หลังจากได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองแล้ว หลินหร่านจึงเอ่ยต่อ “รวมถึงท่านอ๋องมิได้มีดวงฆ่าพระชายา หมอหลวงก็บอกไปแล้วว่าพระชายาทั้งสองพระองค์ก่อนหน้านี้สิ้นพระชนม์ด้วยโรคหัวใจ ไม่ใช่สิ้นพระชนม์อย่างไร้สาเหตุเสียหน่อย ต่อไปฟูเหรินอย่าได้กล่าวถึงเื่นี้กันอีก หากท่านอ๋องมาได้ยินว่าถูกเอ่ยถึงเช่นนี้ เกรงว่าคงเดือดร้อนมาถึงพวกฟูเหรินเป็แน่”
ท่าทีของหลินหร่านเมื่อเอ่ยถึงอวี้ฉู่จาวนั้นมีการแสดงออกทางอารมณ์ที่แตกต่างออกไป ไม่เหมือนก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด
ท่าทีในตอนแรกเอ่ยวาจาออกมาด้วยความจริงใจ ทว่าในตอนนี้กลับแสดงท่าทีโกรธราวกับ้าปกป้อง
ทุกคนต่างตกตะลึงกับอารมณ์ที่หลินหร่านแสดงออกมาในตอนท้ายไม่น้อย
แปะ แปะ แปะ
เสียงปรบมือติดกันสามครั้งดังขึ้น ก่อนที่แม่นางอวี้ฉีจะลุกขึ้นยืน “พระชายาช่างเป็ผู้เปี่ยมไปด้วยความรู้เสียจริง หากหม่อมฉันจำไม่ผิด่สิบชันษา พระชายาก็ถูกฟูเหรินคนใหม่ขับไล่ออกจากบ้านแล้ว อย่างนั้นพระชายาไปเรียนรู้เื่เหล่านี้มาจากไหนหรือเพคะ”
่ขณะนั้น หลินหร่านไม่ได้รู้เกี่ยวกับเื่เหล่านี้เลย แต่เื่เหล่านี้เป็ท่านอ๋องที่เล่ารายละเอียด เกี่ยวกับเผ่าของตนให้ฟังเมื่อคืนวาน
ท่านอ๋องกล่าวว่า อย่างไรนี่ก็เป็เื่ของเผ่า เขาควรจะรู้เื่เหล่านี้เอาไว้ ภายภาคหน้าอาจได้ใช้ความรู้
อวี้ฉู่จาวจึงได้เล่าเื่เหล่านี้ให้เขาฟังก่อนนอน
“กระหม่อม…”
แม่นางอวี้ฉีเอ่ยออกมากะทันหัน หลินหร่านจึงได้แต่ลังเลตอบอะไรไม่ถูก
เขาคิดว่าแม่นางอวี้ฉีผู้นี้เก่งกาจยากแก่การต่อกรด้วย โดยเฉพาะความรู้สึกบางอย่างที่บอกว่าแม่นางผู้นี้ปรารถนาในตัวท่านอ๋องของเขา
“...ท่านอ๋องของกระหม่อมเป็คนเล่าให้ฟังด้วยตนเอง” หลินหร่านไม่รู้จะทำเช่นไร จึงได้เอ่ยถึงอวี้ฉู่จาวขึ้นมา และที่เขาเอ่ยมานั้นก็เป็เื่จริง
สีหน้าของแม่นางอวี้ฉีเปลี่ยนไป สายตาที่จ้องมองหลินหร่านทำให้เขารู้สึกเสียวสันหลังวาบ
อวี้ฉีไม่ได้เอ่ยอะไรกับหลินหร่านอีก นางหันไปหาฮองเฮาก่อนบอก “ฮองเฮาเพคะ งานเลี้ยงเทศกาลชมดอกไม้ควรเริ่มได้แล้วนะเพคะ”
อวี้ฉีไม่ได้เอ่ยเพื่อเตือนฮองเฮา แต่นางไม่อาจทนฟังสิ่งที่หลินหร่านกำลังจะเอ่ยต่อไปได้ต่างหาก
ฮองเฮาได้แต่กัดฟันแน่นก่อนกล่าวต่อ “เช่นนั้นพระชายาลุกขึ้นเถิด เริ่มถวายความเคารพต่อ”
หลานจื่อรีบเข้าไปประคองหลินหร่านขึ้น
พระชายาต้องทนคุกเข่านานถึงเพียงนี้ หากท่านอ๋องเห็นต้องปวดหัวใจเป็แน่
หลังจากหลินหร่านกลับมานั่งประจำที่ก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ
เป็ความจริงที่เทศกาลชมดอกไม้ครั้งนี้กำลังรอเขาอยู่สินะ มิน่าเมื่อวานนี้ท่านอ๋องถึงได้กล่าวเื่ราวของเผ่าจือเม่ย ท่านอ๋องคงคาดการณ์เอาไว้แล้วกระมัง
“ถวายบังคมเพคะฮองเฮา” ภายหลังหลินหร่านก็เป็อวี้ฉีที่ออกไปถวายความเคารพ
ไม่ต้องรอให้ฮองเฮาบอก นางก็ลุกขึ้นและเดินกลับมายังที่นั่งของตนเอง
่แรกฮองเฮาไม่ได้ตรัสอะไร เพียงแสดงสีหน้าที่ไม่พอใจนัก แต่ก็ไม่ยอมที่จะปล่อยคนข้างล่างออกไปเฉยๆ “ดูท่าทางน้องคงยังไม่ชินกับมารยาทการถวายความเคารพของต้าหลี่ น้อง้าให้พี่ช่วยหาแม่นมไปสอนให้หรือไม่?”
“หม่อมฉันไม่รบกวนฮองเฮาหรอกเพคะ อีกทั้งฮ่องเต้เคยตรัสกับหม่อมฉันว่าไม่มีความจำเป็ที่หม่อมฉันจะต้องเรียนรู้มารยาทของต้าหลี่”อวี้ฉีระบายยิ้มทรงเสน่ห์ ท่าทีไร้ซึ่งความเคารพ
หลังจากนั้น…
“หม่อมฉันแซ่จางและบุตรสาวจากจวนิจวินโหว ถวายบังคมฮองเฮา”
“หม่อมฉันแซ่เมิ่งจากจวนลิ่นหยวนโหว ถวายบังคมฮองเฮา”
“หม่อมฉันแซ่อันจากจวนอวี้ซิ่ง ถวายบังคมฮองเฮา”
“หม่อมฉันแซ่หวังและบุตรสาวจากจวนผู้ว่าการเมืองหลวง ถวายบังคมฮองเฮา”
“หม่อมฉันแซ่หลี่และบุตรสาวจากจวนเสนาบดีกรมพระคลัง ถวายบังคมฮองเฮา”
“หม่อมฉันแซ่เว่ยและบุตรสาวจากจวนเสนาบดีกรมขุนนาง ถวายบังคมฮองเฮา”
“หม่อมฉันแซ่กู้และบุตรสาวจากจวนแม่ทัพทหารม้า ถวายบังคมฮองเฮา”
ฮองเฮากับอวี้ฉีไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อกัน แต่ต้องรอรับถวายบังคมหลายต่อหลายตระกูลเป็เวลานาน ไม่ว่าจะเป็ฟูเหรินโหว1 ต่างๆ ฟูเหรินเหล่าขุนนาง จนกระทั่งไปถึงฟูเหรินของนายทหาร ซึ่งส่วนใหญ่มักพาบุตรสาวของตนเองมาร่วมงานด้วย
หลังจากทุกคนถวายความเคารพเสร็จ งานเลี้ยงเทศกาลชมดอกไม้จึงได้เริ่มขึ้นเสียที เหล่าฟูเหรินน้อยใหญ่ต่างพากันเริ่มเดินชมดอกไม้ทุกซอกทุกมุมของสวนอวี้ฮวาด้วยความเพลิดเพลิน
เวลานี้ หลินหร่านนับว่าหายใจได้เต็มปอดสักที ฮองเฮาอนุญาตให้ทุกคนเดินไปทั่วทุกมุมได้ เขาจึงไม่เลือกเดินไปที่ที่มีคนมากมาย
หลินหร่านเดินนำติงหร่วนและคนอื่นๆ ไปยังมุมที่ไม่ค่อยมีผู้คน ซึ่งเป็ทะเลสาบที่อยู่ไม่ห่างจากสวนอวี้ฮวามากนัก
ทำอย่างไรได้เล่า ก็ในเมื่อในสวนอวี้ฮวานี้ เดินไปทางไหนก็เจอแต่ผู้คนนี่นา เขาจึงเลือกออกมาอยู่ตรงมุมนี้
“เฮ้อ” หลินหร่านทิ้งตัวลงนั่งในศาลาข้างทะเลสาบก่อนถอนหายใจออกมา
ติงหร่วนกับพวกหลานจื่อต่างได้ยินเสียงถอนหายใจที่ดังออกมา
“เมื่อครู่พระชายาเก่งมากเพคะ ทำเอาคนเ่าั้พูดอะไรไม่ออกจนเสียท่ากันไปเองเลยเพคะ” เหม่ยจื่อชื่นชมในสิ่งที่หลินหร่านได้กระทำเมื่อครู่
“เหอะๆ ” หลินหร่านได้แต่หัวเราะแห้งๆ “เก่ง...เก่งมากเลยหรือ”
เมื่อสักครู่ตนทำอะไรลงไป พอมองย้อนกลับไปถึงได้รู้สึกกลัวขึ้นมา
นี่ตนเองกล้าหาญได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าตัวเขาเองพัฒนาขึ้นแล้ว หลังกลับไปตำหนักต้องเล่าเื่นี้ให้ท่านอ๋องฟังให้ได้เลย
“แน่นอนสิเพคะ พระชายาเติบโตขึ้นแล้วนะเพคะ” เหม่ยจื่อกล่าวเยินยอโดยไม่ลังเล
เหม่ยจื่อ เด็กสาวที่อายุน้อยกว่าเขา แต่กลับบอกว่าเขาเติบโตขึ้นแล้ว ทำให้ในใจของเขาพลันได้รับความรู้สึกที่แสนพิเศษขึ้นมา
“จริง...จริงหรือ?” หลินหร่านกะพริบตาปริบ พร้อมรอยยิ้มที่เผยออกมาบนใบหน้า
หลินหร่านหันไปมองเหม่ยจื่อก็พบว่าเหม่ยจื่อมองตนเองด้วยท่าทีที่แสดงถึงความเคารพ ก่อนเขาจะหันไปมองติงหร่วนกับหลานจื่อ
เมื่อทั้งคู่ส่งยิ้มให้ เขากลับรู้สึกเคอะเขิน ถึงแม้จะไม่มีคำชมใดๆ ก็ตาม
“เอาล่ะ” แม้จะถูกชมแปลกๆ อย่างไรก็ถือว่าเป็การยืนยัน
เมื่อเป็เช่นนี้ หลินหร่านก็รู้สึกอิ่มเอมในใจ
ในขณะที่หลินหร่านกำลังทอดสายตามองไปทางทะเลสาบเบื้องหน้า และคิดว่าหากกลับไปตำหนักจะเล่าเื่นี้ให้ท่านอ๋องฟังอยู่นั้น…
“หลินหร่าน!”
น้ำเสียงที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยเป็อย่างยิ่งดังมาจากด้านนอกศาลา
หลินหร่านหันไปมองก็พบกับใบหน้าของหลินเสี่ยวฉี
ติงหร่วนกับหลานจื่อรีบก้าวเข้ามายื่นด้านหน้าหลินหร่านเป็การเตือนโดยพลัน
หลังจากนั้น หลินหร่านจึงลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เ้า...เ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“เหอะ!” หลินเสี่ยวฉีแสดงท่าทีแสนเย่อหยิ่งก่อนตอบกลับ “ทำไมข้าจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ เ้าคิดว่าเ้ามาร่วมงานเลี้ยงเทศกาลชมดอกไม้ของฮองเฮาได้เพียงผู้เดียวหรือ”
หลินเสี่ยวฉีก้าวเดินขึ้นมาบนศาลา นางเข้ามาใกล้หลินหร่านมากขึ้นเรื่อยๆ
“เ้าคิดจะทำอะไร” ติงหร่วนก้าวไปขวางด้านหน้านางทันที
“น้องชายที่รัก เราสองคนมาคุยกันตามลำพังดีกว่าไหม” ท่าทีของหลินเสี่ยวฉีเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
นางเอ่ยพูดกับหลินหร่านราวกับกลัวว่าเขาจะไม่ได้ยิน ก่อนจะถอยไปยืนด้านข้างและเอียงหัวมองพร้อมบอก “แค่ครู่เดียวไม่ได้เชียวหรือ”
แววตาที่ยากจะพบเห็นของหลินเสี่ยวฉีแสดงออกถึงท่าทีวิงวอน
“พระชายาอย่าไปสนใจนางเลยเพคะ เราไปจากที่นี่กันเถิด” เหม่ยจื่อเอ่ยโน้มน้าว
นางเคยเจอหญิงผู้นี้มาก่อน ครั้งตอนที่พระชายากลับไปเยี่ยมเยือนบิดา ท่านอ๋องได้ลงโทษที่อีกฝ่ายแสดงท่าทีดูิ่พระชายาของนาง
หลินหร่านมีความรู้สึกว่าหลินเสี่ยวฉีมีท่าทีแปลกๆ ดวงตาเปล่งประกายของนาง อย่างกับ้าไขว่คว้าอะไรบางอย่าง
“อื้อ” หลินหร่านพยักหน้าแล้วเดินเลี่ยงออกไปจากบริเวณนั้น
แต่หลินเสี่ยวฉีก็เข้าไปขวางทางของหลินหร่าน “ทำไม กลัวข้าจะกินเ้าหรืออย่างไร? เมื่อครู่เ้าเก่งกาจมากมิใช่หรือ ได้เป็ถึงพระชายาถือว่ายอดเยี่ยมมากสินะ”
“ท่าทีปั่นป่วนเช่นนั้นของเ้าไม่เกิดผลอะไรกับข้าหรอก เ้า...เ้าเก็บแรงไว้เถิด”
สำหรับหลินหร่านแล้ว การใช้ท่าทีบังคับข่มขู่นั้นไม่ได้มีผลอะไรกับเขา เว้นแต่ว่าเื่นั้นเกี่ยวข้องกับอวี้ฉู่จาวหรือเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของชีวิตเท่านั้น เขาถึงจะสนใจ
กล่าวจบหลินหร่านก็ได้เดินนำคนของเขาออกมาจากศาลา
-------------------------------------------------
1 ฟูเหรินโหว คือ บรรดาศักดิ์ระดับสองจากห้าลำดับ อาจเทียบเท่ามาร์ควิสหรือเ้าพระยา
