บทที่ 53 มหาคหบดีหลี่โม่, การปรากฏตัวของชุยเผิง และพี่สาวผู้ติดอ่าง
รุ่งขึ้น หลี่โม่ตื่นนอน ก็เห็นจวนมู่หรงวุ่นวายกันทั้งเคหาสน์ เหล่าสาวใช้และคนรับใช้เดินเข้าออกขวักไขว่ไม่ขาดสาย
เมื่อก้าวไปที่หน้าประตู ก็เห็นท่านผู้เฒ่ามู่หรงกำลังบัญชาการคนงานด้วยตนเอง
“สหายหลี่น้อย ตื่นแล้วหรือ”
มู่หรงไห่หันกลับมา ใบหน้ามิได้บ่งบอกร่องรอยเมามายจากเมื่อวานแม้แต่น้อย
“ข้าได้สั่งให้โรงประมูลเหิงทงจัดหาเสบียงแล้ว วันนี้ก็จะสามารถจัดตั้งโรงทานได้เลย”
“รบกวนท่านมากขอรับ”
หลี่โม่หยิบตั๋วเงินที่เตรียมไว้แล้วออกจากแขนเสื้อ
“ในเมื่อเป็กิจอันพึงบำเพ็ญตามคำสอนของตระกูล ข้ามิอาจอาศัยความเอื้อเฟื้อของผู้อื่น หวังว่าท่านผู้เฒ่าจะไม่ถือสา”
ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ เขาขอรับผิดชอบเอง สำหรับเขาแล้ว ทรัพย์สินเงินทองมิเคยเป็สิ่งที่ขาดแคลนเลย
“สหายหลี่น้อยมีจิตเมตตา ทำให้เฒ่าผู้นี้ต้องละอายใจนัก”
มู่หรงไห่พยักหน้า แล้วเรียกพ่อบ้านที่เดินผ่านมา
“จงไปเรียกเซียวเอ๋อร์มาช่วยเร็วเข้า”
“แล้วส่งคนไปป่าวประกาศให้ทั่วเมือง...อ้อ ให้เซียวเอ๋อร์ไปเองจะดีกว่า”
“ขอรับ”
ในวันนั้น ตามตรอกซอกซอยของเมืองจื่อหยาง มีคนตีฆ้องร้องป่าว ดึงดูดสายตาของผู้คนมากมาย
“ศิษย์สายตรงหลี่แห่งสำนักชิงเยวียนลงจากเขามาทำบุญแล้ว! เหล่าผู้พเนจรทั้งหลายสามารถไปเข้าแถวรับข้าวต้มได้! สถานที่คือจวนมู่หรง!”
มู่หรงเซียวส่งเสียงดังกังวาน ะโจนหน้าแดงก่ำคอเป็เอ็น เขาทำด้วยความกระตือรือร้นอย่างยิ่ง
อันที่จริงหลี่โม่มิได้ตั้งใจสร้างชื่อเสียง ทว่าส่วนใหญ่เป็เพราะศิษย์น้องมู่หรงต่างหากที่อยากให้คนทั้งใต้หล้าประจักษ์ว่าศิษย์พี่ของเขาเป็คนดีมีจิตใจเมตตา โดยครึ่งแรกของประโยคนั้น มู่หรงเซียวเป็ผู้เสริมเติมเข้าไปเอง
ภายในโรงเตี๊ยม
เริ่มมีเสียงพูดคุยกัน
“ศิษย์สายตรงของสำนักชิงเยวียนหรือ?”
“ชื่อนี้ข้าคุ้นๆ นะ ดูคล้ายจะเป็ผู้ที่ได้รับอาวุธลี้ลับนั้นมิใช่หรือ?”
“เขาคงจะได้รับภารกิจอันใดจากสำนักลงมาช่วยเหลือผู้ประสบภัยกระมัง?”
ที่มุมกำแพงหน้าโรงเตี๊ยมเล็กๆ มองเห็นด้านหลังของมู่หรงเซียวที่เดินจากไป พลันปรากฏขอทานร่างผอมแห้ง ผมเผ้ายุ่งเหยิงคนหนึ่งค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าภายใต้เรือนผมที่กระเซิงนั้น ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายความดุร้ายออกมาเต็มที่
“สำนักชิงเยวียน...ศิษย์สายตรงหลี่”
“เปิดโรงทานแจกข้าวต้ม ให้เหล่าผู้พเนจรและขอทานไปรับโดยเฉพาะ หรือว่าการเคลื่อนไหวของข้ารั่วไหลไปแล้ว?”
ดวงตาของชุยเผิงฉายแววเย็นเยียบ พลันเกิดเจตนาสังหารพุ่งพล่าน
สำนักชิงเยวียนจะออกตามล่าเขานั้น ย่อมเป็เื่ที่สมเหตุสมผล
แต่ก็มีบางอย่างแปลกประหลาด
เขาเพิ่งจะปลอมตัวเป็ขอทานหลังจากมาถึงเมืองจื่อหยาง ไม่น่าจะมีใครล่วงรู้เื่นี้ แต่กลับกัน อีกฝ่ายกลับเปิดโรงทานแจกจ่ายข้าวต้มทันทีที่เขามาถึง
ไม่ว่าจะมองมุมใด ก็ล้วนเหมือนตั้งใจจะจับกุมเขา
“หลี่โม่ ศิษย์สายตรงคนใหม่ของสำนักชิงเยวียน เพิ่งเข้าสำนักมาไม่นาน”
“ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตปราณโลหิตคนหนึ่ง กล้าที่จะรับภารกิจตามจับข้า ช่างกล้าหาญยิ่งนัก! ดูท่าคงจะอาศัยความช่วยเหลือจากตระกูลมู่หรง ทำให้คิดว่าข้าเป็เพียงปลาในอ่าง มิอาจหลบหนี”
“หรือว่าสำนักชิงเยวียน้าใช้ข้าเป็หินลับกระบี่ให้กับศิษย์สายตรงของพวกเขา?”
“ฮิฮิ...ก็มิกลัวรึว่ากระบี่นั่นจะหักสะบั้นไปเสียก่อน”
แววตาของชุยเผิงยิ่งดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ
กระบี่สั้นที่ซ่อนในอาภรณ์ร้อนผ่าว เขายื่นมือไปจับด้ามกระบี่โดยไม่รู้ตัว
วิชาที่เขาบ่มเพาะมานั้น ล้วนถือกำเนิดขึ้นเพื่อการเข่นฆ่าโดยแท้ ทุกครั้งที่ปลิดชีพใต้คมกระบี่ วิชาดาบของเขาก็จะยิ่งทวีความคมกล้าขึ้นอีกเล็กน้อย
ในตอนแรก เขาแอบฝึกฝนวิชา ต่อมาถูกศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักจับได้ เขาก็สังหารเพื่อปิดปาก ใครจะคาดคิดว่าเื่กลับเปิดเผย จนทำให้เขาต้องตกอยู่ในวงล้อมการจับกุมเช่นนี้
“ตอนนี้ข้าไร้ซึ่งทางเลือกแล้ว”
“ทางออกเดียวคือเข้าร่วมหอละอองฝน”
“หากสามารถใช้ศีรษะของศิษย์สายตรงสำนักชิงเยวียนเป็ของกำนัลในการแนะนำตัว ก็อาจหลีกเลี่ยงบททดสอบอันไร้สาระ...”
ถูกต้องแล้ว ชุยเผิงเตรียมเข้าร่วมหอละอองฝนเพื่อเป็มือสังหาร วิชาที่เขาฝึกฝนนั้น เกิดมาเพื่อการฆ่าคนโดยเฉพาะ
ศีรษะของศิษย์สายตรงสำนักชิงเยวียน พร้อมกับกระบี่ระดับลี้ลับเล่มหนึ่ง ก็น่าจะเพียงพอให้เขาได้รับตำแหน่งสูงหลังจากเข้าร่วม
แน่นอนว่าเื่นี้ยังต้องค่อยๆ ดำเนินการไป ยามนี้เขายังมิอาจหยั่งถึงก้นบึ้งพลังของอีกฝ่ายได้เลย
“มันคงจะรู้แค่ว่าข้าปลอมตัวเป็ขอทาน แต่ไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนของข้า”
“ข้าอยู่ในความมืด มันอยู่ในแสง”
“คนโง่เง่า คิดจะล่อข้าออกมา แต่กลับทำให้ตัวเองกลายเป็เป้าแทน...”
“ฮิฮิฮิ...ท้ายที่สุดแล้ว ใครกันแน่ที่จะตกหลุมพรางเสียเอง”
ชุยเผิงลุกขึ้น แล้วก้าวไปหาขอทานน้อยที่อยู่เบื้องหน้า เขาตบหลังขอทานน้อยคนนั้นเบาๆ อีกฝ่ายก็พลันหันกายกลับมาทันควัน
“มีอะไรหรือ?”
ขอทานน้อยหันกลับมา มองเขาอย่างระมัดระวัง
“เ้าจะไปรับข้าวต้มที่จวนมู่หรงกระนั้นหรือ?”
“ไม่ๆ ท่านไปเองเถอะ ข้ามิมีเวลาจะพาท่านไป”
ขอทานน้อยส่ายหน้าถี่ๆ
“ข้าไม่้าข้าวต้ม”
ชุยเผิงเก็บเจตนาสังหารในดวงตา พยายามทำให้ตัวเองดูใจดีที่สุด แล้วหยิบเงินทองแดงหนึ่งพวงออกมา
ครานี้ขอทานน้อยมิอาจละสายตา เผยให้เห็นความปรารถนาอย่างชัดเจน
“ตอนที่เ้าไปรับข้าวต้ม แค่ใช้มือของเ้าแตะชายเสื้อของศิษย์สายตรงสำนักชิงเยวียน พวงเงินทองแดงนี้ก็จะเป็ของเ้า”
“หากเ้ากลับไปที่ตรอกหนีเจี่ยวทางตะวันออกอีกครั้ง และบอกข้าว่าเขาหน้าตาเป็อย่างไร ข้าจะให้เงินเ้าอีกหนึ่งพวง”
บนเหรียญทองแดงนั้นถูกแต้มด้วยเครื่องหอมพิเศษของเขา มีเพียงผู้ที่ได้รับการฝึกฝนเป็พิเศษเท่านั้นจึงจะรับรู้กลิ่นได้
“ได้ๆ !”
ขอทานน้อยรับเงินไว้ในมือ แล้วเดินจากไปด้วยความยินดี
หน้าจวนมู่หรง
ด้านหน้าโรงทานที่สร้างด้วยไม้ไผ่ มีผู้คนเข้าแถวยาวเหยียด ส่วนใหญ่เป็ผู้ที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง และใบหน้าซีดเซียว มีทั้งผู้พเนจรและชาวบ้านยากจน
“โอ้โห! ข้าวต้มเข้มข้นมาก!”
“ไม่เพียงแค่ได้ข้าวต้ม ยังได้ข้าวสารอีกถุงเล็กๆ ด้วย! เดี๋ยว...ถึงกับมีปลาเค็มครึ่งตัวเลยรึ!”
“แหม...ข้าก็นึกว่าศิษย์สายตรงหลี่แค่ทำเอาหน้า ไม่คิดเลยว่าเขาจะจริงใจขนาดนี้”
“ถึงเขาจะอยากสร้างชื่อเสียงแล้วอย่างไรเล่า อย่างไรเสียพวกเราก็ได้ประโยชน์จริงๆ”
“อย่าพูดพล่อยๆ สิ เขาแจกจ่ายเสบียงด้วยตัวเองเชียวนะ แล้วยังให้ขอทานทุกคนไปเข้าแถวที่นั่นด้วย”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังอื้ออึงไม่ขาดสาย
ในโรงทาน หลี่โม่วุ่นวายเป็อย่างยิ่ง เขาต้องแจกข้าวต้มด้วยมือตนเอง พร้อมทั้งสังเกตการณ์ด้วยเนตรทิพย์ลิขิตฟ้าไปพร้อมกัน
เขารู้สึกประหลาดใจนัก เขาแค่บอกว่าจะทำบุญ ไม่ได้บอกชื่อตัวเองเลยนี่นา เหตุใดผู้คนจึงล่วงรู้ฐานะของเขา?
เป็ที่คาดหมายได้ว่า หลังจากวันนี้ เขาน่าจะกลายเป็คนดีมีชื่อเสียงไปทั่วเมืองจื่อหยางเป็แน่
“ใครกันหนอที่เป็ผู้บอกกล่าวแก่พวกเขาว่าโรงทานนี้เป็ของข้า?”
หลี่โม่ยื่นอาหารให้พลางหันกลับไป
“ศิษย์พี่มู่หรง ท่านพอจะทราบเบาะแสใดบ้างหรือไม่?”
“มะ…ไม่...ทราบ...”
เสียงของมู่หรงเซียวแหบแห้งติดลำคอ นานกว่าจะเปล่งวาจาจบประโยค
หลี่โม่ส่ายหน้า แล้วจึงตักข้าวต้มต่อไป
ในขณะเดียวกัน เนตรทิพย์ลิขิตฟ้าก็ทำงาน
[ชื่อ: ลู่หนิง]
[อายุ: 21]
[รากฐานกระดูก: ไม่มี]
[ขอบเขต: มนุษย์ธรรมดา]
[ลิขิตฟ้า: สีเทา]
[คำวิจารณ์: ปณิธานสูงส่ง แต่ไร้ซึ่งความสามารถ]
[สิ่งที่ประสบพบเจอเมื่อเร็วๆ นี้: เดิมเป็คนในครอบครัวที่มีฐานะดี แอบออกจากบ้านมาทำธุรกิจ แต่ขาดทุนย่อยยับจนไม่กล้ากลับบ้าน จึงเร่ร่อนในเมืองกลายเป็ขอทาน]
ยื่นถุงข้าวสารเล็กๆ ให้กับขอทานที่จงใจปิดหน้าคนนั้น หลี่โม่ถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า
“กลับบ้านเสียแต่เนิ่นๆ เถิด การนอบน้อมต่อครอบครัว ย่อมดีกว่าการนอบน้อมเพื่อรับข้าวสารเพียงห้าถัง”
มือที่รับถุงข้าวสารสั่นเทา แล้วเอ่ยขอบคุณหลี่โม่แ่เบา
“เ้าเคยเห็นขอทานที่มีาแที่อก ดวงตาเปี่ยมแววเฉลียวฉลาด และพูดติดอ่างบ้างหรือไม่?”
“เรียนมหาคหบดีหลี่ ข้ามิเคยพบเห็นขอรับ”
“ดี เ้าไปเถอะ”
หลี่โม่รู้สึกหนักใจอยู่บ้าง ตลอด่เช้าวันนี้ เขาก็ได้พบเห็นขอทานมากมายแล้ว
มีทั้งผู้ที่แสร้งเป็คนยากจนมารับข้าวสาร มีทั้งผู้ที่สอบตกจากเมืองหลวง นับว่าได้เห็นวิถีชีวิตผู้คนร้อยพันแบบอย่าง
แต่คนที่กำลังตามหา กลับยังไม่ปรากฏตัวเสียที เป็ไปได้หรือไม่ว่าขอทานน้อยผู้นั้น มิได้ปะปนอยู่กับหมู่ขอทานอื่น?
หรือข้อมูลที่ยัยก้อนน้ำแข็งให้มา จะมีปัญหาอันใด?
ขณะที่กำลังคิดเช่นนั้นเอง
“ท่านมหาคหบดีหลี่ ขอบคุณท่าน”
เมื่อก้มหน้าลง พลันเห็นขอทานน้อยร่างผอมคนหนึ่ง อายุราวเจ็ดแปดขวบ ยืนอยู่อย่างหวาดกลัว
“ถือข้าวสารไหวใช่ไหม?”
“อื้อๆ”
ขณะยื่นถุงข้าวสาร หลี่โม่พลันสังเกตเห็นรอยเล็บเล็กๆ บนอาภรณ์ ที่ขอทานน้อยทำไว้
เมื่อมองขอทานน้อยอีกครา เขาเม้มปาก หลับตาลงแน่น ราวเตรียมรับการทุบตีอย่างรุนแรง
“มิเป็ไร ข้ากลับไปซักได้”
หลี่โม่ยิ้มอย่างขบขัน
“ท่าน...เป็คนดีโดยแท้...”
“เ้าเคยเห็นขอทานที่พูดติดอ่าง ดวงตาเปี่ยมแววเฉลียวฉลาด และมีแผลที่อกบ้างไหม?”
หลี่โม่ถามไปตามน้ำ
“หือ? ท่านรู้จักพี่สาวพูดติดอ่างด้วยหรือ?”
ขอทานน้อยเบิกตากว้าง
“พี่สาวพูดติดอ่างกระนั้นหรือ?”
หลี่โม่เลิกคิ้วขึ้น
เขากำลังจะเอ่ยปากถามต่อ แต่ขอทานน้อยกลับรีบเอามือปิดปากฉับพลัน ราวกับกระทำความผิดลงไป สีหน้าตื่นตระหนกพลันวิ่งหายเข้าไปในฝูงชน
แต่ข้อมูลของขอทานน้อย ปรากฏในเนตรทิพย์ลิขิตฟ้าของหลี่โม่โดยละเอียดแล้ว
[ชื่อ: เมิ่งช่าน]
[อายุ: 7]
[รากฐานกระดูก: ไม่มี]
[ขอบเขต: มนุษย์ธรรมดา]
[ลิขิตฟ้า: สีดำ]
[คำวิจารณ์: ร่างกายเปรียบดั่งหญ้าป่า ชีวิตเปรียบดั่งกระดาษบาง แม้จะพบผู้มีบุญคุณ แต่กลับไม่มีวาสนาบุญ]
[สิ่งที่ประสบพบเจอเมื่อเร็วๆ นี้: พี่สาวผู้พูดติดอ่างที่ป่วยอยู่ เขาออกมาขอทานเพียงลำพัง และได้พบกับโจรชั่วชุยเผิง โดยไม่รู้ตัว เขาได้ทิ้งร่องรอยไว้ให้ศิษย์สายตรงหลี่แห่งสำนักชิงเยวียน และกำลังจะถูกปิดปาก]
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้