อวี๋ฉี่เจ๋ออยู่ลำดับที่ห้าจากบรรดาพี่น้องตระกูลอวี๋คนในครอบครัวจึงมักใช้ลำดับเรียกเด็กไม่กี่คนนี้
อวี๋ฉี่เจ๋อไม่ส่งเสียงใดอีกทั้งยังไม่ชะงักฝีเท้า เขาถือถ้วยใส่น้ำอย่างมั่นคงมุ่งหน้าตรงไปยังห้องเล็กมุมลานเรือน
ฮูหยินเฒ่าอวี๋โยนหวายในมือด้วยความโมโห“ลูกชายตัวดีที่สะใภ้รองเลี้ยงดู วันทั้งวันโรคภัยรุมเร้ารู้จักแต่ทำตัวต่อต้านข้า!”
สะใภ้สามแซ่จ้าวเอ่ยพลางกัดฟันเช่นกัน“ก็แค่ได้อันดับหนึ่งจากการสอบสามสนามั้แ่ยังเยาว์ตลอดหลายปีมานี้ไม่มีอะไรดีสักอย่าง เอาแต่กินยาทั้งวันสะใภ้รองยังตามใจจนเเทบลอยขึ้นฟ้าเสียแล้ว!”
พี่ใหญ่นามอวี๋เฉียวซานที่อยู่ด้านข้างทนฟังไม่ได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงอัดอั้นว่า “เ้าห้ามีร่างกายเป็ตัวถ่วงมิเช่นนั้นคงมีรายชื่อติดประกาศได้เป็ขุนนางมียศ”
ฮูหยินเฒ่าอวี๋ได้ฟังก็ไม่ส่งเสียงใดเพราะนายท่านยังหวังว่าสักวันหนึ่งร่างกายของอวี๋ฉี่เจ๋อจะหายดีจนสามารถลงสนามสอบอีกครั้งจากนั้นกลับมาพร้อมตำแหน่งจวี่เหรินผู้เป็ขุนนางระดับท้องถิ่น
อวี๋เจียวได้ยินเสียงสนทนาภายนอกเพียงแต่ไม่ชัดเจนนัก นางปิดเปลือกตาลง พยายามบังคับให้ตนนอนหลับแต่กลับไร้ซึ่งความง่วงงุนแม้แต่น้อย
ประตูไม้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดภายในห้องเล็กพลันพบกับแสงสว่างอีกครั้ง อวี๋เจียวเปิดเปลือกตาพบเพียงถ้วยดินเผาถูกส่งมาตรงหน้าของเธอมือที่ถือถ้วยเอาไว้มีนิ้วมือเรียวยาวขาวสะอาด เล็บถูกตัดให้เข้ารูปเป็ระเบียบปลายนิ้วประดุจหยก ข้อมือขาวผ่องอยู่ภายใต้อาภรณ์แขนกว้างสีเขียว
อวี๋เจียวปรายตามองใบหน้าขาวกระจ่างของชายหนุ่มกระตุกมุมปากหยักยิ้มตามฉบับที่ตัวเองคิดว่าดูดีและมีรสนิยมมากที่สุดนึกถึงคำพูดในบทละครโทรทัศน์ จากนั้นพูดจาหยอกล้อออกไปอย่างใจกล้าว่า“พี่ชายตัวน้อย ข้าเจ็บหน้าอกยิ่งนัก เ้าป้อนข้าได้หรือไม่?”
อวี๋ฉี่เจ๋อได้ฟังพลันขมวดคิ้วมุมปากบึ้งตึง เอ่ยเสียงต่ำว่า “ไร้ยางอาย!”
สิ้นคำกล่าวถือถ้วยน้ำหันหลังเดินจากไป
อวี๋เจียวร้อง‘เฮ้’ อยู่ภายในใจ ทำไมถึงได้แตกต่างจากความฝันอันสวยงามที่นางคิดไว้ลิบลับทำไมหนุ่มน้อยรูปงามถึงเ็ากับนางขนาดนี้?
แต่นางกระหายน้ำมากเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มรูปงามกำลังจะเดินออกไปจากห้องเล็ก นางจึงพูดเสียงอ่อนว่า“พี่ชายตัวน้อย กระดูกซี่โครงของข้าหักแล้ว เจ็บหน้าอกเหลือเกิน ขยับไม่ไหวแล้วเ้าจะทนเห็นข้ากระหายจนตายหรือ?”
ร่างผอมสง่าของชายหนุ่มหันกลับมาใบหน้าดุจหยกเ็า ช่างราวกับบนใบหน้าปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็ง ภายใต้ดวงตางดงามดังดอกท้อฉายแววรังเกียจเขาย่อกายวางถ้วยดินเผาลงบนพื้นตรงข้างกายของนางด้วยความรุนแรง
“ตายเสียได้ยิ่งดี” อวี๋ฉี่เจ๋อพ่นวาจาเ็าออกมาไม่กี่คำด้วยเสียงแ่เบา
ความเ็าและน้ำเสียงหมางเมินของชายหนุ่มแม้จะเป็วันท้องฟ้าปลอดโปร่งในเดือนห้า พระอาทิตย์ทอแสงอบอุ่นแต่กลับไม่อาจกลบความเ็าดุจดังน้ำแข็งในยามเช้าตรู่ของฤดูหนาวที่เผยจากดวงตาของเขาได้
หลังสิ้นเสียงเขาพลันลุกขึ้นชายแขนเสื้อสีเขียวม้วนสะบัดแสดงให้เห็นถึงการขับไล่ครั้นหันหลังมุ่งหน้าเดินไปข้างนอก แผ่นหลังผู้สวมอาภรณ์สีเขียวไม่ต่างจากสายหมอกมรกตประปรายริมแม่น้ำหมื่นสีสันถึงแม้จะร่างกายอ่อนแอ ทว่าแผ่นหลังราวกับต้นไผ่มรกตเงาของเขาเลือนหายไปพร้อมกับพาแสงสว่างภายในห้องเล็กและหน้าประตูจากไปพร้อมกันกลับกลายเป็ความมืดสลัวอยู่หลายส่วน
อวี๋เจียวหัวเราะขมขื่นพยายามออกแรงยกถ้วยดินเผาบนพื้นขึ้นมาจรดริมฝีปากแล้วดื่มเข้าไปหลายอึกใหญ่กระทั่งหยดสุดท้าย ริมฝีปากแห้งผากถึงชุ่มชื้นขึ้นมาบ้าง
หลังจากคลายความกระหายภายในท้องยังคงว่างเปล่า อวี๋เจียวคว้าขนมรังนกสีดำในถ้วยดินเผาขึ้นมาส่งเข้าปากสงสัยเหลือเกินว่าหลังจากกินเ้าของสิ่งนี้เข้าไปแล้วจะติดพิษหรือไม่หลังจากลองกัดหนึ่งคำด้วยความสงสัยเมื่อพบว่ารสชาติเหมือนหมั่นโถวไส้ถั่วจึงกัดกินต่อทีละคำอย่างละเมียดละไม
หลังจากคลายความหิวในท้องอวี๋เจียวปิดเปลือกตาลงอีกครั้งเฝ้าหวังว่าหลังจากหลับฝันแล้วตื่นขึ้นมาจะได้กลับไปยังโลกแห่งความเป็จริง
แต่ความเ็ปบริเวณหน้าอกและรอยแผลบนขาทั้งสองข้างกลับเตือนสตินางว่านี่ก็คือโลกแห่งความเป็จริง
จริงหรือเท็จล้วนไม่ต่างกันราวกับชมจันทรากลางสายชล ยลบุปผากลางสายหมอก
อวี๋เจียวสะลึมสะลือก่อนจะผล็อยหลับไปอีกครั้ง
เมื่อเห็นอวี๋ฉี่เจ๋อกลับเข้ามาในห้องสะใภ้รองแซ่ซ่งจึงเอ่ยถามด้วยความเป็ห่วงว่า “แม่นางเมิ่งเป็อย่างไรบ้าง? เมื่อครู่ถูกท่านย่าของเ้าเห็นเข้าหรือไม่?”
“ฟื้นแล้วขอรับ” หลังจากเอ่ยอย่างเรียบง่ายอวี๋ฉี่เจ๋อจึงเข้าไปในห้องเพื่ออ่านตำราต่อ
อวี๋เมิ่งซานผู้นอนอยู่บนเตียงวางใจไม่น้อยหลังได้ฟังเช่นนี้เอ่ยกับสตรีแซ่ซ่งว่า “เ้าแอบเก็บอาหารกลางวันไว้ให้แม่นางเมิ่งสักหน่อยเถิด”
สะใภ้แซ่ซ่งพยักหน้า“ข้าจะไปทำกับข้าว หากท่านอยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำก็ร้องเรียกฉี่เจ๋อนะเ้าคะ”
อวี๋เมิ่งซานมองภรรยาครู่หนึ่งดวงตาฉายแววอบอุ่นพลางส่งยิ้มให้
นางแซ่ซ่งแย้มยิ้มเช่นกันจากนั้นเดินออกไปข้างนอก
อวี๋ฉี่เจ๋อผู้เป็บุตรชายเพียงคนเดียวของครอบครัวรองร่างกายอ่อนแอ โรคภัยรุมเร้าั้แ่ยังเล็ก แต่กลับเปี่ยมความสามารถฉลาดหลักแหลมเหนือผู้คน ตอนอายุสิบสองเข้าร่วมการสอบขุนนางระดับต้นล้วนได้รับอันดับหนึ่งจากการสอบ[1]เซี่ยนซื่อ ฝู่ซื่อและย่วนซื่อ คว้าตำแหน่งสามจอหงวนมาครองและสอบติดขุนนางระดับซิ่วไฉทว่าร่างกายกลับขาดคุณสมบัติ นับแต่นั้นเป็ต้นมาร่างกายอ่อนแอโรคภัยไข้เจ็บน้อยใหญ่รุมเร้า ดื่มยาไปไม่รู้ตั้งเท่าใดล้วนไม่เห็นผล
บรรพบุรุษตระกูลอวี๋เคยมีหมอหลวงหนึ่งท่านทว่าภายหลังถูกลงโทษจนเสื่อมเสียชื่อเสียง ชนรุ่นหลังของตระกูลอวี๋ตกต่ำลงเรื่อยๆราวกับลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เพียงแต่วิชาที่สืบทอดมาจนทุกวันนี้มีคนในตระกูลอวี๋รู้อยู่แค่ไม่กี่คน นายท่านอวี๋ยังพอรู้วิชาการแพทย์อยู่บ้างเป็ท่านหมอในหมู่บ้าน แต่กลับไม่อาจรักษาร่างกายของอวี๋ฉี่เจ๋อได้
แม้เชิญท่านหมอจากโรงหมอที่ดีที่สุดในอำเภอมาตรวจอาการกลับถูกตัดสินชี้ขาดว่าอวี๋ฉี่เจ๋อจะมีอายุไม่เกินยี่สิบปีภายในร่างกายคนทั่วไปมีพลังชีวิตและสารจำเป็ต่อชีวิตไหลเวียนหล่อเลี้ยงร่างกายไม่ขาดสายทว่าพลังชีวิตของอวี๋ฉี่เจ๋อถูกใช้ไปเพียงน้อยนิดก็สลายไป ไร้ยาใดรักษาเว้นเสียแต่เทพเซียนต้าหลัวจะลงมาเยือนโลกมนุษย์
แต่อวี๋ฉี่เจ๋อกลับเป็ผู้มากพร์ยากพบเจอในปีนั้นพึ่งอายุสิบสองก็คว้าตำแหน่งสามจอหงวนในการสอบขุนนางระดับต้นนายท่านอวี๋อยากจะเทิดเกียรติให้บรรพบุรุษ เฝ้าฝันว่าวันหนึ่งในภายหน้าร่างกายของอวี๋ฉี่เจ๋อจะกลับมาเป็ปกติสามารถลงสอบขุนนางอีกครั้งเพื่อนำชื่อเสียงเกียรติยศของตระกูลอวี๋กลับมาด้วยเหตุนี้จึงยอมกลั้นใจนำเงินให้สะใภ้รองซื้อยารักษามาโดยตลอด
สตรีแซ่ซ่งไปห้องหุงต้มซาวข้าวและก่อไฟเพื่อทำอาหาร แต่กลับไม่อาจกลั้นหยาดน้ำตา ภายในใจระทมขมขื่นยิ่งนัก
เดิมทีเป็ครอบครัวยากจนฉี่เจ๋อร่างกายอ่อนแอมีโรคภัยสารพัดมาโดยตลอด กินยาเข้าไปกลับไม่เป็ผลทำให้ท่านแม่ไม่พอใจมานานแล้ว แต่โชคชะตายังคงซ้ำเติมผู้คน เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อหลายวันก่อนอวี๋เมิ่งซานผู้เป็สามีขึ้นเขาไปเก็บยา บังเอิญพบสัตว์ร้ายจนถูกกัดขาขาดภายหน้าครอบครัวรองของพวกนางจะใช้ชีวิตกันต่อไปอย่างไร
“น้องสะใภ้รอง เ้าจะทำกับข้าวหรือ? ข้าจะเป็ลูกมือให้เ้าเอง”เมื่อครู่พี่สะใภ้ใหญ่แซ่จางเห็นสะใภ้แซ่ซ่งมุ่งหน้ามายังห้องหุงต้มพลันรู้ว่านางจะมาก่อไฟทำอาหารถึงได้ตามมาเพราะอยากช่วยเหลือ
นางแซ่ซ่งรีบปาดน้ำตาบนใบหน้า“ไม่เป็อะไรเ้าค่ะ ข้าทำคนเดียวได้ ท่านควรจะไปช่วยท่านแม่สานกระบุง”
สะใภ้แซ่จางเดินมาอยู่ตรงเตาเพื่อช่วยก่อไฟเสียแล้วนางใส่ฟืนเข้าไปในเตาพบว่าหางตาของสตรีแซ่ซ่งแดงเล็กน้อยจึงเอ่ยพลางหัวเราะออกเสียง “เฉียวซานกับครอบครัวสามยังอยู่ด้วยไม่ได้มีแค่ข้าคนเดียว เดือนหน้าถึงจะเก็บเกี่ยว ย่อมต้องสานเสร็จทันแน่นอน”
สะใภ้แซ่ซ่งไม่เอ่ยสิ่งใดต่อไปขัดหม้อจนสะอาดอย่างชำนาญ เทน้ำมันหมูลงไปเล็กน้อยใส่มะเขือม่วงที่แช่เอาไว้เรียบร้อย ตามด้วยเห็ดจำนวนหนึ่งแล้วผัดให้เข้ากัน
ท่ามกลางเสียงทำอาหารสตรีแซ่จางเอ่ยปลอบเสียงเบาว่า “น้องสะใภ้รอง คนเราต้องมองไปข้างหน้าชีวิตความเป็อยู่ย่อมต้องดีขึ้น อย่าได้เสียใจเกินไปยามนี้ครอบครัวรองยังต้องพึ่งแรงสนับสนุนของเ้านะ!”
ซ่งชุนน้ำตารื้นหลังได้ฟังพยายามกลั้นน้ำตาแล้วเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “ข้ารู้ทว่าเหตุใดชีวิตความเป็อยู่ถึงลำเค็ญเช่นนี้ทำให้ยิ่งรู้สึกไม่มีความหวังเสียแล้ว”
สตรีแซ่จางรู้สถานการณ์ของครอบครัวรองในยามนี้เมื่อเกิดเื่เลวร้ายขึ้นกับสตรีนางหนึ่งล้วนต้องรู้สึกเป็ทุกข์ภายในใจรู้สึกสงสารชีวิตขมขื่นของสตรีแซ่ซ่ง เอ่ยปลอบโยนว่า“เหตุใดถึงจะไม่มีความหวัง? ไม่แน่วันหนึ่งวันใดร่างกายของเ้าห้าอาจหายดีเ้าต้องคิดในแง่ดีสักหน่อย”
“หากเป็เช่นนั้นคงดีจริงๆ...จะให้ข้าสละอายุขัยสิบปีหรือยี่สิบปีล้วนแต่ยินดี”สะใภ้แซ่ซ่งเต็มใจจะใช้ชีวิตของตนเพื่อแลกกับหนึ่งชีวิตของบุตรชาย
เชิงอรรถ
[1] คือการสอบทั้งสามระดับของการสอบขุนนางขั้นต้นที่จัดขึ้นเป็ประจำทุกปี ระดับเสี้ยนซื่อจะมีนายอำเภอเป็ผู้จัดสอบ ระดับฝู่ซื่อจะมีข้าหลวงระดับเมืองเป็ผู้จัดสอบ ระดับย่วนซื่อถือเป็การสอบคัดเลือกเพื่อคัดสรรข้าราชการเข้าปกครองในระดับอำเภอ หากผ่านการสอบระดับย่วนซื่อจะถูกเรียกขานว่า ซิ่วไฉ