เล่มที่ 2 บทที่ 33 ข่งฟาง
คนที่ตามศิษย์เฝ้าเวรคนนั้นเข้ามา เมื่อดูแล้วมีอายุประมาณสามสิบสามปี รูปร่วงอ้วนท้วม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มร่าเริง ให้ความรู้สึกน่าคบหา หลังจากเข้ามาก็กวาดตาดูรอบๆ ก่อนจะพบหลี่ฉุนนอนอยู่บนพื้น จึงได้สั่งให้คนพยุงขึ้น เขาหยิบยาลูกกลอนสองเม็ดออกมา เม็ดหนึ่งคือยาห้ามเื อีกเม็ดคือยาขับไล่ไอเย็น หลังจากที่เห็นหลี่ฉุนกลืนยาทั้งสองเม็ดเข้าไปแล้ว ค่อยยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนสอบถามถึงเื่ที่เกิดขึ้น
“ศิษย์น้องหลี่ เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมีสภาพเช่นนี้?”
“ศิษย์…ศิษย์พี่ข่ง”
“ใช้กระบี่ไฟอัสนีด้วยหรือ?” พอเห็นรอยไหม้บนผนัง ชายร่างท้วมก็ยังคงยิ้มแย้ม ก่อนจะเสริมขึ้นมา
“ไม่ใช่ข้าว่าเ้านะ แต่ทำแบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ถึงแม้หอว่านเป่าจะเป็สิ่งที่อาจารย์ข้าสร้างขึ้นมา ทนทานต่อไฟน้ำและสายฟ้า แต่เ้าทำผนังดำปี๋เช่นนี้ มันดูไม่ค่อยงามเลยว่าไหม…”
ถึงแม้ศิษย์พี่ข่งจะพูดด้วยน้ำเสียงเป็มิตร แต่สำหรับหลี่ฉุนแล้ว กลับรู้สึกเย็นวาบในใจ เขาใจนดีดตัวลุกขึ้นทันที ไม่ต้องให้ศิษย์เฝ้าเวรที่อยู่ด้านข้างช่วยพยุง เขาฝืนความเ็ปบริเวณไหล่ เพื่อพยายามขอขมาคนตรงหน้า
“ขออภัยด้วยศิษย์พี่ข่ง เข้าไม่ได้ไม่มีเจตนาลบหลู่หอว่านเป่า แต่เมื่อครู่ข้าโมโหจนเกินไป จึงได้พลั้งมือ…”
“ไม่เป็ไรๆ ศิษย์น้องก็พูดเกินไป แต่เดิมหอว่านเป่าก็มีสัมพันธ์อันดีกับหุบเขาหมัวเจี้ยน เื่แค่นี้ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอกนะ…”
ศิษย์พี่ข่งตบเบาๆที่บ่าของหลี่ฉุน เพื่อไม่ให้เขาต้องเป็กังวล ก่อนจะเอ่ยเรียกศิษย์เฝ้าเวรคนหนึ่งมา
“ต้องลำบากศิษย์น้องเสียแล้ว ช่วยเก็บกวาดหน่อยแล้วกันนะ จะได้เปิดประตูรับแขก ทุกอย่างจะต้องสะอาดสะอ้านเรียบร้อย อย่าให้แขกรู้สึกไม่ดี รู้เปล่า…”
“ทราบแล้ว ศิษย์พี่ข่ง”
เมื่อสั่งงานเหล่าศิษย์น้องเสร็จ ก็หันกลับมาหาหลี่ฉุนด้วยรอยยิ้มปนเศร้า
“แต่ว่าตามกฎแล้วนั้น เ้าได้ทำลายทรัพย์สินหอว่านเป่า จำเป็จะต้องชดใช้ ช่วยไม่ได้นะ นี่เป็คำสั่งของท่านอาจารย์ ข้าเองก็จนปัญญา…”
“ได้ๆๆ ข้าชดใช้แน่นอน”
“ดี ในเมื่อกล้าทำกล้ารับ เช่นนั้นพวกเศษๆก็ตัดทิ้งไปแล้วกัน หากวันหน้าอาจารย์เอาผิดขึ้นมา ข้าจะรับส่วนนี้ให้เอง”
“ขอบคุณศิษย์พี่ข่ง ขอบคุณเหลือเกิน”
“ขอข้าคิดก่อนนะ” ข่งฟางหยิบลูกคิดขึ้นมา ไล่นับจำนวนของที่เสียหาย ก่อนจะดีดลูกคิดอย่างคล่องแคล่ว เมื่อคำนวณจบก็วางลงก่อนจะเอ่ยกับหลี่ฉุน
“ทั้งหมดหนึ่งพันสองร้อยหินิญญา เดี๋ยวข้าจะให้ศิษย์น้องส่งใบเรียกเก็บไปที่หุบเขาหมัวเจี้ยนนะ”
“เท่าไรนะ?” หลี่ฉีนเบิกตาโต แทบกระอักเืออกมาอีกรอบ
ทั่วทั้งสำนักเวิ่นเจี้ยน ต่างก็รู้กันดีว่าหอว่านเป่าตระหนี่เพียงใด โดยเฉพาะข่งฟางที่เป็ศิษย์พี่ใหญ่ เขามีนิสัยเช่นเดียวกับผู้าุโจินราวกับโขกมา ทว่าข่งฟางกลับโหดกว่าผู้เป็อาจารย์มาก หลี่ฉุนเองก็คิดไม่ถึงว่าจะโหดถึงเพียงนี้ แค่โต๊ะเก้าอี้ไม่กี่ตัวรวมผนังแล้ว ถึงกับต้องเรียกราคาหนึ่งพันสองร้อยหินิญญาเลยทีเดียว ขนาดแร่โฮ่วเทียนนั่น เขายังให้ราคาแค่ห้าร้อยหินิญญาเท่านั้น…
‘โต๊ะเก้าอี้ไม่กี่ตัวกับผนัง ถึงกับมีราคาเทียบเท่าแร่โฮ่วเทียนสองก้อนเชียว?’
แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ เขาไม่กล้าไม่จ่ายเสียด้วยสิ…
หลี่ฉุนเป็ศิษย์แห่งหุบเขาหมัวเจี้ยน ในระดับหุบเขาด้วยก็ไม่นับว่าต่ำอะไร ต่อให้เป็ศิษย์สายตรง ก็ย่อมยำเกรงเพราะเห็นแก่หน้าอาจารย์เขา ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจมีเื่ต้องขอร้องให้หุบเขาหมัวเจี้ยนหลอมอาวุธให้ ดังนั้นหลี่ฉุนจึงกล้ากดราคาแร่โฮ่วเทียนแล้วก็ชักกระบี่ต่อหน้าหลินเฟย
แต่กับข่งฟางแล้ว ใครกันจะกล้าเบี้ยว…
‘ข่งฟางเป็ใคร?’
เขาเป็ถึงศิษย์เอกของหุบเขาว่านเป่าเชียว
แม้พวกเขาจะเป็ศิษย์เอกเหมือนกัน แต่ข่งฟางกลับแตกต่างออกไปเพียงแค่สิบปีเขาก็สามารถเข้าเป็ศิษย์สายตรงแล้ว วิธีบำเพ็ญของเขานั้นไม่เหมือนใคร เส้นทางบำเพ็ญของเขาถือว่าเป็ทรัพย์สมบัติอันล้ำค่า แม้แต่เ้าสำนักยังออกปากเอ่ยชมปราณกระบี่เฉียนคุนของเขา
ต่อให้อยู่ลำดับที่หกของเหล่าศิษย์สายตรง ซึ่งลำดับที่หกนั้นถือว่าไม่สูงอะไรมาก แต่ทั่วทั้งสำนักเวิ่นเจี้ยนต่างก็รู้ดีว่าเขาออมมือมาตลอด หากได้ลงมือขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าหลี่ชิงซานที่อยู่ลำดับสาม จะต้องไตร่ตรองดูเสียใหม่ว่าเขายังจะอยู่ในลำดับสามได้อีกหรือไม่…
ที่สำคัญข่งฟางเหมือนกับหวังหลิงกวน ทั้งคู่ต่างก็มีอำนาจในหุบเขา แทบจะเรียกได้ว่าคำพูดของข่งฟางก็เปรียบเสมือนประกาศิตแห่งหุบเขาว่านเป่า คำพูดของเขาจึงมีน้ำหนักเทียบเท่าผู้าุโหุบเขาอื่นเลยทีเดียว
เมื่อเทียบกันแล้ว ศิษย์เอกของหุบเขาหมัวเจี้ยนเช่นเขา นอกจากฝีมือยังไม่ถึงขั้นเป็ศิษย์สายตรงแล้ว คำพูดของเขาก็ไม่ได้มีน้ำหนักเท่า การที่ทุกคนต่างยำเกรงนั้น ก็เพราะเห็นแก่หน้าผู้าุโอู๋เยว่เท่านั้น…
“ว่าอย่างไรล่ะ ศิษย์น้องหลี่คิดว่าแพงเกินไปหรือ? ไม่เป็ไรๆ เดี๋ยวข้าคิดให้ใหม่…” ข่งฟางเองก็ยังคงใจเย็น พอเห็นหน้าตาตกตะลึงของหลี่ฉุนแล้ว ก็หยิบลูกคิดขึ้นมาหมายจะดีดใหม่อีกครั้ง
“ไม่แพงๆ!” หลี่ฉุนสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะรีบโบกมือเป็พัลวัน คิดว่าข้าโง่นักหรืออย่างไร? หากปล่อยให้คิดใหม่ ดีไม่ดีอาจแพงกว่าเดิมด้วยซ้ำ แล้วเขาจะมีปัญญาชดใช้ได้อย่างไรกัน
หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ หลี่ฉุนก็ยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี
“ศิษย์พี่ข่งย่อมคิดไม่ผิดอยู่แล้ว แต่ในวันนี้ข้ามีจ่ายไม่พอ อีกสองวันข้าค่อยนำมาใช้คืนได้หรือไม่?”
“ย่อมได้ๆ…” ใบหน้าอ้วนกลมของข่งฟางยังคงระบายไปด้วยรอยยิ้มตอบรับคำขอ
หลังจากถูกรีดไถไปชุดใหญ่ หลี่ฉุนเองก็ไม่กล้าอยู่ตรงนี้ต่อ จึงเอ่ยขอขมาแล้วรีบพาตัวเองออกจากหอว่านเป่าไป ‘ไม่ไหวๆ ที่นี่โหดเกินไป กลัวว่าหากอยู่นานกว่านี้ เขาคงจะสิ้นเนื้อประดาตัวเป็แน่…
หลังจากหลี่ฉุนจากไป ข่งฟางก็ไม่รีบร้อน เขาเดินสำรวจรอบๆ ก่อนจะหยุดดูรอยไม้จากกระบี่ไฟอัสนีบนพื้น สุดท้ายก็หัวเราะออกมา
“กระบี่ไฟอัสนีของเ้าหลี่ฉุนช่างไม่ธรรมดาจริงๆ พลังทำลายล้างจากอัสนีไฟโลกันตร์ เกรงว่าผู้บำเพ็ญที่ต่ำกว่าขั้นมิ่งหุน คงไม่อาจจะรับมือได้…”
“เอ๋ นั่นอะไรน่ะ?” หลังจากเดินดูไปไม่กี่ก้าว ก็พบว่าที่พื้นมีเศษน้ำแข็งตกอยู่ รู้สึกสงสัยจึงหยิบขึ้นมาดู แต่เมื่อใดัั สีหน้าก็พลันเปลี่ยนสีไปทันที
“มานี่หน่อย…หวังชิง”
“มีอะไรหรือศิษย์พี่ข่ง” ศิษย์ที่คอยติดตามข่งฟางเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็รีบเดินเข้ามาทันที
“เมื่อครู่นี้ศิษย์หุบเขาอวี้เหิงมีเื่กับหลี่ฉุนอย่างนั้นหรือ?” ข่งฟางใช้พลังปราณโอบล้อมน้ำแข็งเอาไว้ จึงทำให้น้ำแข็งไม่ละลายหนำซ้ำยังปล่อยกระแสไอเย็นออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่อาจฝ่าปราณของข่งฟางออกมาได้ ดูเผินๆแล้วจึงคล้ายกับข่งฟางกำลังประคองกลุ่มควันก้อนหนึ่งในมือก็ว่าได้
“ศิษย์หุบเขาอวี้เหิงคนนั้นชื่ออะไร ฝึกวิชากระบี่อะไรอย่างนั้นหรือ?”
“ได้ยินมาว่าชื่อหลินเฟย ฝึกเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่”
“วิชาหมื่นกระบี่?” ข่งฟางชะงักเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ
“เป็ไปไม่ได้ ข้ารู้จักวิชาหมื่นกระบี่ ว่ากันว่ามีแค่หนึ่งกระบวนท่าแต่กลับแฝงไปด้วยหลายหมื่นกระบวนท่าเลยทีเดียว ล้วนเป็เื่โกหกทั้งเพ…ไหน เ้าลองเล่าเื่ทั้งหมดให้ข้าฟังทีสิ…”
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------