บทที่ 3 จุดจบที่ไม่ใช่จุดสิ้นสุด
ทุกอย่างตกอยู่ในความมืดมิดไร้จุดสิ้นสุด… ไป๋อวี้เจียวไม่อาจลืมตา รับรู้เพียงความรู้สึกล่องลอย คล้ายร่างของเธอถูกทิ้งดิ่งลงในห้วงอวกาศอันเวิ้งว้าง ชีพจรที่เคยเต้นแรงราวกลองศึก บัดนี้แทบไร้เสียง เต็มไปด้วยความอ่อนล้าและหนาวเย็น
เธออยากขยับมือ หรือะโเรียกใครสักคน แต่กลับไม่มีแรงแม้แต่น้อย ในวินาทีที่เธอเชื่ออย่างหมดหวังว่า คงหมดสิ้นจริงๆ แล้ว จู่ๆ ก็มีประกายแสงสีเขียวมรกตส่องสลัวขึ้นจากความมืด แสงนั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเธอเคยััเมื่อครู่ก่อนจะสิ้นใจ
วูบ!
ร่างของเธอราวกับถูกดึงผ่านอุโมงค์มิติเวลา เสียงสูบหรือดูดลมหายใจอะไรบางอย่างดังวูบวาบในหัว สติของเธอถูกกระชากข้ามมิติ จนความเ็ปและความหวาดกลัวทั้งมวลมลายหาย เหลือไว้เพียงความว่างเปล่าใสกระจ่างและเย็นเยียบ
“ติ๊ง… ติ๊ง…”
เสียงคล้ายหยดน้ำกระทบพื้น หรืออาจเป็เสียงเครื่องวัดชีพจร? เธอไม่แน่ใจ ม่านตาที่พยายามลืมขึ้นมองเห็นเพียงภาพพร่าเลือน ผสานกับความหนาวที่แทรกเข้าสู่ทุกอณูร่างกาย
“เด็กคนนี้รอดมาได้ยังไง”
เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น ด้วยสำเนียงจีนโบราณที่แตกต่างจากศตวรรษที่ 25 ของเธอโดยสิ้นเชิง
ไป๋อวี้เจียวพยายามเพ่งมองผ่านน้ำที่เกาะตามขนตา เธอเห็นเพดานไม้เตี้ยๆ กึ่งสุมด้วยฟางและผ้าหนาๆ ที่ทำเป็หลังคาชั่วคราว มีลมหนาวแทรกเข้ามาตามร่องต่อผุพังจนบาดผิวเป็ระยะ ใบหน้าชายที่ปรากฏตรงหน้า ดูเหนื่อยล้าและเต็มไปด้วยริ้วรอยของคนฝืนสู้ชีวิต ทว่ามีแววอ่อนโยนในดวงตาที่จับจ้อง
“เจียวเจียว… ลูกยังอยู่กับพ่อหรือเปล่า?”
เสียงชายคนนั้นดังอยู่ใกล้ใบหู อ่อนโยนแต่สั่นเครือด้วยความหวั่นเกรง เขาสวมอาภรณ์ขาดวิ่นรูปแบบโบราณ ไม่ใช่เครื่องแต่งกายล้ำสมัยใดๆ เธอขมวดคิ้วอย่างงุนงง เจียวเจียว?นั่นมิใช่ชื่อที่คนในกองทัพเรียกเธอพันเอกไป๋อวี้เจียวจากโลกอนาคตสักหน่อย
ทว่าความรู้สึกอบอุ่นแผ่กระจายเพียงเล็กน้อยจากมือของเขาที่ยื่นมาแตะหน้าผากเธอ เธอจึงพยายามกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่ภาพเบลอให้ชัดขึ้น ครู่หนึ่งจึงััถึง การเคลื่อนไหวที่กระแทกกระทั้น เบาๆ จึงสังเกตว่าทั้งสองคนนั่งอยู่ใน รถม้าพื้นบ้าน หรือบางสิ่งที่คล้ายเกวียนไม้สภาพเก่า มีผ้าปูฟางที่รองพื้นเป็ชั้นๆ เพื่อกันกระแทก หนาวจังเลย ทำไมถึงหนาวขนาดนี้นะ ผ้าห่มไม่มีหรือ เธอคิด
“อึก…” เธอส่งเสียงในคอ อาการแสบและปวดไปทั้งตัวเหมือนตกจากที่สูง ใจหนึ่งก็อยากถาม เกิดอะไรขึ้น แต่ปากกลับแห้งผากจนแทบเปล่งเสียงไม่ได้
“ฟื้นแล้วจริงๆ ด้วย… ขอบคุณ์”
ชายผู้นั้นยิ้มทั้งน้ำตา คล้ายโล่งอกที่ได้ยินลูกสาวส่งเสียง
รถม้าเคลื่อนไปบนเส้นทางขรุขระ รอยล้อบดก้อนหินและหลุมบ่อ เสียงลมหนาวพัดอื้ออึงเข้ามาทางช่องเปิดด้านข้าง พื้นที่ด้านในแทบไม่พอให้คนยืดขาได้อย่างสบายไป๋อวี้เจียวรู้สึกสมองอื้ออึง สับสนยิ่งขึ้น เราอยู่ในสถานที่ใด? เธอนึกถึงภาพท้ายสุดก่อนสติจะดับเธอถูกยิง ถูกลอบสังหาร อยู่ในสุสานร้าง แล้วจับต้องแหวนหยกแตกๆ วงหนึ่งและถูกมันดูดเื ใช่แล้วถูกดูดเื เธอจำได้ลางๆ ว่าเืของเธอถูกดูดกลืนไป
“พ่อดีใจเหลือเกินที่เ้าไม่เป็อะไร เจียวเจียว…”
ชายคนนั้นยังคงเรียกเธอว่า เจียวเจียว ด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความรัก ไป๋อวี้เจียวขมวดคิ้วพยายามคิดว่าชายชราทรุดโทรมคนนี้เป็ใครกันแน่ คนขององค์กรลับหรือเปล่า? ไม่น่าจะใช่เพราะหากเป็คนขององค์กรลับเขาจะมาแต่งตัวทรุดโทรมแบบจีนโบราณเหมือนในซีรีย์ไปเพื่ออะไร...เขาเป็ใครกันนะ คิดอยู่ครู่หนึ่งความทรงจำสายหนึ่งก็แล่นผ่านเข้ามา จนไป๋อวี้เจียวต้องหลับตา.....เมื่อลืมตาอีกครั้งเธอก็มองไปที่เขา...ชายคนที่เรียกเธอว่าเจียวเจียว
พ่อหรือ!!เขาคือ ไป๋หรงเฉิน ตามความทรงจำไม่ปะติดปะต่อที่เธอเริ่มรับเข้ามาอย่างประหลาด....เป็พ่อของเธอเช่นนั้นหรือ
ยิ่งเห็นใบหน้าของเขา เธอยิ่งรู้สึกคุ้นคล้ายรู้จักมานาน ทั้งที่ในชีวิตก่อน เธอไม่เคยมีบิดาเช่นนี้ ในหัวพลันเกิด ภาพซ้อน หลายฉากภาพของ เด็กหญิงผู้ไร้เดียงสาที่เดินจับมือท่านพ่อท่านแม่บนถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ภาพหญิงสูงศักดิ์ที่แสนงดงามอ่อนหวานผู้หนึ่งที่น่าจะเป็มารดา ครอบครัวของนางที่มี พี่ใหญ่ พี่รอง และภาพวันที่ท่านพ่อถูกพากลับมาที่จวนและถูกประกาศว่าจะต้องถูกขับออกจากเมืองหลวงกว่า 3,000 ลี้ ในข้อหาฏ ภาพต่างๆ มากมายเริ่มถาโถมเข้ามาในหัวมาวุ่นวายและรวดเร็วมาก
เธอเจ็บจี๊ดที่ขมับ และด้วยสัญชาตญาณจึงยก มือข้างซ้ายขึ้นมากุมศีรษะก่อนจะต้องตกตะลึงว่า นี่ไม่ใช่มือของเธอในวัย 28! เพราะมันเล็กจิ๋วเหมือนมือเด็กอนุบาล
“นี่มัน… เกิดอะไรขึ้น?!” เธอร้องขึ้นในใจ มีเพียงดวงตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนก
ขณะนั้นเอง เธอก็เหลือบไปเห็น รอยสักรูปแหวนหยก ที่นิ้วชี้ ปรากฏลายเขียวมรกตเป็เส้นๆ คล้ายร้าวตรงขอบ คำถามผุดขึ้นมามากมายในหัว นั่นไม่ใช่แหวนหยกแตกๆที่ดูดเืเราไปหรือ?แล้วมันมาเป็รอยสักในนิ้วเราได้อย่างไร?? เธอเพ่งมองรูปรอยอยู่นานก่อนจะได้ข้อสรุป...หรือ...
หรือว่ามัน หลอมรวมกับร่างเธอหรืออาจจะ ส่ง ิญญาเธอมาสิงอยู่ในร่างเด็กน้อยนี่!?คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวของเธอตอนนี้
“เจียวเจียว ไม่ต้องกลัวนะลูก ตอนนี้พวกเรากำลังเดินทางไปทางชายแดน… อยู่อีกไม่ไกลก็คงถึงที่พักแรมคืนนี้แล้ว แม่ของลูกไม่สบายพ่อก็เลยไม่ให้นางมาเฝ้าลูก” เสียงปลอบประโลมของไป๋หรงเฉินดังต่อเนื่อง เขาสังเกตเห็นแววตาหวาดวิตกบนใบหน้าลูกสาว จึงกุมมือเล็กๆ นั้นไว้ เพื่อส่งผ่านความอบอุ่นและกำลังใจ
การเคลื่อนไหวของรถม้ายังคงต่อเนื่อง โคลงเคลงขึ้นลงตามสภาพถนน บางครั้งก็ลื่นไถลเพราะหิมะที่เริ่มโปรยลงมา ไอหนาวปะทะจนเธอเริ่มได้สติกลับมาอีกระดับ หัวใจของเธอเต้นถี่แรง… แต่ก็ยังมีชีวิต นี่คือความจริงที่ชัดเจน!
“หรือว่าเราตายไปแล้วที่โลกเดิม… แล้วฟื้นในโลกโบราณนี้ในฐานะ ‘ไป๋อวี้เจียว’ อีกคน?” เธอพึมพำในใจ
ยิ่ง่ที่เธอพยายามขยับตัว เปลือกตาก็หนักอึ้ง เหมือนร่างนี้ยังบอบช้ำมาก อาจเพราะก่อนหน้านี้เด็กน้อยคนนี้ป่วยหรือาเ็ร้ายแรงระหว่างทาง จนเพิ่งจะมารู้สึกตัวได้ก็คราวนี้
เธอสูดลมหายใจลึก พยายามเรียบเรียงสติกับความทรงจำทั้งหมด…เท่าที่จะคิดได้ตอนนี้
1. เธอคือ “พันเอกหญิงไป๋อวี้เจียว” ในศตวรรษที่ 25 ผู้คิดค้นยาอายุวัฒนะ และถูกองค์กรลับตามล่าจนตายในสุสานร้าง
2. เฮือกสุดท้ายของชีวิต เธอเอื้อมมือคว้า “แหวนหยกแตกร้าว” ที่ดูดกลืนเืเธอเข้าไป
3. หลังจากนั้น ความมืดมนและการถูกดูดข้ามเวลา…
4. ฟื้นขึ้นมาเป็ เด็กน้อยไป๋อวี้เจียววัย 4 ขวบ ณ โลกโบราณที่ไม่เคยอยู่ในความทรงจำทางประวัติศาสตร์ของเธอ..ใช่ไหม..เธอเรียบเรียงถูกไหม?
“พ่อ… ท่านพ่อเ้าคะ” เสียงเล็กๆ ของเธอแหบพร่า พยายามเปล่งออกมาอย่างยากลำบาก “พวกเรา… จะไปที่ไหนกัน?”
“เ้าจำไม่ได้แล้วหรือลูกรัก" ไป๋หรงเฉินใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดหน้าเช็ดตาให้ลูกสาว
“ตระกูลไป๋ของเราถูกเนรเทศจากเมืองหลวง ด้วยคำสั่งลงโทษ 9 ชั่วโคตรจุดหมายของเราคือ หมู่บ้านชายแดนซึ่งอยู่ไกลกว่า 3,000 ลี้ ทางการสั่งห้ามให้เราหวนกลับเข้าเมืองหลวงอีกตลอดชีวิต…” เขาก้มหน้าลง สีหน้าเจ็บช้ำจนเธอเห็นแล้วหดหู่แทน
แม้สมองเธอยังสับสน แต่ก็จับใจความได้ว่า ตระกูลไป๋ ที่เธอมาเป็ส่วนหนึ่งนี้ ถูกกดขี่ใส่ความว่าเป็ฏจึงถูกเนรเทศออกจากเมืองหลวง ไม่ต่างจากตัวเธอในโลกอนาคตที่เคยโดนตามล่า แค่คนละสาเหตุ คนละยุคสมัย…
รถม้าส่งเสียงเอียดอ้าด..เมื่อล้อไม้ตกลงไปในหลุมหนึ่ง แล้วก็กระชากตัวขึ้นมาใหม่ ไป๋อวี้เจียวรู้สึกเจ็บชายโครงจนเผลอครางในคอ เธอยกมือขึ้นกุม เผลอมองไปยังรอยสักแหวนนั้นอีกครั้ง
“ไม่ว่าชะตาจะพาไปที่ไหน ฉันจะไม่ยอมถูกล้มอีกเป็ครั้งที่สอง” เธอคิดในใจ บอกกับตัวเองด้วยิญญาของพันเอกหญิงนักสู้ สายตาที่จับจ้องรอยแหวนประหลาดนั้นส่องประกายแน่วแน่
นอกตัวรถ เสียงลมหวีดหวิวพัดกวาดผ่านผืนหิมะและทุ่งกว้าง อากาศหนาวเข้ากระดูกดำ รถม้าวิ่งไปไม่นานก็หยุดเพื่อพักแรมซึ่งในตอนนั้นเองเธอก็ได้พบครอบครัวใหม่ในยุคนี้ของเธอทั้งหมด...
*** กรุณากด หัวใจ เพิ่มเข้าชั้น คอมเมนต์เป็กำลังใจให้ไรท์ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ ***
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้