายนี้อย่างแน่นอน
หลังจากผ่านการท้าทายถึงสองครั้งกับการรับมือสัตว์อสูรมายาระดับสูง แน่นอนว่าหากพวกเขาทั้งสองเลือกที่จะเข้าสู่เส้นทางนรกสายนี้เพียงตัวคนเดียว คาดว่าผลลัพธ์คงไม่เป็ไปเช่นนี้ ดูเหมือนว่าการตัดสินใจร่วมมือกันจะเป็ความคิดที่ดีอย่างแท้จริง หากเป็ไปตามบันทึกที่เฟยหลงได้ศึกษาในก่อนหน้า เส้นทางนรกจะมีแบบทดสอบถามครั้งที่แตกต่างกันออกไป ขอเพียงพวกเขาทั้งสองสามารถผ่านด่านสุดท้ายนี้ได้ก็จะสามารถออกจากการทดสอบนี้และได้รับสมญานามเทพแห่งการสังหารได้อย่างสมบูรณ์
แรงกดดันสะกดข่มได้ส่งผลให้พลังปราณในร่างกายเริ่มแห้งขอดจนเห็นได้ชัด ด่านทดสอบสุดท้ายนี้แม้ดูเหมือนว่าหากสามารถข้ามผ่านแรงสะกดข่มพลังปราณไปได้ย่อมไม่ใช่เื่ลำบากยุ่งยาก อย่างไรหลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งเค่อพวกเขาทั้งสองก็ได้รับรู้ถึงเงื่อนไขพิเศษ นั่นคือในด่านทดสอบนี้ไม่อาจพึ่งพาโอสถเสริมพลังลมปราณได้ หรือแม้กระทั่งพื้นที่ส่วนนี้ยังถูกสกัดกั้นพลังลมปราณฟ้าดิน ซึ่งนี่จึงเท่ากับว่าพวกเขาต้องพึ่งพาพลังลมปราณที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย สายโลหิต หรือไขกระดูกเท่านั้นเพื่อที่จะผ่านการทดสอบสุดทายนี้
ตรงเบื้องหน้าไม่ถึงหนึ่งลี้ปรากฏเป็ปลายอุโมงค์ที่มีแสงสว่าง ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเส้นทางนรกสายนี้มีประวัติความเป็มาหรือจุดประสงค์ของผู้ที่คิดด่านทดสอบนี้้าสิ่งใด ทว่าสิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันได้นั้นคือผู้ที่ออกกฎการทดสอบนั้นชื่นชอบเห็นความทรมานและการดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างแน่นอน
ทันใดนั้นไอสังหารที่มีความเข้มข้นถึงขีดสุด ราวกับว่าส่วนนี้เป็จุดรวบรวมไอสังหารทั้งหมดได้ทะลักทลายปะทุขึ้น ด้วยสภาพร่างกายและจิตใจของหนิงอ้ายกับเฟยหลงที่ยังคงอ่อนล้าจึงไม่อาจตั้งรับไว้ได้ทัน สิ่งนี้จึงทำให้พวกเขาทั้งสองได้ดำดิ่งเข้าสู่วัฏจักรของจิตสังหารที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นอาฆาตถึงขีดสุด กระแสพลังสายนี้ต่างทะลักเข้าสู่ร่างกายอย่างหนักหน่วงและรวดเร็วอยู่ในระดับที่น่ากลัวยิ่ง ทว่าเพียงไม่นานได้มีพลังปราณสายหนึ่งที่คุ้ยเคยได้เข้ามาโอบล้อมร่างกายของทั้งสอง ก่อนจะปรับสมดุลให้ร่างกายค่อย ๆ ผสานเข้ากับจิตสังหารนี้ให้เป็ส่วนหนึ่งของร่างกายที่ผสานเข้ากับจิติญญาเป็หนึ่งเดียวกัน
ดูเหมือนว่าหนิงอ้ายจะเข้าใจมากขึ้นแล้วไม่น้อย ั้แ่พวกเขาก้าวเข้าสู่เมืองแห่งการสังหารล้วนได้รับอิทธิพลจากกระแสพลังสายนี้มาโดยตลอดอย่างไม่รู้ตัว แม้กระทั่งหนิงอ้ายที่มีจิตััอันล้ำลึกยังไม่อาจล่วงรู้ถึงสิ่งนี้ที่เข้ามาแทรกซึมในร่างกายได้ การเข้าทดสอบในเส้นทางนรกสายนี้หาใช่เพียงเพื่อการรับสมญานามเทพแห่งการสังหารอย่างสมศักดิ์ศรีเท่านั้น ทว่าเมื่อก้าวเข้าสู่เส้นทางนี้แล้วต้องผ่านไปให้ได้โดยเร็วที่สุด ยิ่งอยู่สถานที่แห่งนี้นานเท่าใด อิทธิพลจากความชั่วร้ายที่สั่งสมเข้มข้นมาตลอดหลายพัน หลายหมื่นปีก็จะยิ่งลึกล้ำมากขึ้นเท่านั้น
สิ่งที่กระจ่างแก่ใจไปมากกว่านั้น กล่าวว่าการเก็บแต้มชนะหนึ่งร้อยสนามประลองใช่ว่าตลอดหลายปีมานี้จะไม่มีผู้ใดกระทำได้ ทว่าเมื่อสุดยอดนักต่อสู้เ่าั้ได้รับข้อเสนออันเย้ายวนใจหรือได้ล่วงรู้เกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ได้รับหากเข้าร่วมการทดสอบเส้นทางนรกแล้ว จึงไม่อาจห้ามความ้าและต่างเข้าร่วมทดสอบในเส้นทางนรกนี้เป็อย่างมาก
ท้ายที่สุดแล้วกลับไม่มีผู้ใดรอดชีวิตไปได้ทั้งสิ้น หลักฐานนั้นคือจิติญญาบางสายนั้นมีอายุเพียงไม่กี่ร้อยปีเพียงเท่านั้น หรือแม้กระทั่งโครงกระดูกมากมายที่กระจัดกระจายเรียงรายตลอดทางเดิน ด้วยภาพมายาที่ปกคลุมก่อนหน้าพวกเขาจึงไม่พบเห็น ทว่าหลังจากที่กระแสพลังจิตสังหารได้ปรับประสานเข้ากับร่างกายได้ดังเช่นในยามนี้ เมื่อหันหลังกลับไปต่างมองเห็นสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเช่นกัน
“ท่านเป็อย่างไรบ้าง ยังไหวอยู่หรือไม่?” หนิงอ้ายถามเฟยหลงที่ยังตามหลังด้วยความเป็ห่วง การทดสอบภายใต้สภาวะแรงกดดันดังกล่าวนี้เขาไม่อาจเข้าไปก้าวก่ายหรือช่วยเหลือได้ แม้อีกฝ่ายจะเป็ถึงราชทินนามราชันิญญาขั้นต้นผู้หนึ่งที่มีรากฐานพลังบ่มเพาะโดดเด่นก็ตาม
“การทดสอบนี้ข้าต้องข้ามผ่านไปให้ได้ เ้าไปรอข้าที่ปลายอุโมงค์นั่นเสียเถอะอีกไม่นานข้าจะรีบเร่งตามไป...” เฟยหลงเอ่ยขึ้นพร้อมกับรีดเค้นพลังลมปราณอย่างยิ่งยวดเพื่อบังคับขาทั้งสองให้ก้าวเดินต่อไปไม่หยุดยั้ง หนิงอ้ายที่ได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้ารับ ก่อนจะค่อย ๆ รวยรวมพลังลมปราณและก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคงอีกครั้ง
หากเทียบกับหนิงอ้ายที่เติบโตในดินแดนระดับสูง ม่านมิติพิสดารอันเป็สถานที่พำนักของเทพาทั้งสามแล้ว และไม่นับรวมไปกับสุดโอสถสร้างกายเนื้อและโอสถวิเศษระดับสูงอีกมากมายที่เขาได้รับการบ่มเพาะตลอด่เวลามานี้ แม้จะเป็เพียงราชทินนามราชันิญญาขั้นสูงระดับห้าสิบแปดก็จริง ทว่าความหนักแน่นของพลังลมปราณบ่มเพาะในร่างกายยามนี้ไม่ต่างไปจากราชทินนามเทพยุทธ์ิญญาขั้นต้นเสียด้วยซ้ำ
ด้วยความต่างชั้นของพลังิญญาเช่นนี้ แม้หนิงอ้ายจะต้องตกอยู่ในสภาวะเขตแดนกดดันพลังิญญาที่ไม่ต่างจากแบกเขาบรรพตลูกใหญ่ในทุกก้าวเดินนั้น ขุมพลังที่ซุกซ่อนอยู่ในสายโลหิตหรือไขกระดูกค่อย ๆ ปลดปล่อยออกมา หนิงอ้ายไม่ลืมเคี่ยวกรำพลังปราณสายนี้ให้มีความลึกล้ำหนักแน่นอย่างถึงที่สุด ดูเหมือนว่าการทะลวงคอขวดของเขตขั้นราชทินนามเทพยุทธ์ิญญาเริ่มชัดเจนขึ้นแล้ว
เหงื่อกาฬมากมายที่ชุ่มโชกภายใต้หน้ากากที่ปกปิดใบหน้า ั์ตาสีดำประกายของหนิงอ้ายยังคงจดจ้องไปยังเบื้องหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว อีกไม่กี่ก้าวเดินเขาก็จะข้ามผ่านเขตแดนการทดสอบนี้เสียที หันไปข้างหลังเห็นเพียงเงาร่างของเฟยหลงที่ยังคงมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ ภาพของอีกฝ่ายซ้อนทับกับคนในความทรงจำจนหนิงอ้ายอดไม่ได้ที่จะคาดเดาบางสิ่งก่อนจะสะบัดหัวไล่ความคิดดังกล่าวออกไปในที่สุด
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกับรวบรวมพลังลมปราณออกมาครั้งสุดท้าย ดูเหมือนว่ายิ่งเข้าใกล้ปลายทางของอุโมงค์แห่งนี้มากเท่าใด แรงสะกดข่มกดดันได้เพิ่มทวีคูณขึ้นจนร่างกายไม่อาจตั้งรับได้โดยง่าย ทว่าจิตใจที่แข็งแกร่งมั่นคงได้สั่งการให้ร่างกายก้าวเดินต่อไปอย่าได้หยุดยั้ง เขามีโอกาสเพียงครั้งเดียว หากล้มเหลวไปสิ่งที่เขาต่อสู้มาั้แ่ต้นก็จะสูญเปล่าทันที
ในที่สุดภาระหนักอึ้งในใจของหนิงอ้ายก็ผ่อนคลายลง เมื่อเขาข้ามผ่านปลายอุโมงค์ที่เป็ดั่งธรณีประตูได้สภาวะกดดันพลันสูญสลายไปสิ้นเช่นกัน ร่างกายบอบบางของหนิงอ้ายทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดูเหมือนว่าดอกผลจากการเข้าร่วมเส้นทางสังหารนี้ไม่ใช่เพียงได้รับจิติญญาแห่งไอสังหารเพียงเท่านั้น ยามนี้เขาสามารถข้ามขั้นทะลวงพลังปราณเป็ราชทินนามเทพยุทธ์ิญญาขั้นต้นได้อย่างเต็มเท้าแล้วเช่นกัน
ดังนั้นสิ่งที่เขาควรกระทำยามนี้คือรีบดูดซับโอสถวิเศษเพื่อฟื้นฟูพลังลมปราณให้รวดเร็วที่สุด การทะลวงข้ามขั้นยังอยู่ในกระบวนการที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ หลังจากนี้เขาจะต้องดูดซับพลังลมปราณฟ้าดินและเคี่ยวกรำพลังปราณในร่างกายให้ลึกล้ำและหนักแน่นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทว่าก่อนที่หนิงอ้ายจะลงมือกระทำตามที่ใจนึก ราวกับว่าร่างกายของเขาได้ถูกฉุดกระชากไปยังสถานที่หนึ่ง รอบด้านนั้นเต็มไปด้วยััอันเย็นะเืที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไอสังหารระดับต้นกำเนิดอย่างแท้จริง ประสานแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งเข้าสู่กลางหน้าผากโดยที่ไม่อาจสกัดกั้นได้ ฉับพลันนั้นความเ็ปทรมานเกินกว่าจะคาดคิดได้ส่งผลให้เขากรีดร้องดังออกมาอย่างทรมานอย่างถึงที่สุด ภายในห้วงมิติอันว่างเปล่านี้ไม่ต่างไปจากแบบทดสอบจิตใจครั้งยิ่งใหญ่ที่ต้องเผชิญหน้าเพียงลำพัง กระแสพลังประหลาดสายหนึ่งได้ถูกถ่ายทอดสลักลึกลงไปถึงจิติญญาจนสั่นสะท้าน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดเปลือกตาสีมุกได้เปิดขึ้นเผยให้เห็นดวงตาสีดำกระจ่างใส ราวกับเป็เพียงความฝันเพียงตื่นหนึ่งเท่านั้น ความรู้สึกที่เด่นชัดในยามนี้คือเขาสามารถเคี่ยวกรำพลังปราณได้มากถึงสามพันครั้ง และเขตแดนเทพสังหารได้สำเร็จในที่สุดไม่ห่างไปนั้นเฟยหลงที่เห็นว่าร่างบางได้ออกจากการบ่มเพาะพลังปราณแล้วจึงปราดร่างเข้ามาสำรวจในทันที
“เ้าเป็อย่างไรบ้าง หลังจากนั้นอีกสองชั่วยามข้าก็สามารถผ่านการทดสอบและออกมาได้สำเร็จ ดูเหมือนว่าดอกผลครั้งนี้จะส่งผลให้ท่านเป็ราชทินนามเทพยุทธ์ิญญาแล้วกระมัง...”
“เป็เช่นนั้น แล้วท่านเป็อย่างไรบ้าง แต่ดูเหมือนว่าเราทั้งสองจะได้รับเขตแดนสังหารเหมือนกันใช่หรือไม่?” หนิงอ้ายแผ่จิติญญาเพื่อััอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าระหว่างที่เขากำลังเคี่ยวกรำพลังิญญาให้คุ้นชินนั้น อีกฝ่ายก็สามารถทะลวงขั้นย่อยเป็ราชทินนามราชันิญญาขั้นกลางได้แล้วเช่นกัน
“นี่เป็สิ่งที่ยืนยันได้ว่าข้าตัดสินใจถูกแล้ว ที่ชวนเ้าเข้าร่วมทดสอบเส้นทางนรกเช่นนี้ ขอบคุณที่เ้าช่วยเหลือข้า...” เฟยหลงเอ่ยขึ้นด้วยถ้อยคำอ่อนโยน
“อย่าได้ถือเป็บุญคุณเช่นนั้น ครั้งนี้สำเร็จได้เพราะพวกเราทั้งสองต่างร่วมมือกันทั้งสิ้น”
“ข้ามีคำถามมากมายที่้าสอบถามเ้า ข้าอยากรู้ว่า...”
“ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องพูดคุยกันในเื่นี้ พบกันครั้งหนึ่งถือเป็วาสนา หากได้พบเจอกันอีกครั้งข้าจะตอบทุกคำถามที่ท่านสงสัย ดีหรือไม่?”
“ข้าเข้าใจแล้ว หวังว่าในวันข้างหน้าเราทั้งสองจะได้พบเจอกันอีกครั้ง” เฟยหลงเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมกับจ้องมองร่างบางตรงหน้านี้ให้ได้นานที่สุด
แม้จะคาดเดาได้ถึงตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายแต่เขายังไม่กล้าคาดหวังสักเท่าไหร่นัก อีกทั้งยามนี้ดูเหมือนอีกฝ่ายยังมีเื่ราวปกปิดที่ยังไม่อาจเปิดเผยได้ ขอเพียงอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่เช่นนี้ ความรู้สึกหม่นหมองในจิตใจพลันมลายไปสิ้น แน่นอนว่าเส้นทางเดินหลังจากนี้ อาจทำให้พวกเขาทั้งสองไม่อาจพบเจอกันได้โดยง่าย แต่แล้วอย่างไรเล่า หลังจากจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเสร็จสิ้นแล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ที่ใดเขาจะไม่ยอมพลัดพรากอีกครั้งเป็แน่…
“หนิงเอ๋อร์ เป็อย่างไรบ้างเ้า...” เสียงทุ้มต่ำของม่อเหยียนดังขึ้นจากด้านหลังเรียกความสนใจของหนิงอ้ายได้ในที่สุด หลังจากที่ก่อนหน้านี้เขาได้แยกทางกับเฟยหลงกลับไปยังเส้นทางเดิมของตน
“ท่านพ่อบุญธรรม ข้าทำสำเร็จแล้วขอรับ” แม้ถ้อยคำจะแสดงถึงความยินดีมากเพียงใด ทว่าดวงตาของหนิงอ้ายยังคงปรากฏความเฉยชา สิ่งนี้กล่าวว่าเป็ผลกระทบจากตลอดเวลาสามปีที่เข้าสู่เมืองแห่งการสังหารนี้นั่นเอง
“สามารถทำสำเร็จด้วยระยะเวลาเพียงสามปี เ้าทำได้ดีมาก” ม่อเหยียนเอ่ยชมเด็กหนุ่มตรงหน้าไปอีกครั้ง
“หากข้าคาดเดาไม่ผิด ท่านพ่อบุญธรรมคงเป็เทพแห่งการสังหารคนแรกใช่หรือไม่ขอรับ”
“เป็เช่นนั้น” การตอบรับไม่ปฎิเสธของม่อเหยียนยิ่งส่งผลให้ฐานะของอีกฝ่ายในใจของหนิงอ้ายเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น ในสักวันเขาจะเดินตามรอยและเก่งกาจเหมือนบิดาบุญธรรมผู้นี้ให้ได้
“เ้าได้รับเขตแดนสังหารด้วยใช่หรือไม่??”
“ขอรับ...” ได้ยินเช่นนั้นแล้ว ม่อเหยียนอดไม่ได้ที่จะใช้มือหนาลูบศีรษะของอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู แม้ยามนี้อีกฝ่ายจะอายุยี่สิบปีแล้ว แต่ในความรู้สึกของเขานั้นหนิงอ้ายยังคงเป็เสี่ยวเปาตัวน้อยที่น่ารักตลอดไป...
