บรรดาสมุนพรรคพวกที่แบมืออาศัยอยู่ภายใต้อำนาจของตระกูลหนานกง แน่นอนว่าต่างแทบอยากจะจุดไฟเผาทำลายค่ายเสินเช่อโดยเร็ว!
"สั่งโดยเร็วที่สุดงั้นหรือ? ฉู่เพ่ย เ้ากล้าสั่งให้จุดไฟ ข้าก็จะตายต่อหน้าเ้าให้ดู”
ครั้นถ้อยคำของรองเ้ากรมพระคลังหลุดออกมา เสียงของสตรีในกระโจมดังตามมาทันใด ความอ่อนโยนเฉกเช่นอดีตมิปราฏอีกต่อไป ทว่าถูกแทนที่ด้วยความแข็งแกร่งเด็ดเดี่ยว
ฮูหยินแม่ทัพเอกจ้องมองฉู่เพ่ยอย่างเ็า ระหว่างที่เอ่ย นางทุบถ้วยชาบนโต๊ะจนแตกหัก ยกคมแหลมของเศษถ้วยชาลายครามเล็งคอเรียวระหงส์ของตนเอง
ทันใดนั้น ฉู่เพ่ยพลันตื่นตระหนกขึ้นทันใด
"ฮูหยิน เ้า... เ้าอย่าหุนหันพลันแล่น เ้า...เหตุใดเ้าต้องลำบากทำเช่นนี้?”
ฉู่เพ่ยรักภรรยาของตนอย่างสุดซึ้งมาโดยตลอด ั้แ่วินาทีที่เขาเห็นนาง เขาไม่เคยต้องแบกรับความข้องใจจากนางเลย นางคอยลื่นไหลตามน้ำมาโดยตลอด ทว่าเื่นี้ ท่าทีตอบสนองของนาง เกินจินตนาการของเขามาก
จื๋อหร่าน เป็บุตรชายของนาง นางรักเขา ตัวเขาเองก็ไม่้าให้จื๋อหร่านตายเช่นกัน ทว่ายามนี้
"ท่านแม่ทัพ หวังว่าท่านแม่ทัพจะคิดถึงสถานการณ์โดยรวมนะขอรับ” รองเ้ากรมพระคลังกล่าวเร่ง
“ท่านพ่อ จื๋อหร่านอยู่ข้างใน ตอนนี้โรคระบาดยังไม่แพร่กระจายลุกลามออกมา ท่านพ่อยังสามารถยืดเวลาออกไปได้สักพัก อย่าเพิ่งรีบร้อนในตอนนี้เลยเ้าค่ะ...” ฉู่เซียงจวินเดินเข้าไปยืนเคียงข้างฮูหยินแม่ทัพ ในใจนางรู้สึกเคร่งเครียด กลัวเหลือเกินว่ามารดาจะตื่นตระหนกจนขยับคมแหลมของเศษถ้วยชาบาดคอตัวเอง นางไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงผลที่ตามมา
ทว่าแม้นจะเป็เยี่ยงนี้ รองเ้ากรมพระคลังกลับยังคงมองข้ามและร้องขอต่อไป “ท่านแม่ทัพ...”
"ออกไป!"
รองเ้ากรมพระคลังยังมิทันเอ่ยจบ เสียงกราดเกรี้ยวของบุรุษดังลั่นขึ้นอย่างรุนแรงแฝงพลังอำนาจ ทำให้รองเ้ากรมพระคลังสั่นสะท้าน โดยไม่รู้ตัว เขาหันมองไปยังบุรุษผู้ซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์หนาวเหน็บ คนผู้นั้นคือ มู่อ๋องจ้าวอี้!
ในความทรงจำของเขา ไม่ว่าั้แ่ไหนแต่ไร ท่านอ๋องมู่เป็คนสบายๆ ผ่อนคลายมาโดยตลอด แม้นท่านอ๋องมู่จะไม่เคยเห็นผู้ใดในสายตา ทว่าเขาไม่เคยเห็นใบหน้าเกรี้ยวกราดโกรธเคืองเยี่ยงในยามนี้มาก่อน
"ท่านอ๋องมู่...” รองเ้ากรมพระคลังรู้สึกตื่นตระหนก ครั้นเห็นจ้าวอี้อยู่ตรงหน้า ในใจพลันรู้สึกหวาดหวั่นอย่างแปลกประหลาด ท่าทีของมู่อ๋องยามนี้ ราวกับจะกลืนกินคนเข้าไปได้ก็มิปาน
"ออกไป!"
จ้าวอี้เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ครานี้ น้ำเสียงของเขาดังลั่นขึ้นกว่าเดิม
รองเ้ากรมพระคลังรับรู้ได้ถึงความโกรธเกรี้ยวของจ้าวอี้ เขารู้ตัวดีว่า หากเขายังอยู่ที่นี่ต่อไป เกรงว่านอกจากจะไม่สามารถเร่งเร้าให้แม่ทัพสั่งจุดไฟเผาค่ายเสินเช่อ ตนจะถูกท่านอ๋องมู่ะเิอารมณ์เกรี้ยวกราดใส่เสียก่อน
รองเ้ากรมพระคลังคำนับให้คราหนึ่งอย่างเร่งรีบ และก้าวถอยจากไปอย่างสั่นเทา
ในกระโจมยามนี้ กลับมาเหลือเพียงคนสี่คนเช่นเดิม
สายตาของฉู่เพ่ยมิเบนออกจากฮูหยินของตนเองเลย เขาเฝ้ามองนางอยู่ตลอด เขาก้าวไปข้างหน้าและกุมมือนางที่จับคมแหลมของเศษถ้วยชาลง และดึงนางเข้ามากอดในอ้อมอก “ฮูหยิน เ้าทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร? ข้าไหนเลยจะไม่คิดหวังให้จื๋อหร่านปลอดภัย?”
ดูเหมือนความอ่อนโยนของสามีที่โอบอ้อมนาง จะละลายความดื้อรั้นหัวแข็งที่มีมาตลอดของสตรีผู้นี้ให้อ่อนลง ฉับพลันนั้น หยาดหยดน้ำตาเริ่มไหลรินพรั่งพรูอาบแก้มฮูหยินแม่ทัพทันที
"ท่านแม่ทัพ ท่านเองก็ทราบดีว่า จื๋อหร่านสำคัญต่อข้าเพียงใด เขาจะตายไม่ได้ แม้นเขาตาย เขาก็จะตายไม่ได้”
ฮูหยินแม่ทัพร้องไห้สะอึกสะอื้น ทุกถ้อยคำของนางช่างหนักแน่นไม่ยินยอมให้ลูกชายตนเองตาย นางแอบอิงอ้อมกอดของฉู่เพ่ย ร่ำไห้จนตัวโยน
ฉู่เพ่ยกอดนางแน่นขึ้นเล็กน้อยอย่างปวดใจ เขาในยามนี้ มิใช่แม่ทัพที่บัญชาพลทหารนับพันนาย ทว่าเป็เพียงบุรุษคนหนึ่งที่รักฮูหยินของตนอย่างสุดซึ้ง "ในตอนนั้น ข้าให้คำมั่นสัญญากับเ้าแล้วว่าจะคอยดูแลปกป้องเ้าไปตลอดชีวิต ตัวข้านั้นรู้ดีว่า จื๋อหร่านมีความหมายกับเ้ามากเพียงใด ข้ารับพระบัญชาการของฝ่าา นำทัพทหารมาที่นี่เพราะ้าปกป้องเขา ทว่าโรคระบาดนั้น...ลุกลามแพร่กระจายอย่างรุนแรง แม้นเื่ราวจะเป็เช่นนี้ ข้าก็จะทำเต็มที่เพื่อปกป้องชีวิตเขาให้ได้!”
ฮูหยินแม่ทัพรับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนของฉู่เพ่ย หยาดหยดน้ำตายิ่งพรั่งพรูไหลอาบเต็มสองแก้ม เขาไม่เคยลืมคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับนางเลยงั้นหรือ?
นางควรจะรู้ว่า บุรุษที่นางตกหลุมรักเป็สุภาพบุรุษผู้ซื่อตรงละรักษาคำมั่นสัญญา ในใจนางยามนี้กลับมารู้สึกมั่นคงเฉกเช่นวันวานอีกครั้ง
"จื๋อหร่านจะไม่เป็ไร จะไม่เกิดอะไรขึ้นกับเขาอย่างแน่นอน" แม่ทัพฉู่เพ่ยเอ่ยพึมพำในลำคอครั้งแล้วครั้งเล่า
ฉู่เซียงจวินและมู่อ๋องจ้าวอี้ที่อยู่ในกระโจมด้วยนั้น ครั้นพวกเขาเห็นสองสามีภรรยากกกอดปลอบอกปลอบใจ พวกเขาทั้งคู่พลันเหลือบสายตามองหน้ากัน และก้าวเดินออกจากกระโจมไปทีละคน
นอกกระโจม สาดแสงตะวันกำลังเคลื่อนคล้อยลาลับขอบฟ้า
"ท่านแม่ทัพกับฮูหยินช่างมีความรู้สึกรักใคร่ต่อกันดีเสียจริง"
ตะวันเลือนหายลับขอบฟ้า คนสองคนยืนเคียงขนาบ หันหลังให้กระโจม ต่างคนต่างเมียงมองทอดสายตาไปยังทิศทางของค่ายเสินเช่ออย่างตกอยู่ในภวังค์
จ้าวอี้และฉู่ชิงใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก แน่นอนว่าเขาย่อมรู้จักสนิทสนมกับฉู่เซียงจวินอย่างดี ทว่าในตอนนั้น หลังจากจ้าวอี้ ฉู่ชิง และจ้าวเยี่ยนที่ทั้งสามเริ่มห่างเหินกัน โอกาสที่พวกเขาสามคนจะได้พบเจอกันนั้นก็น้อยตามลงไปด้วย
“อื้ม ท่านพ่อของข้ารักท่านแม่มาก แม้นจวนแม่ทัพจะมีอนุภรรยาเพิ่มเข้ามา ทว่าความรักที่ท่านพ่อมีต่อท่านแม่มิได้ลดหลั่นลงเลยสักนิด ได้ยินว่า ตอนนั้น พวกเขาได้เจอกันครั้งแรกที่ชายแดน ซึ่งเวลานั้น ท่านพ่อข้ายังมิได้ขึ้นเป็แม่ทัพ เขาตกหลุมรักท่านแม่ั้แ่แรกเห็น จากนั้นไม่นาน พวกเขาก็มีจื๋อหร่าน” ยามที่ฉู่เซียงจวินเล่าเื่ราว แววตานางเต็มไปด้วยความโหยหา อิจฉาความรักระหว่างพ่อกับแม่มาโดยตลอด “บางทีอาจเป็เพราะใน่ปีที่ยากลำบากเ่าั้ จื๋อหร่านจึงเปรียบเสมือนของขวัญที่สรวง์มอบให้กับความรักที่ทั้งสองมีให้กัน เพราะเช่นนั้นในใจของท่านแม่จึงรู้สึกว่าจื๋อหร่านมีความหมายกับนางมาก”
ปกติท่านแม่มักจะไม่ค่อยแสดงออก นางแสดงออกไม่เก่งนัก และไม่ค่อยยุ่งกับจื๋อหร่านเท่าใดนัก นอกจากทักทายตามปกติเล็กน้อย ทั้งสองแทบไม่มีเวลาได้เจอกันเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่จื๋อหร่านได้ขึ้นเป็เสนาบดีกรมกลาโหม ทั้งคู่ยิ่งไม่มีเวลาได้เจอกันเลย
ทว่าตัวนางนั้นรู้เป็อย่างดีเลยว่า ท่านแม่คอยใส่ใจดูแลจื๋อหร่านอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด ใส่ใจเขามากเสียยิ่งกว่านาง
นางมิใช่คนขี้อิจฉา ทว่ากลับรู้สึกอบอุ่นเสียมากกว่า เพราะนางมีทั้งพี่ชายที่โดดเด่นมากอำนาจ และมีมารดาที่ใจดีอ่อนโยนเยี่ยงนี้
“จื๋อหร่าน...” จ้าวอี้พึมพำคำสองคำนี้ เขาหวนถึงอดีตมากมายของพวกเขาทั้งสอง ความตื่นกลัวสั่นไหวครั้งแรกที่สนามฝึกของสำนักศึกษา รวมถึงเื่ราวความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องของพวกเขาทั้งสองในอดีต ภาพใบหน้าที่ยิ้มแย่งเบ่งบานของเขาผุดขึ้นในของจ้าวอี้
บุรุษผู้นั้นที่เขาเฝ้ามองมาตลอด จะเสียชีวิตจากโรคระบาดตอนยังหนุ่มยังแน่น ครานี้จริงหรือ?
ยังมีเหนียนยวี่...
จ้าวอี้คิดถึงสตรีผู้เฉลียวฉลาดปราดเปรื่องผู้นั้น มิรู้ว่ามือเขากำแน่นขึ้นั้แ่เมื่อใด “แท้จริงแล้ว เ้าเห็นเหนียนยวี่เข้าไปในค่ายเสินเช่อบ้างหรือไม่?
ฉู่เซียงจวินเหลือบมองจ้าวอี้ ั้แ่ที่นางได้ยินว่าเหนียนยวี่เข้าไปในค่ายเสินเช่อ ท่านอ๋องมู่ถามคำถามนี้มาไม่น้อยกว่าสิบรอบแล้ว
“นางเข้าไป”
และนี่เป็คำตอบของฉู่เซียงจวินทุกครั้ง
"เข้าไปข้างใน..." จ้าวอี้มองไปยังทิศทางของค่ายเสินเช่อ ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไร นางจะมุ่งหน้าไปยังค่ายเสินเช่อโดยไร้เหตุผลได้เยี่ยงไร?
เมื่อนึกถึงสิ่งที่ฉู่เซียงจวินเล่าให้ฟังในตอนแรกว่า เหนียนยวี่ตีทหารรักษาประตูจนสลบ การที่นางพยายามทำเื่เช่นนั้น ชัดเจนแล้วว่านางรู้ถึงสถานการณ์บางอย่างในค่ายเสินเช่อ ทว่านางกลับยังคงเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง แท้จริงแล้วมันเป็เพราะอะไรกันแน่?
จ้าวอี้ขมวดคิ้วแน่น อย่างไรก็มิอาจเข้าใจได้
ฉู่เซียงจวินที่เฝ้ามองใบหน้าด้านข้างของบุรุษผู้นี้มาโดยตลอด นางไม่พลาดเห็นความกังวลในดวงตาของจ้าวอี้ ความกังวลของเขายามนี้เป็เพราะเป็ห่วงจื๋อหร่านหรือเหนียนยวี่กันแน่?
"ความสัมพันธ์ของท่านอ๋องมู่และคุณหนูยวี่ช่างสนิทสนมดียิ่งนัก" ฉู่เซียงจวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล นางเคยได้ยินว่า มู่อ๋องแต่ไหนแต่ไรมาแทบจะมิเคยเข้าใกล้ ทำตัวสนิทสนมกับสตรีเลย มีเพียงแต่เหนียนยวี่ผู้นี้ที่เขาปฏบัติกับนางอย่างสนิทสนม
"นาง... เป็สตรีที่แตกต่าง"
จ้าวอี้เอ่ย เขาเดิมทีนั้นมีจิตใจที่บริสุทธิ์ ทว่ายามนี้กลับไร้ซึ่งเครื่องป้องกันจิตใจแล้ว
"แตกต่างอย่างไรหรือ?" ฉู่เซียงจวินเข้ามาใกล้อย่างสนใจ นางอยากเข้าใจในตัวเหนียนยวี่ผู้นี้ขึ้นมาอีกนิด อย่างไรเสีย บางทีในสายตาของจื๋อหร่าน คงเห็นถึงความพิเศษไม่เหมือนผู้ใดของเหนียนยวี่ผู้นี้เช่นกัน มิฉะนั้น วันนั้นในงานเลี้ยงฉีเฉี่ยว จื๋อหร่านผู้มิเคยชมชอบการเข้าไปยุ่งเื่ชาวบ้าน จะไม่เข้าไปช่วยเหนียนยวี่อย่างแน่นอน