หลังจากใช้เวลาสามวัน เว่ยซูหาน และเหยียนชิงก็มาถึงประตูเมืองเทียนซู ขบวนรถหยุดอยู่ ณ บริเวณโล่งแจ้ง
“พวกเราจะเข้าเมืองแล้ว เ้าลงจากรถเถอะ”
เหยียนชิงถูกอีกฝ่ายคว้าไปกอด ั้แ่เมื่อครู่เว่ยซูหานกอดเขาไว้เงียบๆ ซุกหัวไว้ใต้คอ ไม่รู้ว่าจะก่อเื่อะไรอีก
เว่ยซูหานเงยหน้าขึ้นยกมือจับไหล่ทั้งสองข้างของเขา “ชิงเอ๋อร์ ข้าว่า ข้าจะนั่งรถเข้าเมืองไปกับเ้า...”
“ไม่ได้ ลงไป” เหยียนชิงปฏิเสธเสียงแข็ง “เ้าพักผ่อนเสร็จแล้วก็รีบกลับไป”
“ก็ได้”
เว่ยซูหานหานยอมอ่อนข้อให้ หากถูกจับได้ก็จะทำให้เหยียนชิงต้องลำบาก
เมื่อเหยียนชิงเห็นท่าทางอ่อนลงของเขาจึงผลักออก
“ระหว่างทางกลับก็ระวังด้วย เื่ในจวนถ้าจัดการได้ก็ทำเสีย แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ให้ท่านแม่จัดการ หากมีคนทำให้เ้าลำบาก อื้มๆ…”
เว่ยซูหานรีบโผเข้ามาบรรจงจูบลงที่ปากของเขาอย่างแม่นยำ ทำให้ตัวรถสั่นเล็กน้อย จากนั้นกดเขาลงบนเบาะที่นั่ง
“เ้า…ปล่อยข้า!”
เหยียนชิงกัดฟันพูดลอดไรฟัน ใบหน้าแดงเรื่อจ้องมองไปที่คนบนร่างตน เมื่อรถจอด ภายในรถก็สั่นไหวเล็กน้อย คนที่อยู่ด้านนอกต่างรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น กลางวันแสกๆ คนผู้นี้ช่างหน้าไม่อาย ก่อนหน้านี้ก็บอกแล้วว่าเมื่ออยู่ข้างนอกอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม แต่ตอนนี้กลับมาหยอกล้อเขาเช่นนี้ แทบจะไม่ได้เชื่อฟังคำพูดของตนเลย
เว่ยซูหานโน้มตัวลงโดยไม่สนใจการทัดทานของเขา “ให้ข้าจูบก่อน แล้วข้าจะไป” พูดจบก็จูบต่อ
เหยียนชิงไม่กล้าขัดขืน ได้แต่ใช้มือบีบแขนของเขา ปากอ้าออกเล็กน้อย ริมฝีปากกับลิ้นที่พันกัน ทำให้เขาประหม่าจนมึนหัวไปหมด
“ชิงเอ๋อร์ หลังจากเ้าเข้าเมืองเทียนซูไปแล้ว ต้องระวังให้มากๆ นะ”
เว่ยซูหานโน้มตัวลงกอดคนตรงหน้าพลางกำชับ ต่อให้เป็ห่วงเขาแค่ไหนก็ทำได้เท่านี้
เหยียนชิงเกยคางลงบนไหล่เขา กลืนน้ำลายลงแล้วผลักออก
“ข้าเข้าใจแล้ว... เ้า เ้าออกไปก่อน...”
คนผู้นี้นับวันยิ่งโอหังเข้าเรื่อยๆ
แต่เว่ยซูหานราวกับไม่ได้ยินเสียงของเขา กอดอกแล้วกล่าว
“ตอนเข้าวังก็ต้องระวังหน่อย... ถ้าเป็ไปได้ หลังจากส่งของเข้าวังแล้วก็รีบอำลา อย่ารั้งอยู่นาน”
โดยส่วนตัวแล้ว ก่อนที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะแน่นแฟ้น เขาไม่อยากให้เหยียนชิงได้เจอตี้จวินเร็วเกินไป หากตี้จวินชอบเหยียนชิง หากเปรียบเทียบฮ่องเต้แห่งอาณาจักรที่แข็งแกร่ง มั่นคง และเงียบสงบในอนาคตข้างหน้า กับองค์รัชทายาทหนุ่มหล่อเหลาในปัจจุบัน หากเห็นเหยียนชิงที่อ่อนเยาว์ในตอนนี้จะทำเื่ที่ไม่ควรบ้างก็ไม่ใช่เื่แปลก
ใช่ เขายอมรับว่าเขาหึงตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตี้จวินที่เป็ศัตรูหัวใจอันดับหนึ่งของเขา เขาย่อมต้องกังวล
เหยียนชิงถอนหายใจอย่างจนใจ และตบเขาแ่เบา “ข้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควร เ้าคิดมากไปแล้ว”
แล้วถ้าตี้จวินอยากจะพบเขา และยังอยากให้เขาช่วยสักเื่ล่ะ
ในที่สุดเว่ยซูหานก็ปล่อยตัว เขามองไปที่เ้าของเสื้อผ้ายุ่งเหยิง และใบหน้าแดงระเรื่อก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก็ข้ากลัวจะมีคนแย่งเ้าไปอย่างไรเล่า...”
เหยียนชิงพยุงตัวลุกขึ้นนั่งพลางถลึงตาใส่เขา “เ้าโง่ พอได้แล้ว ยังไม่รีบลงไปอีก”
เขาไม่ใช่คนโลเล รับมือกับคนคนเดียวก็เปลืองแรงมากพอแล้ว ไหนเลยจะมีใจไปคิดเื่อื่น เท่านี้ยังไม่วุ่นวายพอหรืออย่างไร?
เว่ยซูหานสวมหน้ากากที่เตรียมไว้ก่อนจะลงจากรถ จากนั้นก็กล่าวกำชับอิ้งหลี และเฉินเซียงก่อนจะจากไปอย่างอาวรณ์ การแต่งกายธรรมดาไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้อื่น
เมื่อเขาจากไปแล้ว เหยียนชิงก็นั่งอยู่บนรถม้าอย่างตะลึงงัน เขารู้สึกหดหู่จนอดถอนหายใจไม่ได้ หลังจากนั้นไม่นาน รถม้าก็เคลื่อนตัวเข้าเมืองอีกครั้ง เมื่อมีป้ายผ่านทาง ก็เข้าเมืองได้อย่างราบรื่น
เมื่อเห็นว่ารถม้าจากไปไกลแล้ว เว่ยซูหานจึงะโขึ้นม้าตัวสูง ก่อนจะดึงบังเหียนม้าแล้วหมุนตัวจากไป
เมื่อรถม้าเข้าไปในเมืองแล้ว อิ้งหลีขี่ม้าไปตรงหน้าต่างรถม้าของเหยียนชิง และเคาะเบาๆ “คุณชาย”
เหยียนชิงตบหน้าตัวเองเบาๆ แล้วจัดกันที่ครอบผมบนศีรษะ “มี...มีเื่อะไร?”
“จดหมายจากจอมยุทธ์จิงโม่ขอรับ”
อิ้งหลีพูดพลางยื่นมือเข้าไปในหน้าต่างรถ กางฝ่ามือออกเป็กระดาษเล็กๆ ที่ซ้อนทับกัน
เหยียนชิงรีบหยิบมันขึ้นมาดู ้าเป็ชื่อของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าให้พวกเขาเข้าไปพักในโรงเตี๊ยมแห่งนั้น
เหยียนชิงอ่านจบก็วางกระดาษกลับไปที่มือของอิ้งหลี แล้วสั่งว่า “ไปที่โรงเตี๊ยมเฟิงไหลตามที่เขาบอกเถอะ”
อิ้งหลีเก็บกระดาษกลับไป ออกแรงเล็กน้อยกระดาษก็กลายเป็ผุยผงลอยหายไปจากนิ้วมือ ก่อนจะนำขบวนสินค้าแล่นผ่านถนนที่มีผู้คนพลุกพล่านมุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมเฟิงไหล
เมื่อรู้ว่าจิงโม่อยู่ที่เมืองเทียนซู หัวใจของเหยียนชิงก็สงบขึ้นมาก เขาแค่บอกจิงโม่ว่าเขากำลังจะเข้าเมืองหลวง แต่ไม่ได้คิดว่าจิงโม่จะมาช่วย ทว่าไม่รู้ว่าเป็เพราะจงใจหรือบังเอิญ หากวิเคราะห์อย่างรอบคอบ เขาอยากให้จิงโม่ออกไปทำภารกิจนอกเมืองเทียนซูมากกว่า
โรงเตี๊ยมเฟิงไหลเป็โรงเตี๊ยมเก่าแก่ที่มีมายาวนานกว่าร้อยปี เถ้าแก่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่ชื่อ และรูปแบบร้านยังคงสืบทอดมาอย่างต่อเนื่อง ภายในร้านได้รับการปรับปรุงใหม่นับครั้งไม่ถ้วน ต่อให้เป็ความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติ สุดท้ายก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
ตัวโรงเตี๊ยมเป็ไม้ทั้งหมด เคลือบดำมันวาว แบ่งเป็ห้องโถงด้านหน้า ห้องโถงด้านหลัง และลานด้านหลัง แบ่งออกเป็เรือนเดี่ยวเล็กๆ หลายแห่ง โรงเตี๊ยมเฟิงไหล และหอดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเทียนซู หอเยียนจือ ทั้งสองแห่งกลายเป็เครื่องหมายบ่งชี้ของเมืองเทียนซูไปแล้ว
โรงเตี๊ยมเฟิงไหลอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเทียนซู บนถนนสายหลักนำไปยังเมืองเ้าเมืองพอดี หอเยียนจือตั้งอยู่บนถนนที่คึกคักที่สุดทางตะวันตกของเมือง
เนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่พิเศษของโรงเตี๊ยมเฟิงไหล ผู้คนที่เดินไปมาอยู่บนถนนอาจจะมีเสือหมอบัซ่อนอยู่ ในโรงเตี๊ยมไม่ว่าใครก็มีโอกาสได้พบเจอ ไม่ว่าจะเป็ทูตจากต่างแดน ขุนนางจากต่างแคว้น คนที่มาพบตี้จวินที่เมืองเทียนซูส่วนใหญ่มักจะมาอยู่ที่นี่ ชาติที่แล้วเหยียนชิงได้รับคำสั่งจากตี้จวินให้มารับคณะทูตจากต่างแคว้นไม่น้อย
ความครึกครื้นของเมืองหลวงนั้นไม่ธรรมดา ไม่ต้องอธิบายใครๆ ก็รู้ สถานะที่โดดเด่นของพ่อค้าขายของให้ราชวังของตระกูลเหยียนก็มีชื่อเสียงโด่งดังเช่นกัน ดังนั้นั้แ่เข้าเมืองจนมาถึงถนนสายหลัก สองข้างทางก็เต็มไปด้วยผู้คนที่มามุงดู ต่างกระซิบกระซาบกัน และเอ่ยชมเชยเสียงดัง เดินตามขบวนรถม้าจนมาถึงโรงเตี๊ยมเฟิงไหล
ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมมารอต้อนรับนานมากแล้ว หลังจากเข้าไปดูป้ายคำสั่ง ก็จัดให้พวกเขาเข้าไปในเรือนเดี่ยวที่ถูกจองไว้ก่อน เพื่อพักผ่อนให้สบาย
หลังจากได้ที่พักก็เป็เวลาคล้อยบ่าย หลังจากส่งข่าวให้ในวังก็รอคำสั่งเรียกตัวเข้าไป
อิ้งหลียืนอยู่ข้างเหยียนชิง
หลังจากตรวจดูสินค้าแต่ละอย่างจนแน่ใจ จึงพูดขึ้นมา
“คุณชาย ทุกอย่างเรียบร้อยดี ท่านเหนื่อยแล้ว กลับห้องไปพักผ่อนเถอะขอรับ รอคำสั่งเรียกตัวเข้าวังในวันพรุ่งนี้ก็พอแล้ว”
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดพรุ่งนี้ก็น่าจะได้เข้าแล้ว
เหยียนชิงพยักหน้า “ได้ พวกเ้าหาโอกาสสอบถามสถานการณ์ล่าสุดของเมืองเทียนซู เพื่อดูว่าจะได้รับข้อมูลที่เป็ประโยชน์หรือไม่”
อิ้งหลีพยักหน้า “ขอรับ”
เหยียนชิงมองพระอาทิตย์ที่กำลังคล้อยลงทางตะวันตกแล้วหมุนตัวกลับเข้าห้อง พอตกกลางคืนจิงโม่ก็น่าจะมาหาเขา