ยามนี้เหนือศีรษะของมู่จื่อหลิงมีเครื่องหมายคำถามอันเบ้อเริ่ม นางเพียงอยากรู้ว่าตอนที่นางหลับเกิดเื่อะไรขึ้นเท่านั้น
เหตุใดทั้งตัวจึงเต็มไปด้วยเืของหมาป่า เสื้อผ้าขาดวิ่น ดูแล้วเหมือนได้รับาเ็สาหัส ทว่าบนกายกลับไม่ได้มีร่องรอยได้รับาเ็
นางคิดไม่ออก รู้สึกแปลกพิกล ราวกับว่าตรงไหนไม่ถูกต้อง ทว่าบรรยายไม่ได้
รอจนเสี่ยวไตกูค่อยๆ มั่นคงแล้ว มู่จื่อหลิงจึงยกมันขึ้นมาข้างริมฝีปากถามเสียงเบา “เสี่ยวไตกู ยามที่เ้ามาเกิดเื่อันใดขึ้น เ้ามาก่อนหรือหลงเซี่ยวอวี่มาก่อน?”
เสี่ยวไตกูสงบลงมาได้อย่างไม่ง่ายดายเลย เมื่อได้ยินนายน้อยถามอย่างไม่ยอมแพ้ มันก็ใจนสะดุ้ง หงายหลังทันที สามขาชี้ขึ้นฟ้า แกล้งตายเป็ศพ
มันไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดชายทรงอำนาจผู้นั้นจึงไม่ให้มันพูด แต่ต่อให้นายน้อยตอนนี้จะตบมันแบน มันก็ไม่กล้าส่งเสียงสักแอะ และต่อไปก็จะไม่พูดเื่วันนี้อีก
เมื่อมองเสี่ยวไตกูที่แกล้งตายในมือ ในใจมู่จื่อหลิงก็เรียกได้ว่าห่อเหี่ยว หรือว่าเสี่ยวไตกูกำลังหวาดกลัวหลงเซี่ยวอวี่ หรือว่าก่อนหน้าเสี่ยวไตกูจะล่วงเกินหลงเซี่ยวอวี่จริงๆ?
ต้องพูดว่าความน่าเกรงขามดั่งาาของ์อันสมบูรณ์แบบนั้นแผ่ออกมาได้สมบูรณ์แบบนัก ทุกคนกลัวเขาก็ช่างเถิด
ยามนี้แม้แต่เสี่ยวไตกูที่ปล่อยพิษอย่างไร้เทียมทานก็ยังกลัว ทั้งยังกลัวจนกลายเป็เช่นนี้ นี่มันไม่ถูกต้อง!
ในยามที่มู่จื่อหลิงอับจนคำพูด หลงเซี่ยวอวี่ก็เดินเข้ามา เขายื่นมือกว้างใหญ่มาจับจูงมือน้อยที่ขาวเนียนของมู่จื่อหลิงอย่างเป็ธรรมชาติ “ไปเถอะ”
มู่จื่อหลิงชะงักไป แวบแรกยังไม่ได้ตอบสนอง จึงถามไปตามสัญชาตญาณ “ไปไหน?”
คิ้วกระบี่ที่ดกหนาราวกับหมึกเลิกขึ้นน้อยๆ พูดอย่างเป็ธรรมชาติ “ฉีหวางเฟยยังคิดจะไปไหน? แน่นอนว่าต้องกลับบ้าน”
กลับบ้าน? กลับบ้านอะไร?
มู่จื่อหลิงอึ้งไปในชั่วพริบตา ถึงได้ตระหนักได้ว่านางคือฉีหวางเฟย เช่นนั้นจวนฉีอ๋องก็ย่อมเป็บ้านของนาง นางเก็บเสี่ยวไตกู กำลังเตรียมจะจากไป
“เดี๋ยวก่อน” จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็นึกอันใดขึ้นมาได้ ดิ้นออกจากมือของหลงเซี่ยวอวี่ เตรียมจะวิ่งไปยังหมาป่าที่นอนหายใจพะงาบตัวนั้น
หลงเซี่ยวอวี่ก็ดึงนางไว้อีก ขมวดคิ้วน้อยๆ ราวกับรู้ว่านางคิดจะทำอะไร แต่ก็ยังถามออกมา “ทำอะไร?”
“ข้ายังหากู่ปรสิตไม่เจอไงเล่า” มู่จื่อหลิงพูดพลางคิดจะดิ้นให้หลุดออกจากมือของเขา
ทว่าครั้งนี้มือใหญ่ของหลงเซี่ยวอวี่กำรอบข้อมือบอบบางของนางแน่นจนไม่เหลือช่องว่างโดยทันที ไม่ว่านางทำอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด
ดวงตาดำขลับราวกับน้ำหมึกของหลงเซี่ยวอวี่ลุ่มลึกจนมิอาจคาดเดา จ้องมู่จื่อหลิงอยู่นาน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดเรียบๆ ว่า “ไม่ต้องทำแล้ว”
เขาดึงมู่จื่อหลิงไว้ หันกายจะจากไป
“เพราะเหตุใดจึงไม่ต้องทำ?” มู่จื่อหลิงยืนนิ่งไม่ขยับ กะพริบตาคู่งามอย่างฉงน ไม่เข้าใจอย่างมาก
หลงเซี่ยวอวี่ที่ไม่พูดไร้สาระมาโดยตลอด ทว่ายามนี้กลับพูดด้วยความอดทน “คดีของหลงเซี่ยวหนานไม่จำเป็ต้องให้เ้าสืบแล้ว”
ไม่ต้องให้นางสืบแล้ว?
มู่จื่อหลิงพลันไม่เห็นด้วยขึ้นมา เอ่ยปากอย่างไม่จำเป็ต้องคิด “ไม่ได้ ข้าจะสืบ”
ล้อเล่นอะไรกัน!
ลำบากลำบนหามานานเพียงนี้ ยากเย็นกว่าจะหาเจอ แทบจะรักษาชีวิตไว้ไม่อยู่ก็เพราะเหตุนี้ หมอนี่มาพูดกับนางว่าไม่จำเป็ต้องให้นางหา ก็ไม่ต้องหา? มีอย่างนี้ที่ใดกัน
ไม่ให้นางหา หรือว่าจะมอบหมายเื่นี้ให้ศาลต้าหลี่หรือ? แต่ถ้าเป็เช่นนี้ เพราะอะไรจึงไม่นำกู่ปรสิตกลับไปด้วย?
ยังมีแผนการร้ายของฮองเฮาที่้ากำจัดนางให้สิ้นซาก นางไม่อาจเป็เนื้อปลาบนเขียง รอให้ฮองเฮาเข่นฆ่าอยู่ทุกขณะ
นับว่าฮองเฮาจับตาดูนางแล้ว คงไม่ปล่อยนางไปเพราะนางไม่สืบเป็แน่ อีกอย่างนางไม่ยอมให้ตนเองทำไปได้ครึ่งทางก็ล้มเลิกกลางคัน หดหัวอยู่ในกระดอง
หนีไปได้ชั่วเวลาหนึ่ง ทว่าหนีไปไม่ได้ทั้งชาติ และหากเป็เช่นนี้ ต่อไปนางก็ไม่อาจมีชีวิตที่สงบสุขแล้ว
ดังนั้นนางย่อมไม่อาจให้ผู้อื่นใช้วิธีมาทำร้ายตนเอง หากไม่มอบสิ่งตอบแทนอะไรให้ฮองเฮา คงรู้สึกผิดกับการหนีเอาชีวิตรอดจากอันตรายเป็ตายเมื่อคืนนี้ และรู้สึกผิดต่อชีวิตที่นางเก็บกลับมาได้อย่างยากเย็น
“เปิ่นหวางบอกว่าไม่ต้องให้เ้าสืบก็ไม่ต้องให้เ้าสืบ” น้ำเสียงหลงเซี่ยวอวี่เย็นใส เรียบเฉย ทว่ากลับปฏิเสธไม่ได้โดยง่าย อุ้มมู่จื่อหลิงขึ้นมาในแนวขวางทันที ทะยานกายขึ้นอาชาเปินเหลย
“หลงเซี่ยวอวี่ ปล่อยข้า ข้าจะสืบ มีสิทธิ์อะไรไม่ให้ข้าสืบ ผู้ที่ให้ข้าสืบก็คือท่าน ผู้ที่ไม่ให้ข้าสืบก็เป็ท่าน ปั่นหัวข้าเล่นหรือ?” มู่จื่อหลิงโมโห กำหมัดโบกไปมามั่วซั่วในหน้าอกหลงเซี่ยวอวี่
แต่ไม่ว่ามู่จื่อหลิงจะดิ้นรนอย่างไร แขนของหลงเซี่ยวอวี่ก็มั่นคงไม่เคลื่อนไหวราวกับคีมเหล็กก็มิปาน ไร้หนทางจะสั่นะเืโดยสิ้นเชิง
หลงเซี่ยวอวี่เพิกเฉยต่อการโหวกเหวกโวยวายของมู่จื่อหลิง ดึงบังเหียนเตรียมขี่ม้า
มู่จื่อหลิงดิ้นไม่หลุด เห็นหลงเซี่ยวอวี่จะขี่ม้า นางก็ก้มตัวลงไปกัดมือที่ดึงเชือกบังเหียนของหลงเซี่ยวอวี่แน่นโดยไม่ต้องคิด ไม่ให้เขาไป
นับว่านางเข้าใจแล้ว เ้าคนบ้าอำนาจผู้นี้ ใบหน้าแปะอยู่สี่คำตลอดเวลา ‘ตนเก่งที่สุด!’
เื่อะไรที่เขาพูดนับว่าเป็อันสิ้นสุด ยามปกติก็ช่างเถิด แต่ครานี้พูดอันใด นางก็ไม่มีทางประนีประนอมแน่
หลงเซี่ยวอวี่มองการกระทำโง่งมนี้ของมู่จื่อหลิงอย่างขบขัน ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อนคลี่รอยยิ้มบางเบา หญิงโง่นับวันยิ่งกล้าหาญขึ้นเรื่อยๆ คิดว่าทำเช่นนี้เขาก็ไปไม่ได้แล้ว?
“ฉีหวางเฟย บัญชีเมื่อครู่นี้ยังคิดไม่หมด เ้าแน่ใจว่าจะกัดต่อไป? เช่นนั้นเปิ่นหวางคงต้องทบดอกเบี้ยไปอีกเท่าตัว” น้ำเสียงหลงเซี่ยวอวี่ทุ้มต่ำทรงเสน่ห์ ราวกับว่าถูกมู่จื่อหลิงกัดต่อไป เขาก็ยังคงไม่เจ็บไม่คัน
มู่จื่อหลิงกำลังไม่พอใจ คราแรกจึงไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของหลงเซี่ยวอวี่
หลังจากนั้นสามวินาที โทสะในศีรษะของมู่จื่อหลิงก็กระจายออก ปล่อยปากที่กัดหลงเซี่ยวอวี่ออกอย่างรวดเร็ว เงยหน้าอย่างฉับพลัน
เมื่อครู่หมอนี่พูดอะไรนะ? ยังคิดบัญชีไม่หมด? ทบดอกเบี้ยเท่าตัว?
ในใจมู่จื่อหลิงเรียกได้ว่าโมโหจนขมขื่น เ้าคนใจดำผู้นี้ไม่มีขอบเขตจริงๆ คิดแต่จะเอาเปรียบนางอยู่ตลอดเวลา
แต่ตอนนี้นางจะไม่ไปโต้เถียงบัญชีอะไรกับหลงเซี่ยวอวี่อย่างโง่งม จนถึงตอนนี้ผู้ที่เสียเปรียบก็ยังเป็นาง ตอนนี้เพียงแค่อยากไปเอากู่ปรสิตในร่างหมาป่าออกมา
“ท่านบอกข้า เพราะเหตุใดจึงไม่ให้ข้าสืบ ไม่เช่นนั้นก็ปล่อยข้าลงไป” มู่จื่อหลิงสูดลมหายใจเข้าลึก ทำให้ตนเองสงบลง
ใช้ทั้งไหวพริบและความกล้าหาญสู้กับหมอนี่ เช่นนั้นก็เป็ไข่กะเทาะหินอย่างสิ้นเชิง ผู้ที่เสียเปรียบก็มักจะเป็ตนเอง ดังนั้นไม่อาจใช้ไม้แข็งได้อีก
แววตาหลงเซี่ยวอวี่ฉายแววหมดทางเลือก เขายื่นนิ้วมือเรียวยาวไปเกลี่ยเส้นผมบริเวณใบหูของมู่จื่อหลิงออก โน้มไปที่ข้างหูนาง กระซิบเบาๆ หนึ่งประโยค
“จริงหรือ?” แววตามู่จื่อหลิงสว่างวาบ นางเงยหน้ามองตาหลงเซี่ยวอวี่ มุมปากยกขึ้นเป็รอยยิ้มที่สดใสเจิดจ้าราวกับบุปผาในฤดูร้อน
สีหน้าของหลงเซี่ยวอวี่เรียบเฉย แต่หากมองให้ดีจะมองเห็นได้ว่าองศาของริมฝีปากที่น่ามองของเขายกขึ้นน้อยๆ เขาไม่สนใจมู่จื่อหลิง รัดรอบเอวคอดของนางแน่น เตรียมจะขี่ม้า
“รอก่อน” มู่จื่อหลิงยกมือขึ้นมาจับมือของหลงเซี่ยวอวี่ หยุดเขาไว้
หลงเซี่ยวอวี่ขมวดคิ้ว อารมณ์เหมือนจะไม่ดีขึ้นมา
ต่อให้ความอดทนดีอีกก็ล้วนถูกผลาญจนหมด นับประสาอะไรกับความอดทนของเขาที่ไม่มีความอดทนมาแต่เดิมที วันนี้นับว่าใจกว้างแล้ว สตรีผู้นี้ยังได้คืบจะเอาศอก?
“เสี่ยวไตกูใช้พิษฆ่าหมาป่าอย่างเหน็ดเหนื่อยเพียงนั้น และกู่ปรสิตก็หาได้อย่างยากลำบาก ไม่อาจสิ้นเปลืองไปเปล่าๆ” มู่จื่อหลิงท่าทางกระฉับกระเฉงเหมือนอารมณ์ดีเป็พิเศษ
นางไม่สนว่าหลงเซี่ยวอวี่จะพอใจหรือไม่พอใจ เขาทรมานเสี่ยวไตกูจนน่าเวทนาเพียงนั้น ตอนนี้ก็ใช้กู่ปรสิตมาบำรุงท้องของเสี่ยวไตกูแล้วกัน
มู่จื่อหลิงแกะมือของหลงเซี่ยวอวี่ออก ไถลลงจากม้าไปตามขายาวของม้า
จากนั้น มู่จื่อหลิงก็นำกู่ปรสิตในร่างของหมาป่าออกมาทั้งหมด ถึงพอใจจนกลับไปกับหลงเซี่ยวอวี่
-
ความเร็วของอาชาเปินเหลยนั้นเชื่องช้า เดินด้วยความมั่นคงราวกับเดินเล่น
“ท่านอ๋อง ท่านหาข้าเจอได้อย่างไร?” บนใบหน้ามู่จื่อหลิงยังคงมีรอยยิ้มเจิดจ้าสดใส อารมณ์ปลอดโปร่งเป็พิเศษ
เสี่ยวไตกูไม่กล้าพูด นางถามหลงเซี่ยวอวี่ตรงๆ ก็ได้ แม้นางจะอยากถามเขายิ่งนักว่าเหตุใดถึงมา แต่ก็คิดได้ว่าหลงเซี่ยวอวี่ต้องไม่ตอบคำถามนี้เป็แน่ ดังนั้นนางจึงได้อ้อมค้อมเล็กน้อย
และต่อให้นางอ้อมค้อมอีก หลงเซี่ยวอวี่ก็ไม่ได้ตอบคำถามนาง สายตาเขาจับจ้องหลังมือที่ถูกกัดข้างนั้นอยู่ตลอด
บนหลังมือขาวเนียนปรากฏรอยฟันที่เรียงแถวอย่างเป็ระเบียบและชัดเจน แดงทิ่มแทงสายตาเป็พิเศษ ราวกับถูกฝังลงบนหลังมือ กลายเป็เครื่องประดับที่มีเอกลักษณ์เป็ที่สุด
มู่จื่อหลิงรออยู่ครู่หนึ่งก็ไม่เห็นหลงเซี่ยวอวี่ส่งเสียง ก็กังวลขึ้นมาโดยพลัน นางเงยศีรษะมองตาหลงเซี่ยวอวี่อย่างสับสน ถึงได้พบว่าสายตาเขาไม่ได้มองนางแม้แต่น้อย
แต่เป็
มู่จื่อหลิงมองตามสายตาของเขาไป ก็เห็นร่องรอยแดงสดนั้นที่นางเพิ่งกัดเขาไป ก็ใขึ้นมาฉับพลัน ลอบร้องว่าไม่ดีแล้ว
แม้นางจะกัดอย่างแรงแต่ก็ไม่ได้กัดจนเืออก เพียงรอยฟันนั้นชัดเจน ทำให้นางคิดสิ่งใดขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน ในใจมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาอย่างลางๆ
จริงดังคาด เมื่อเห็นหลงเซี่ยวอวี่ยื่นมือของเขาออกมาที่หน้ามู่จื่อหลิง ใกล้ยิ่งนักราวกับกำลังฟ้องก็มิปาน
“ควรคิดบัญชีได้แล้ว นับว่ามีกี่รอย” น้ำเสียงของหลงเซี่ยวอวี่นั้นสงบนิ่ง และเจือไปด้วยเสน่ห์อันเรียบง่าย
“อะไร?” มู่จื่อหลิงพลันกระวนกระวายขึ้นมา เบิกตาที่งดงามราวสายน้ำทันที
หมอนี่จะกล้าไร้ยางอายไปกว่านี้หรือไม่ ให้นางนับรอยฟัน กัดลงไปคำใหญ่เพียงนั้น ต่อให้ไม่ถึงสิบก็มีถึงแปดแล้ว
หรือว่ารอยฟันมากเพียงนี้ เขาคิดจะกัดกลับทีละรอย? นี่มันขูดรีดกันเกินไปแล้ว
คิดถึงตรงนี้ มู่จื่อหลิงก็อยากจะแหงนหน้าขึ้นฟ้าแล้วกรีดร้อง หมอนี่แตะไม่ได้จริงๆ ด้วย
นางไม่เพียงมือซวย ปากยังซวยด้วย นี่นางไปล่วงเกินใครเขากัน?
เ้าหมอนี่ยังคิดจะใช้วิธีนี้มาขูดรีดนางจนถึงที่สุด? หึ! ไม่มีทางเสียหรอก
“ท่านอ๋อง ไม่ได้กินข้าวมาจะหนึ่งวันแล้ว ท้องข้าน้อยหิวยิ่งนัก พวกเรารีบไปเถิด” มู่จื่อหลิงปัดมือใหญ่เบื้องหน้าออก ย้ายหัวข้ออย่างชาญฉลาด
นางลูบหน้าท้องแบนราบ และท้องก็ให้ความร่วมมือด้วยการส่งเสียงโครกขึ้นมาสองครั้งจริงๆ
หลงเซี่ยวอวี่ชำเลืองมองมู่จื่อหลิง มุมปากกระตุกน้อยๆ มือยกแส้ม้าขึ้นเพิ่มความเร็ว
สตรีโง่งมเปลี่ยนเป็ฉลาดแล้ว ทว่า...บัญชี ย่อมมีเวลาที่จะคิด
ความเร็วในการวิ่งห้อของอาชาเปินเหลยรวดเร็วนัก ไม่ถึงครู่หนึ่งก็ออกมาจากป่าสายหมอก
และทันทีที่พวกเขาออกมาจากป่าสายหมอก ก็เห็นเกี้ยวที่วิจิตรงดงามจนถึงกับกลั้นลมหายใจ ไม่อาจละสายตาไปได้เลย
มู่จื่อหลิงััได้รางๆ ว่าแขนเรียวยาวที่รัดเอวนางแน่นนั้น ในชั่วขณะที่เกี้ยวปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา ก็ชะงักไปเล็กน้อย
ข้างในนั้นเป็ใครกัน?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้