ขากลับ โหยวเสี่ยวโม่แวะไปเรือนหญ้าเซียนเพื่อรับเตาหลอมใหม่พร้อมกับหญ้าเซียนสามร้อยต้น
เตาหลอมใหม่นี้ดีกว่าเตาเดิมเล็กน้อย แต่ยังคงเป็แบบคุณภาพปลายแถว ดังนั้นโหยวเสี่ยวโม่ยังไม่ล้มเลิกเื่ซื้อเตาหลอมอันใหม่ ถือว่าเตาหลอมอันนี้เอามาใช้แก้ขัด
เตาหลอมที่เขาจะซื้อให้ใครเห็นไม่ได้ ไม่เช่นนั้นต้องมีคนถามแน่ว่าไปเอาเงินมาจากไหน แม้เขาจะอธิบายได้ว่ามาจากการขายยาเซียนตัน แต่จากที่ทุกคนรู้ ยาเซียนตันระดับล่างขายไม่ได้เงินดีขนาดนั้น
เขาไม่มีเหตุจำเป็ต้องเปิดเผยความลับตัวเองเพียงเพื่อเตาหลอมอันเดียว
เมื่อกลับถึงทัพพิภพ ก็มีเวลาส่วนตัวแล้ว
โหยวเสี่ยวโม่ขังตัวเองไว้ในห้อง ใช้หญ้าเซียนสามร้อยต้นนั้นทดลองหลอมยาเซียนตันหนึ่งเม็ด เขาพบว่าขณะที่กำลังส่งพลังปราณิญญาเข้าสู่เตาหลอมนั้น ความรู้สึกลื่นไหลกว่าเตาหลอมอันเดิมอย่างมาก ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ต้องคอยกังวลว่าเตาหลอมจะรับพลังปราณมากเกินไปจนะเิหรือเปล่า
เมื่อค้นพบความจริงเื่นี้ โหยวเสี่ยวโม่หลอมยาได้ทั้งหมดหนึ่งร้อยเม็ดในอึดใจเดียว ใช้เวลาไปสองชั่วยามครึ่ง ความไวนั้นเร็วกว่าแต่ก่อนมากนัก ระหว่างนั้นเขาดื่มน้ำปราณเติมพลังไปแค่หนเดียว เท่ากับว่าพลังปราณิญญาทั้งหมดของเขาในตอนนี้สามารถหลอมยาเซียนตันได้ห้าสิบเม็ด
เดิมทีเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด เพราะว่าแต่ก่อนอย่างมากสุดเขาก็หลอมได้เพียงยี่สิบเม็ด บางครั้งไม่ถึงยี่สิบเม็ดด้วยซ้ำ ตอนนี้กลับเพิ่มขึ้นมามากกว่าเท่าตัว ช่างน่าดีใจอะไรแบบนี้!
โหยวเสี่ยวโม่ข่มความดีใจเนื้อเต้นไว้ จากนั้นหยิบหญ้าเซียนจากห้วงมิติมาหนึ่งร้อยต้น
แบ่งเป็ดอกเหมยดิน หญ้าเหมันต์ พิมเสน หญ้าเซียนสามชนิดที่ใช้หลอมยาผสานลมปราณ โหยวเสี่ยวโม่เคยหลอมยาผสานลมปราณหลายสิบเม็ดไปขาย ทว่าพวกนั้นเป็แค่ยาคุณภาพระดับล่าง จากที่เขารู้ หากใช้ยาผสานลมปราณคุณภาพสูงเพื่อให้ชีพจรขยายให้กว้างไหลเวียนสู่ร่างกายมากขึ้น ถือเป็ผลดีกับนักฝึกตนในการฝึกในภายภาคหน้าเป็อย่างมาก
ดังนั้นศิษย์ที่ฐานะทางบ้านดี ก่อนเริ่มฝึกวิชา ทางบ้านจะเตรียมยาผสานลมปราณคุณภาพสูงหนึ่งเม็ดไว้ให้พวกเขา
ดังนั้นตลาดของยาผสานลมปราณไม่กว้างเท่ายาทดแทนความหิว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนเอา คล้ายกับยาทดแทนความหิว เพียงแค่ห้าสิบเม็ดต่อขวดก็ประมูลขายได้เช่นกัน
ดังนั้นเขาตัดสินใจหลอมยาผสานลมปราณก่อนห้าสิบเม็ด
ยาผสานลมปราณห้าสิบเม็ด จะว่าเยอะก็ไม่เยอะ น้อยก็ไม่น้อย แต่ก็ใช้เวลาราวสิบชั่วยามได้
เพื่อเอายาที่หลอมได้ยาเอาไปขายให้ได้เร็วที่สุด โหยวเสี่ยวโม่ตัดสินใจโต้รุ่งหลอมยา ไม่มีหลิงเซียวที่ชอบรบกวนเขาสักคน จึงมั่นอกมั่นใจมาก ส่วนเื่ผลข้างเคียงของการดื่มน้ำปราณนั้น
โหยวเสี่ยวโม่ยอมรับก็ได้!
เหมือนที่หลิงเซียวบอก ในเมื่อร่างกายเขาเคยชินแล้ว ถ้าเขาจะดื่มน้ำปราณนี่ต่อก็คงไม่มีผลข้างเคียงอย่างอื่นเพิ่ม ดังนั้นไม่ดื่มก็น่าเสียดาย
…….
โหยวเสี่ยวโม่เก็บตัวอีกรอบ!
เมื่อฟางเฉินเล่อได้ยินข่าว ส่ายหัวอย่างระอานิดๆ เขาพบว่าศิษย์น้องเล็กคนนี้ชอบเก็บตัวเหลือเกิน ในยามนี้คนอื่นต่างพากันออกมาเดินเล่น หรือพบปะศิษย์พี่ศิษย์น้องกระชับความสัมพันธ์ มีเพียงเขาหากยามใดไม่มีธุระก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง ถึงมีธุระก็ยังเก็บตัวอยู่ในห้องอยู่ดี
แม้เขารู้ว่าอีกไม่กี่เดือนศิษย์น้องเล็กต้องเข้าร่วมการทดสอบ แต่ก็ไม่จำเป็ต้องฝืนตัวเองขนาดนี้ การหลอมยานี้เป็เื่ที่ต้องค่อยเป็ค่อยไป ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงถึงจะถูกต้อง
แต่ว่านี่ก็เป็การตัดสินใจของเขาเอง เขาก็พูดอะไรมากไม่ได้
ข่าวคราวนี้ก็ไปถึงหูหลิงเซียวเช่นกัน
ทว่าหลิงเซียวท่าทีไม่เหมือนฟางเฉินเล่อ เขาล่วงรู้ความลับของโหยวเสี่ยวโม่ มียาทดแทนความหิวอยู่ ทั้งยังมีน้ำปราณเพิ่มพลังปราณิญญากับพลังกาย ถึงจะเก็บตัวหลอมยาเป็กี่เดือนก็ไม่เป็อะไร ดังนั้นเขาแค่ให้คนคอยดูว่าเขาออกมาเมื่อไหร่ให้มาแจ้ง
แต่หารู้ไม่ว่า วันถัดมาก็เกิดเื่ใหญ่ขึ้นกับโหยวเสี่ยวโม่
สิบชั่วยามผ่านไปก็เข้าสู่รุ่งเช้าวันที่สอง เพราะโหยวเสี่ยวโม่ดื่มน้ำปราณ จึงไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ดังนั้นรวบรวมพลังใจหลอมยาทดแทนความหิวต่ออีกสี่สิบเม็ด รวมกับของเดิมสิบเม็ด เขาก็สะสมได้ห้าสิบเม็ดพอดี พลังปราณิญญาก็ใช้หมดพอดี
ด้วยความเหนื่อยล้า โหยวเสี่ยวโม่จึงไม่ทันดื่มน้ำปราณ ปรากฏว่าฟุบหลับคาโต๊ะไปทั้งอย่างนั้นเสียก่อน…
การนอนรอบนี้ เขาหลับไปสองวันสองคืน จนเมื่อเขาตื่นขึ้นมา ก็ค้นพบร่างกายเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เดิมทีพลังปราณิญญาที่เหี่ยวเฉาเมื่อได้รับการพักผ่อนสองวันสองคืน ถึงจะฟื้นฟูกลับมาสู่ลักษณะที่สมบูรณ์ แต่ครั้งนี้มากกว่าสองวันก่อนถึงสองเท่า กล่าวก็คือ พลังปราณิญญาของเขาเพิ่มขึ้นจากสองวันก่อนเป็เท่าตัว
โหยวเสี่ยวโม่ยังค้นพบสิ่งที่น่าตื่นเต้นอีกอย่างคือ คัมภีร์ิญญา์นั้นบรรลุขั้นที่หนึ่งแล้ว
เขาอยากหยิกแก้มตัวเองเพื่อพิสูจน์ว่าทั้งหมดใช่ฝันไปหรือเปล่า แต่…แขนเขาชาไปหมด
แขนที่ถูกใช้เป็หมอนมาสองวัน เืไม่ไหลเวียน ตอนนี้ไร้ความรู้สึก อยากหยิบน้ำปราณขึ้นมาดื่มยังไม่ไหว ดีที่ร่างกายเขาถูกปรับเปลี่ยนจากพลังของน้ำปราณแล้ว ไม่เช่นนั้นคงพิการไปแล้วก็เป็ได้ ผ่านไปครึ่งชั่วโมง สองแขนเริ่มกลับมามีความรู้สึก สิ่งแรกที่ทำก็คือรีบดื่มน้ำปราณ
ขณะที่น้ำปราณกำลังไหลลงคอ เขาก็นึกขึ้นได้เื่หนึ่ง เหมือนว่าสองวันก่อนเขาลืมดื่มน้ำปราณ ถึงได้ฟุบหลับไป แต่ตอนตื่นมากลับพบว่าตัวเองบรรลุคัมภีร์ิญญา์ขั้นที่หนึ่งแล้ว
หรือว่าที่เขาบรรลุขั้นนั้นไม่ได้เกี่ยวกับน้ำปราณ?
แต่ว่า…ไม่กี่วันก่อนที่อยู่กับหลิงเซียว มีครั้งหนึ่งที่เขาไม่ได้ดื่มน้ำปราณ แต่พลังปราณิญญาตอนนั้นกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากมาย ถ้ามีเขาก็ต้องรู้สึก
สมองที่มีจำกัดของโหยวเสี่ยวโม่ถึงขั้นช็อกไปเลย
ดูท่าคงต้องไปหาข้อมูลจากหอคัมภีร์แล้ว หากมีข้อมูลพวกนี้คงดีมาก แต่หากไม่มี รอเจอหลิงเซียวค่อยถามให้รู้แน่ชัด เขาเก่งขนาดนั้น ต้องรู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้น
ตอนนี้เอง โหยวเสี่ยวโม่หาได้รู้ตัวว่าตัวเองกำลังพึ่งพิงหลิงเซียวมากขึ้นเรื่อยๆ รอจนเขารู้ตัวอีกที ตัวของเขาก็รวมเป็หนึ่งเดียวกับหลิงเซียวแล้ว
…….
เก็บตัวไปสามวัน หลับไปจริงๆ ก็สองวัน ในที่สุดโหยวเสี่ยวโม่ก็ออกจากห้องจนได้
เมื่อออกมาเื่แรกที่เขาทำคือไปหอคัมภีร์
เมื่อฟางเฉินเล่อรู้เื่นี้ ในที่สุดก็ยิ้มปนทุกข์ออกมาได้ จนทนไม่ไหวเขาจึงไปตามหาโหยวเสี่ยวโม่ถึงหอคัมภีร์ หากเป็เช่นนี้ต่อ เขากลัวว่าร่างกายศิษย์น้องเล็กจะเกินขีดจำกัด แต่เมื่อเขาเห็นแก้มแดงเปล่งปลั่งของโหยวเสี่ยวโม่เข้า จึงรีบกลืนคำพูดพวกนั้นลงท้องไปก่อน
ท่าทางของโหยวเสี่ยวโม่ไม่เหมือนกับคนที่พึ่งออกจากการเก็บตัวสามวันแม้แต่นิด ใบหน้าชื่นมื่น ผิวหน้าอมชมพูราวกับพึ่งผ่านการบำรุงมา ภายนอกก็ไม่ได้ดูซอมซ่อเหมือนศิษย์คนอื่นที่เก็บตัวออกมา กลับกันเหมือนว่าพึ่งกลับจากการท่องเที่ยววันหยุดเสียอย่างนั้น
ฟางเฉินเล่อนึกย้อนถึงเื่ที่ศิษย์น้องเล็กเคยเก็บตัวเดือนหนึ่ง ลักษณะตอนนั้นก็คล้ายกับตอนนี้ คนทั่วไปไม่มีทางเป็แบบนี้ได้? ครุ่นคิดเช่นนี้ ฟางเฉินเล่อก็อดสงสัยไม่ได้
“ศิษย์น้องเล็ก ได้ข่าวว่าเ้าเก็บตัวอีกแล้วงั้นหรือ รอบนี้เก็บตัวไปสามวัน ทำไมเ้า…”
คำถามยังไม่ทันได้เอ่ยจบ โหยวเสี่ยวโม่ก็รีบขัดขึ้น สองมือประกบกัน ทำหน้าละอายใจ “ข้าขอโทษ ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่ข้าบังเอิญหลับไปตั้งสองวัน หลับเพลินจน…”
ฟางเฉินเล่อ “…”
นอนเพลินเกินงั้นหรือ?
โหยวเสี่ยวโม่เห็นเขาไม่เอ่ยอะไร จึงรีบขอโทษขอโพย ท้ายสุดถึงขั้นยกมือสาบาน อีกหน่อยหากจะเก็บตัวจะบอกเขาก่อน ทำเอาฟางเฉินเล่อหลุดขำอย่างเอ็นดู
เขาไม่ได้เคืองเพราะไม่ได้บอกเื่เก็บตัวก่อน หากแต่เป็เื่ที่เขาเก็บตัวโดยไม่ห่วงร่างกายตัวเองต่างหาก เพียงแต่ไม่ได้บอกกล่าวออกไป แท้จริงแล้วช่างหลอกลวง ใครจะคิดว่าเขาจะนอนเพลิน เหมือนว่าคราวก่อนเก็บตัวหนึ่งเดือนก็คงไม่ต่างกัน
โหยวเสี่ยวโม่คิดไม่ถึงแน่ว่าคำพูดของเขาช่วยเขาแก้ปัญหาชิ้นใหญ่อย่างไม่ตั้งใจ
“เอาเถอะๆ ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้จะว่าอะไร และไม่ได้โกรธด้วย เพียงแต่อยากให้เ้าระมัดระวังด้วย อย่าห่วงแต่เื่หลอมยาจนร่างกายรับไม่ไหว เ้าต้องรู้ว่า…” ฟางเฉินเล่อเหมือนกับแม่จอมขี้บ่น เมื่อเอ่ยปากพูดก็หยุดไม่ได้ แต่ถือเป็จุดเด่นของเขา ไม่อย่างนั้นคนก็คงไม่ชอบเขาเยอะแยะขนาดนี้
โหยวเสี่ยวโม่ขัดไม่ได้ ได้แต่พยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ฟางเฉินเล่อก็ยอมปล่อยเขาในที่สุด โหยวเสี่ยวโม่รีบออกจากหอคัมภีร์เหมือนหนีตาย อีกหน่อยไม่กล้ายั่วโมโหศิษย์พี่ใหญ่อีกแล้ว พูดจนเขาเกือบมึนหัว
……
โหยวเสี่ยวโม่มายืมตำราที่หอคัมภีร์บ่อยๆ ดังนั้นผู้เฒ่าเริ่มคุ้นเคยกับเขา ไม่ทันรอเขาเดินมาถึงตรงหน้าก็โยนป้ายชั้นสองให้เขา
โหยวเสี่ยวโม่รีบคว้าป้ายไว้ เห็นว่าไม่ใช่แผ่นเดิม นึกเอะใจจึงถาม “อาจารย์หยาง ท่านรู้ได้ไงว่าข้าจะไปชั้นสอง?”
ผู้เฒ่าแซ่หยางหน้าเฉยเมยมองเขา ไม่ได้พูดอะไร
โหยวเสี่ยวโม่กำป้ายแน่น เอาล่ะ เขากำลังโดนถูกเมิน เขามายืมตำราบ่อยครั้ง ตำราที่เกี่ยวกับการหลอมยาในชั้นหนึ่งเขาเองก็ยืมเกือบครบแล้ว ที่ถามไปก็เท่ากับเปล่าประโยชน์ เขาเองก็เมินตัวเองเช่นกัน
หอคัมภีร์ชั้นสองเหมือนที่เขาคิดไว้ไม่ผิด เลื่อนขั้นจากชั้นหนึ่งมาอีกขั้น เขาหาตำราที่เกี่ยวกับการหลอมยาและสมุนไพรบนชั้นวาง เพียงแค่พวกนี้ก็ได้มาสี่เล่มแล้ว เกี่ยวกับสมุนไพรสามเล่ม มาจากตำราศาสตร์เดียวกัน ในนั้นอธิบายเกี่ยวกับหญ้าเซียนขั้นสี่ถึงขั้นหกไว้อย่างละเอียด นอกจากจุดเด่นและสรรพคุณของหญ้าเซียนแล้ว ยังมีระบุถึงพื้นที่ในดินแดนหลงเสียงที่สามารถหาหญ้าเซียนพวกนี้ไว้อย่างชัดเจนด้วย
ส่วนตำราที่เกี่ยวกับพลังปราณิญญา เขาหาจนทั่วทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตกแต่ก็ไม่มี
เมื่อได้ตำราแล้ว โหยวเสี่ยวโม่ก็อำลาผู้เฒ่าหยาง
ปรากฏว่าขณะที่กำลังยิ้มหน้าบานผลักประตูห้องพักออก ก็เห็นเงาใครบางคนนั่งเข้ามาโดยพลการ ปฏิกิริยาแรกของเขาก็คือรีบปิดประตู แล้วขังตัวเองไว้ข้างนอก…
