“นี่คือเอี๊ยมของข้างั้นหรือ” เสียงกร้าวแฝงไปด้วยความเ็าลอยมาจากนอกวงที่ฝูงชนห้อมล้อมอยู่ สตรีผู้หนึ่งเยื้องกรายเข้ามา ภายใต้อาภรณ์สีจืดชืดดูไม่โดดเด่น หากเทียบกับคุณหนูทุกคนที่อยู่ในที่นี้ก็ถือว่ากระจอกงอกง่อย ดูไม่ต่างจากการแต่งกายของสาวใช้ในตระกูลสูงมากนัก
คุณหนูที่อาศัยอยู่ใต้ชายคาผู้อื่นก็เป็เช่นนี้ทุกคนมิใช่หรือไร!
หวางอวิ๋นถูกโม่ฮว่าหวินขับไล่ออกมาได้สองปีแล้ว ยามนั้นโม่เสวี่ยถงอายุเพียงสิบปี ไม่ว่าอย่างไรรูปร่างหน้าตากิริยาท่าทางย่อมไม่เหมือนกับตอนนี้ เมื่อทอดสายตามองไปก็รู้สึกคุ้นหน้ายิ่ง ชั่วขณะนั้นพลันกลอกตารอบหนึ่งแล้วรีบหันไปพูดกับนางด้วยถ้อยคำที่แสดงว่าทั้งสองต่างมีความรักต่อกันอย่างลึกซึ้ง
“ถงเอ๋อร์ ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะพูดเื่ของเราออกไป วันก่อนตอนที่เ้ามอบเอี๊ยมตัวนี้ให้ข้าก็รับปากไปแล้วว่าจะไม่ให้เ้าต้องลำบากเด็ดขาด แต่วันนี้จะไม่พูดก็ไม่ได้ แต่ไม่เป็ไร ข้าไม่มีวันละเลยเ้า ต่อไปมีข้าที่ไหนก็ต้องมีเ้าที่นั่น ข้าจะรักและทะนุถนอมถงเอ๋อร์ให้มาก อีกประเดี๋ยวพวกเราเข้าเมืองหลวงไปขอความเมตตาจากท่านพ่อตากันเถอะ”
“คนที่เ้าพูดถึงก็คือข้าหรือ” หญิงสาวมุ่นคิ้วขมวดพิจารณาหวางอวิ๋นด้วยสายตาดูิ่เหยียดหยาม
ท่าทางเย่อหยิ่งที่มองั้แ่หัวจรดเท้าและน้ำเสียงเยาะหยันของนางกระตุ้นโทสะของหวางอวิ๋น หลังจากที่ถูกโม่ฮว่าเหวินขับไล่เขาก็โดนผู้คนดูิ่เหยียดหยาม ถูกสบประมาทได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจไม่ใช่แค่หนสองหน ภายในใจย่อมแค้นเคืองโม่ฮว่าเหวินเป็ที่สุด ยามนี้จึงตั้งใจกัดไม่ปล่อย
“ที่ข้ากล่าวถึงย่อมเป็ถงเอ๋อร์แน่นอน คืนนั้นหลังจากที่พวกเราพบกันก็ให้คำมั่นไว้ชัดเจน หรือว่าถงเอ๋อร์คิดจะทอดทิ้งข้าแล้ว” เขากล่าวอย่างชายผู้มีความรักอย่างสุดซึ้ง แต่อวี้ซื่อซึ่งยืนอยู่อีกด้านหนึ่งดูร้อนใจจนเหงื่อไหลท่วมศีรษะ เดินเข้ามาทำท่าคล้ายจะกล่าวบางอย่าง แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากวาดสายตามองมาอย่างดุดัน นางจึงจำต้องหุบปากลง ไม่กล้าเอ่ยวาจาออกมา
“เ้าแน่ใจหรือว่าเป็ข้า?”
ผู้คนรอบตัวเริ่มส่งเสียงมาเป็ระยะ ทำให้หวางอวิ๋นเกิดสังหรณ์ใจแปลกๆ แต่กลับไม่ทราบว่ามีสิ่งใดไม่ถูกต้อง มองไปที่ใบหน้าพริ้มเพราก็ดูคุ้นตาอยู่หลายส่วน จึงสวมหัวใจเสือกัดไม่ปล่อย คำรักที่พร่ำพรอดออกมาจากปากล้วนเปิดเผยให้ทุกคนล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ลับระหว่างสองคน “ย่อมเป็เช่นนั้นแน่นอน อย่าว่าแต่ใบหน้าของเ้า แม้แต่ร่างกายของเ้าข้าก็คุ้นเคยเป็อย่างดี”
“เ้าลักลอบมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับสาวใช้ในจวน ถูกนายท่านจับได้ จึงขับไล่ออกจากจวน แต่เห็นแก่ที่เ้ากว่าจะร่ำเรียนมาไม่ง่าย จึงมิได้ป่าวประกาศเื่นี้ให้สาธารณชนรับรู้ แต่เ้าคงลืมไปแล้วว่าตอนนั้นนายท่านกลัวว่าเ้าจะทำเื่ไม่ดีต่อจวนโม่ จึงให้เ้าเขียนคำรับสารภาพด้วยลายมือของตนเองและประทับรอยนิ้วมือไว้ ตอนที่นายท่านจะออกจากเมืองอวิ๋นเฉิงได้ทิ้งจดหมายฉบับนั้นไว้ให้ทางการแล้ว เพียงยกขึ้นมาตรวจสอบก็รู้ได้ คิดไม่ถึงว่าเป็บัณฑิตอยู่ดีๆ ไม่ชอบ เพียรแต่ก่อเื่เสียหายทำนองนี้ไม่เลิกรา ยามนี้ยังหาญกล้ามาทำลายชื่อเสียงของคุณหนูของเราอีก” โม่หลันจ้องหวางอวิ๋นที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาเกรี้ยวกราด
เื่นี้แม้จะเกิดขึ้นนานแล้ว แต่สาวใช้ที่ลักลอบคบหากับหวางอวิ๋นก็คือญาติผู้พี่ของนางเอง หลังจากเกิดเื่นี้ขึ้นหวางอวิ๋นก็ถูกขับไล่ออกไป ญาติผู้พี่ของนางอับอายจนไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกจึงะโบ่อน้ำฆ่าตัวตาย เดิมทีคิดว่าคนผู้นี้น่าจะหายตัวไปตั้งนานแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่และยังกล้ามาทำลายชื่อเสียงของคุณหนู
พอหวางอวิ๋นถูกเปิดโปง สีหน้าพลันเลิ่กลั่กแตกตื่น ยามนี้จึงไม่นำพาสิ่งใดทั้งสิ้น คิดแต่จะกัดโม่เสวี่ยถงไม่ปล่อย จึงพยายามบิดเบือนเื่ราว “เ้าพูดโกหก ข้ากับเ้าต่างพึงใจซึ่งกันและกัน บิดาของเ้าแค่กลัวว่าเื่งามหน้าในจวนจะเผยแพร่ออกไปจึงได้กล่าวกับใครต่อใครเช่นนั้น จดหมายรับสารภาพฉบับนั้น ข้าทำเพื่อรักษาชื่อเสียงของเ้าจึงยอมเขียนขึ้น หรือว่า...”
แต่เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ก็พลันหยุดชะงัก อ้าปากค้าง อะไรนะ นายท่าน... คุณหนู...
เหงื่อกาฬไหลหยดลงทันใด
ยังกล้าพูดอีกว่ามีความสัมพันธ์กับคุณหนูสกุลโม่ เห็นอยู่ทนโท่ว่าแม้แต่คนยังจำผิด ทุกคนย่อมรู้แจ้งแก่ใจว่าชายผู้นี้มีเจตนาทำลายชื่อเสียงของคุณหนูสกุลโม่
“ทำไมไม่พูดต่อเล่า พูดสิ เ้าบอกว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับข้ามิใช่หรือ ไม่ใช่ว่าเพิ่งพบกันวันก่อนหรือไร แล้วไฉนจึงเห็นโม่หลันเป็ข้าได้เล่า” โม่เสวี่ยถงยิ้มเยาะ เดินออกมาจากด้านหลังของโม่หลัน นางเป็คนรูปร่างผอมบาง สูงยังไม่เท่าโม่หลัน เมื่อไปยืนอยู่ด้านหลังหวางอวิ๋นจึงมองไม่เห็นนาง อีกทั้งวันนี้โม่หลันแต่งกายไม่เหมือนสาวใช้ ดูคล้ายกับคุณหนูในครอบครัวที่ยากจนคนหนึ่ง เมื่อเชื่อมโยงความคิดว่านางกำลังอยู่ระหว่างไว้ทุกข์ก็อาจทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่าย
โม่เสวี่ยถง้าให้เกิดการเข้าใจผิดเยี่ยงนี้
“ข้า... โม่เสวี่ยถง ไม่ทราบว่าเคยพบเ้าั้แ่เมื่อไร แม้ว่าจะอยู่ในจวนโม่ แต่บุรุษคนนอกผู้หนึ่งจะอาศัยสิ่งใดมาพบข้าได้ อีกอย่างตอนนั้นข้าเพิ่งสิบขวบ ยังเป็เพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ เท่านั้น แล้วจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับบุรุษอายุยี่สิบกว่าเช่นเ้าได้อย่างไร เว้นเสียแต่ว่าวันนี้เ้ามีเจตนาทำลายชื่อเสียงของข้า มิเช่นนั้นไหนเลยจะเกิดความสับสนพูดคำหน้าไม่ต่อคำหลังเยี่ยงนี้เล่า”
โม่เสวี่ยถงยืนอยู่ที่นั่นอย่างสงบนิ่ง คำพูดหนักแน่นทรงพลัง ชั่วเวลานี้ดวงหน้าที่งดงามพิสุทธิ์ดูทรงอำนาจแฝงความดุดันอยู่หลายส่วน นางก้าวเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าหวางอวิ๋นที่เหงื่อไหลย้อยเต็มหน้า แล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“แต่วันนี้หากไม่ใช่ข้า แล้วผู้ใดเป็คนพาเ้าเข้ามาเล่า” สายตาที่มองเหยียดลงมายังหวางอวิ๋นที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยันและร้ายกาจ
คำกล่าวนี้ไม่เพียงแต่ชี้ว่าหวางอวิ๋นเป็ผู้ให้ร้าย แต่ยังทำให้ทุกคนเกิดความแคลงใจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับตัวเขา
สตรีในเรือนชั้นในของจวนขุนนางล้วนอยู่ที่นี่ ส่วนพระลูกวัดที่คอยดูแลอยู่ล้วนเป็หลวงจีนน้อยอายุเพียงเจ็ดแปดขวบเท่านั้น แล้วจะพาบุรุษจากที่อื่นเข้ามาปรากฏตัวได้อย่างไร นอกเสียจากมีคนรับเข้ามาเพื่อให้ร้ายโม่เสวี่ยถงเป็การเฉพาะ เมื่อมีการวางแผนต่อเนื่องรัดกุมเช่นนี้ ย่อมเป็ไปไม่ได้ที่ผู้ลงมือจะไม่มีความแค้นกับโม่เสวี่ยถง
สายตาข้องใจของทุกคนจึงจับจ้องไปที่อวี้ซื่อ
ความขัดแย้งระหว่างสกุลอวี้กับโม่เสวี่ยถงคนจำนวนมากล้วนเห็นกับตา เมื่อมองจากสถานการณ์ตรงหน้าแล้วนำไปเชื่อมโยงกับเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ไฉนจะไม่เกิดความแคลงใจต่อสกุลอวี้ แต่วันนี้คนของสกุลอวี้ย่อมไม่มีใจอยากออกมาเดินชมบุปผา ในที่นั้นนอกจากอวี้ซื่อซึ่งเป็สตรีที่แต่งออกมานอกสกุลแล้วก็ไม่มีผู้อื่นอีก
บางคนฉุกคิดถึงคำพูดที่อวี้ซื่อกล่าวถึงหวางอวิ๋นหลังจากที่นางออกมาปรากฏตัว สายตาที่มองจ้องก็ยิ่งเต็มไปด้วยความระแวงสงสัย
สีหน้าของอวี้ซื่อย่ำแย่ลงทันที ภายในใจสั่นะเือย่างรุนแรง หวาดกลัวลนลานไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าแค่โม่หลันเปลี่ยนการแต่งตัวเล็กๆ น้อยๆ จะส่งผลให้กลอุบายของนางล้มเหลว ตามแผนของอวี้ซื่อ ขอเพียงหวางอวิ๋นยืนกรานหนักแน่นว่ามีสัมพันธ์ลับกับโม่เสวี่ยถง ไม่มีใครสนใจหรอกว่าสองปีก่อนโม่เสวี่ยถงจะอายุเท่าไร แค่คำว่ารักเดิมทีก็พอแล้วสำหรับทุกสิ่ง
แต่นางไม่คิดว่าโม่เสวี่ยถงจะยืนอยู่ด้านหลัง แค่พูดแต่ไม่แสดงตนออกมา แล้วให้โม่หลันซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าวางตัวเป็คุณหนู และยิ่งไม่คิดว่าหวางอวิ๋นจะโพล่งออกไปโดยไม่ไตร่ตรองยืนยันว่าโม่หลันคือโม่เสวี่ยถง เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้นางหาทางแก้ไขไม่ทัน พอได้สติรู้ตัวก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่าถลึงตาให้หยุด นางหรือจะกล้ากล่าวสิ่งใด
นังแพศยาช่างเ้าเล่ห์นัก มิน่าเล่าวันนี้โม่หลันจึงแต่งกายไม่เหมือนปรกติ ที่แท้ก็วางแผนป้องกันไว้ล่วงหน้าแล้วนี่เอง แต่ยามนี้โมโหไปก็ไร้ประโยชน์ ความจริงปรากฏชัดอยู่ต่อหน้าผู้คน แผนการทำลายชื่อเสียงของโม่เสวี่ยถงล้มเหลวไปแล้ว จะแก้ไขอย่างไรต่อไปอวี้ซื่อยังคิดไม่ออก
เมื่อเื่ส่อพิรุธเต็มไปหมดเช่นนี้จะไม่ให้นางร้อนตัวได้อย่างไร
ฮูหยินผู้เฒ่าฉินขุ่นเคืองใจเป็ที่สุด หันไปมองอวี้ซื่อตาเขียวปั้ด นางเป็หนึ่งในบุคคลที่เข้าใจสถานการณ์ดีที่สุด ยามนี้จะมีสิ่งใดไม่กระจ่างอีกเล่า เห็นอยู่ว่าอวี้ซื่อแค้นเคืองโม่เสวี่ยถงเื่ที่ทำกับสกุลอวี้เมื่อวาน จึงวางแผนใส่ร้ายโดยไม่คำนึงถึงหน้าตาของสกุลฉิน คิดแต่จะทำลายโม่เสวี่ยถง
“เอาล่ะ ลากคนออกไป กล้าใส่ร้ายทำลายชื่อเสียงของแม่หนูถง ต่อให้ที่นี่ไม่มีผู้อื่นในสกุลโม่ แต่ข้าก็ไม่อาจให้นางถูกคนรังแก อวี้ซื่อ... เ้าว่าข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่าฉินแค่นเสียงเย็น คาดโทษหวางอวิ๋นไว้แน่นอนแล้ว หากยังสืบสาวราวเื่ต่อไปผู้ที่เสียหน้าเกรงว่าจะเป็สกุลฉิน ดังนั้นจึงยืนกรานออกหน้าปกป้องโม่เสวี่ยถง
สายตาดุดันจบอยู่ที่ใบหน้าของอวี้ซื่อ ผู้คนต่างมองตามจนอวี้ซื่อรู้ตัวได้สติคืนมา
เมื่อถูกทุกสายตาจับจ้องอวี้ซื่อก็ร้อนใจยิ่ง ไหนเลยจะกล้าพูดอะไรได้ เื่มาถึงขั้นนี้นางคิดแต่จะเอาตัวให้รอดก่อน เมื่อได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเกริ่นนำมาแล้ว จึงลั่นเสียงออกไปอย่างไม่รอช้า
“เด็กๆ ลากตัวคนชั่วช้าสามานย์ผู้นี้ออกไป โบยให้หนักจนกว่าจะตาย”
หญิงรับใช้สูงวัยที่ตามอยู่ด้านหลังของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลฉินได้ยินคำสั่งของนายหญิง ก็ปรี่เข้ามาหมายลากหวางอวิ๋นออกไป
หวางอวิ๋นสูญเสียการควบคุมตนเองนานแล้ว เมื่อเื่ถูกเปิดโปง แผนการล้มเหลว ไหนเลยจะยังมีใจให้ร้ายผู้อื่นอยู่ คิดแต่ว่าจะเอาตัวรอดอย่างไร ยามนี้เมื่อได้ยินอวี้ซื่อสั่งโบยตนเองจนตายจึงได้สติคืนฉับพลัน ดิ้นรนสุดชีวิตพลางร้องเสียงดังลั่น “อวี้ฮูหยิน ท่านหมายความว่าอย่างไร ก็ท่านเป็คนบอกว่าแค่นำเอี๊ยมตัวนี้มาก็ใส่ร้ายคุณหนูโม่ได้แล้วอย่างไรเล่า...”
“ยังจะมาพูดจาซี้ซั้วอีก อุดปากเขาให้ข้าเดี๋ยวนี้” ฮูหยินผู้เฒ่าฉินโกรธจนตัวสั่น ตวาดเสียงแข็ง
นางจะให้เื่นี้สาวมาถึงตัวอวี้ซื่อไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นายหญิงของบ้านสกุลฉิน หากตกเป็ที่ครหาของชาวบ้าน สกุลฉินย่อมพลอยลำบากไปด้วย นางถลึงตาใส่อวี้ซื่ออย่างขุ่นเคือง
“เอ๊ะ... นั่นอะไร ดูไม่เหมือนว่าจะเป็อักษรโม่ของคุณหนูโม่เลยนะ และก็ไม่ใช่อักษรถงด้วย” เื่ทางนี้ยังไม่จบ ทางนั้นก็มีเสียงร้องอุทานอย่างประหลาดใจขึ้นอีกครั้ง
มีคนเก็บเอี๊ยมสีแดงที่ฮูหยินผู้เฒ่าฉินโยนลงพื้นขึ้นมาดู
ฮูหยินสองสามคนเข้ามาช่วยกันดูตัวอักษรที่ปักอยู่ด้านซ้ายตัวหนึ่ง ด้านขวาตัวหนึ่งแล้วนำมาเชื่อมต่อกัน ฮูหยินที่ถือเอี๊ยมตัวนั้นอยู่ก็โยนทิ้งไปทันทีราวกับเป็ของร้อน แล้วร้องขึ้นด้วยความใ
“อวี้... หรง... อวี้ซือหรง เป็อวี้ซือหรง!”
เหมือนดั่งหินก้อนหนึ่งที่ถูกปาลงน้ำทำให้เกิดคลื่นเป็วงกระจายชวนให้มัจฉาแตกตื่น ทันใดนั้นความสนใจของทุกคนก็ถูกดึงกลับไป แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังมีสีหน้านิ่งขรึม
เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างอวี้ซือหรงกับอวี้ซื่อ ในใจของฮูหยินผู้เฒ่าฉินย่อม้าให้อวี้ซือหรงเป็ผู้รับเคราะห์ไปมากกว่า อย่างน้อยอวี้ซือหรงก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับสกุลฉินมากนัก ดังนั้นจึงยังไม่ให้ลากหวางอวิ๋นออกไปทันที
โม่เสวี่ยถงก็มิได้เข้าไป แต่กลับเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าหวางอวิ๋น ก่อนกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “หวางซิ่วไฉเป็ผู้มีความรู้แตกฉานในตำรา คงทราบดีว่าการใส่ความคุณหนูบุตรขุนนางให้ได้รับความอัปยศในเชิงชู้สาวมีโทษหนักหนาเพียงใดกระมัง”
คำกล่าวนี้แม้ดูเหมือน้าประกาศว่าหวางอวิ๋นใส่ร้ายทำลายชื่อเสียงของนาง แต่แท้ที่จริงแล้วกลับมีความหมายอื่นแฝงอยู่
ตามกฎหมายของต้าฉิน ให้ความสำคัญกับเกียรติยศชื่อเสียงของสตรีเป็ที่สุด หากสตรีผู้หนึ่งถูกคนให้ร้ายได้รับความอัปยศ หากไม่อาจทนถูกประนามหยามเหยียดไปชั่วชีวิตก็ต้องใช้ความตายล้างอาย การใส่ร้ายสตรีผู้หนึ่งจึงเทียบเท่ากับการสังหารคน แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่ว่าหากชายยังมิได้หมั้นหมาย หญิงยังมิได้ออกเรือน ทั้งสองก็ยังสามารถผูกบุพเพวาสนาแต่งงานกันได้ แต่หากบ้านฝ่ายหญิงไม่ยอมรับก็ไม่อาจเอาชีวิตของฝ่ายชายได้เช่นกัน นี่เป็เหตุให้หวางอวิ๋นอ้างว่าตนเองกับโม่เสวี่ยถงลอบคบหากันอยู่
โม่เสวี่ยถงกล่าวจบก็หมุนตัวไปยืนอยู่ด้านข้าง ก้มหน้าหลุบตาลง แพขนตาหนาทอดเรียงเส้นตกเป็เงารางๆ ใบหน้างามละเมียดดั่งหยกขาวแสดงออกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจ แต่กลับขบริมฝีปากแน่น เห็นได้ชัดว่าแม้จะได้รับความอัปยศก็ยังเห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวม
เพียงแต่หางตาที่กวาดมองมา เมื่อเข้าสู่สายตาของหวางอวิ๋น กลับทำให้เขาสะท้านเยือกไปถึงหัวใจ ประกายที่ฉายวาบอยู่ในดวงตางดงามคู่นั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร ไหนเลยจะมีความอ่อนแอเช่นสตรีผู้บริสุทธิ์ไร้ทางสู้ หวางอวิ๋นพลันนึกเสียใจอย่างมากกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตนเอง
สตรีเช่นนี้ไหนเลยจะอ่อนแอดั่งที่นางแสดงออกมาให้เห็น
นางไม่พูดมาก แต่เพียงคำพูดประโยคนี้กลับสะกิดใจหวางอวิ๋น เขาไม่อาจเล่นงานโม่เสวี่ยงถงได้แล้ว แต่ยังอาศัยเอี๊ยมตัวนั้นจับสตรีที่ชื่อว่าอวี้ซือหรงได้อยู่ อย่างน้อยก็พอทำให้คนเข้าใจว่านางกับเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน จึงจะรักษาชีวิตของตนเองไว้ได้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายที่โม่เสวี่ยถง้าสื่ออย่างแท้จริงแล้ว
หากไม่พูดแบบนี้ แม้แต่ชีวิตของตนเองก็ต้องทิ้งไว้ที่นี่
โม่เสวี่ยถงช้อนตาขึ้นเล็กน้อย มองเขาด้วยสายตาราบเรียบปราดหนึ่ง ดวงตาสีนิลเย็นะเืปานหิมะพันปีที่สามารถสะกดและแช่แข็งทุกสิ่ง แววตาเยี่ยงนั้นดุร้ายเยี่ยงปีศาจที่หมาย่ชิงิญญาไปจากร่าง ไหนเลยที่บัณฑิตเล็กๆ เช่นเขาจะต้านทานได้
หวางอวิ๋นไม่ใช่คนที่ทะนงในเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองเท่าใดนัก มิเช่นนั้นก็คงไม่รับปากทำงานแบบนี้
บ่าวหญิงเดินเข้ามาเอาผ้าที่อุดปากของเขาออก แล้วตวาดถาม “นี่มันอะไรกัน”
“คือว่า... ซือหรง... พวกเรา... ไม่มีเจตนาจะทำเช่นนี้ ข้ากลัวว่าคนจะรู้ความจริงจึงกล่าวว่าเป็ของคุณหนูโม่”
หวางอวิ๋นเคยทำงานให้กับโม่ฮว่าเหวิน ไฉนจะไม่ทราบว่าเื่นี้ร้ายแรงเพียงใด เขาไอหนักๆ สองสามครั้งก่อนจะแสดงท่าทางหวาดกลัวจนตัวสั่นพูดความจริงออกมา
“เอี๊ยมตัวนี้ซือหรงเป็ผู้มอบให้ข้า”
“เหลวไหล เ้าพูดโกหก เ้ามันคนชั่วช้าพูดจาปลิ้นปล้อน” เสียงก่นด่ากรีดร้องลอยมาจากอีกฟาก อวี้ซื้อหรงที่ใบหน้าด้านหนึ่งคาดด้วยผ้าพันแผลพุ่งตัวออกมาจากด้านหลังของฝูงชนด้วยท่าทางฉุนเฉียว นางเพิ่งมาถึงไม่นานนัก แต่ก็นานพอที่จะได้ยินทุกเื่อย่างกระจ่างชัด เดิมทีวันนี้นางไม่ต้องมาก็ได้ แต่เพราะอยากเห็นเื่งามหน้าของโม่เสวี่ยถง ไหนเลยจะปล่อยโอกาสนี้ไป
ดังนั้นจึงรบเร้าให้เฉินซื่อพาตนเองและสาวใช้สองสามคนออกมายังป่าเหมย