เกาเหรินกลอกตาไปมา ไม่รู้ว่าเป็คำว่า ‘บ้านเรา’ ของเสี่ยวหมี่ที่ทำให้เขาพอใจ หรือว่าถูกยั่วด้วยอาหารกันแน่ จึงพยักหน้าอย่างง่ายดาย
กลายเป็เสี่ยวหมี่เองที่ใไม่น้อย เพราะปกติเกาเหรินมีนิสัยแปลกประหลาดอย่างยิ่ง บางครั้งขนาดเฝิงเจี่ยนเป็คนกำชับเขา เขาก็ยังแอบอู้ไม่ยอมทำก็มี คิดไม่ถึงวันนี้จะตอบรับอย่างง่ายดายเช่นนี้ หรือว่าตัวซูอีจะมีพร์อะไร...
แต่ว่าเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ การให้ซูอีเรียนวรยุทธ์นั้น ก็เพื่อในวันหน้าเมื่อเฝิงเจี่ยนนายบ่าวจากไปแล้ว ต่อให้พี่รองลู่ที่พึ่งพาไม่ได้ผู้นั้นจะไม่อยู่บ้าน ก็นับว่ามีคนให้พึ่งพาได้อีกคนหนึ่ง
ซูอียังจำเื่เมื่อครู่ได้อยู่ จะอย่างไรก็ไม่ยอมคารวะเกาเหริน เสี่ยวหมี่รู้สึกขำ คิดจะช่วยกดศีรษะเขาให้ก้มลง กลับเป็เกาเหรินที่ะโขึ้นตบเขาอีกครั้ง ทำให้ซูอีโกรธยิ่งกว่าเดิมวิ่งไล่ตามกันจนเงาร่างหายไป
เสี่ยวหมี่ยิ้มขื่นพลางส่ายหน้า พวกเขายังเป็แค่เด็กสองคนก็เท่านั้น เมื่อครู่นางถึงขั้นคิดจะเตรียมฝึกเขาให้เป็ผู้ปกป้องครอบครัวนาง เรียกได้ว่าคิดไกลเกินไปจริงๆ
เมื่อเฝิงเจี่ยนปักกล้าต้นสุดท้ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงกับต้องนั่งพักเหนื่อยอยู่เหนือคันนา จากนั้นจึงมองไปรอบๆ บนดินโคลนสีดำมีต้นกล้าสีเขียวชอุ่มปักอยู่
แต่ต้นกล้าพวกนี้กลับมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากจะกล่าวให้ยิ่งใหญ่สักหน่อยก็คือเกี่ยวพันกับชีวิตของคนใต้หล้า หากจะมองให้เล็กลงมาก็นับว่าสิ่งนี้เป็ดั่งรากฐานอันมั่นคงของสกุลลู่ เพียงพอให้สตรีที่เขารักสามารถยืนอยู่อย่างมั่นคงเคียงข้างเขาได้
เสี่ยวหมี่กำลังรินน้ำชา ครั้นเห็นเขามองมาก็ยิ้มอย่างซุกซนเล็กน้อย ไม่รู้เลยว่าบุรุษที่ไม่เคยเหน็ดเหนื่อยไม่ว่าเรียนวิชาบุ๋นหรือบู๊ ยามนี้กลับเหน็ดเหนื่อยจนแทบทนไม่ไหวอยู่กลางคันนา กำลังวางแผนอนาคตให้กับนาง...
ส่วนทางผู้เฒ่าหยางกำลังก้มหน้าก้มตาเขียนอักษร เมื่อเขียนเสร็จแล้วก็วางพู่กันลง จากนั้นจึงถอนใจออกมาอย่างสบายใจ รอยยิ้มเบ่งบานบนใบหน้า หากรู้ว่าการออกมาทัศนาจรในครั้งนี้จะได้พบเจอวาสนาดีๆ เช่นนี้ เกรงว่าคงออกมานานแล้ว
นายท่านเฝิงเขยิบยื่นหน้าเข้ามายิ้มให้ “ท่านหยางเสร็จธุระแล้ว ก็มารวมตัวกันหน่อยสิ”
พูดพลางยื่นห่อยาสูบมาให้เขา อันที่จริงที่ข้างเอวผู้เฒ่าหยางเองก็มีเส้นยาสูบอยู่ในกระเป๋าเช่นกัน เพียงแต่ยามนี้เขารับเส้นยาสูบมาจากนายท่านเฝิง ใส่เข้าไปในกล้องยาสูบของเขา หลังจากจุดไฟแล้ว ชายชราสองคนก็นั่งยองๆ อยู่ข้างคันนา พ่นควันเป็วงราวกับเมฆออกมา
“น้องชาย เ้าว่าต้นกล้าพวกนี้จะอยู่รอดหรือไม่?”
ในที่สุดนายท่านเฝิงก็เอ่ยประโยคนี้ออกมา ผู้เฒ่าหยางจะเดาความหมายแฝงของเขาไม่ออกได้อย่างไร ขบคิดดูแล้วก็รู้ว่าเื่นี้เป็เื่ใหญ่ คงต้องพูดอะไรเสียหน่อย จึงหัวเราะเสียงต่ำ “พี่ชาย ท่านไม่รู้อะไร หากว่าข้าวขนาดครึ่งหมู่นี้ปลูกได้สำเร็จ วันหน้าเราที่อยู่ภาคเหนือก็ปลูกข้าวได้ด้วยตัวเองแล้ว และภาคใต้ก็จะเปลี่ยนจากเก็บเกี่ยวปีละครั้งมาเป็ปีละสองครั้ง ท่านลองคิดดูว่าหากเสบียงอาหารในใต้หล้านี้อยู่ๆ ก็เพิ่มขึ้นมาอีกเท่าหนึ่ง เช่นนั้นต้าหยวนจะมีคนอดตายน้อยลงสักเท่าไร”
“เสบียงในใต้หล้าเพิ่มขึ้นมาอีกครึ่งหนึ่ง?” นายท่านเฝิงใหันไปมองต้นกล้าในนาข้าว ตอนแรกเขาก็พอรับรู้ได้ว่าต้นกล้าพวกนี้มีความสำคัญมาก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะสำคัญขนาดนี้
“เช่นนั้น...”
เขากำลังคิดจะพูดอะไรอีก แต่กลับสำลักออกมาอย่างรุนแรง
ผู้เฒ่าหยางตบหลังเขาเบาๆ “พี่ชาย ไม่ต้องรีบร้อน ถึงอย่างไรข้าวพวกนี้ก็ถูกปลูกอยู่ในหมู่บ้านเขาหมีของพวกท่าน ตอนนี้พวกมันยังเล็กและอ่อนแอนัก คงต้องลำบากพี่ชายทุ่มเทเพื่อพวกมันหน่อยแล้ว”
“นั่นเป็เื่ที่แน่นอนอยู่แล้ว”
นายท่านเฝิงรับคำปากสั่นมือสั่น เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เขากำชับกับชาวบ้านก่อนหน้านี้ก็รู้สึกว่าสั่งอย่างลวกๆ เกินไป เขาจึงลุกขึ้นยืนแล้วพุ่งเข้าไปหาพวกเขา สั่งคนในหมู่บ้านเสียงดังว่า
“บิดาซานหวา ต้าหลิน สือโถ่ว รีบตัดกิ่งหลิวมา เอามาล้อมนาข้าวเอาไว้ จำไว้ว่าแม้แต่หนูตัวเดียวก็ห้ามปล่อยเข้ามา”
จากนั้นก็หันไปทางพวกผู้หญิงที่กำลังรายล้อมอยู่โดยรอบ “พวกเ้าเองก็ฟังเอาไว้ให้ดี ไก่ในบ้านของพวกเ้าก็ขังมันเอาไว้ให้ดี หากตัวไหนกล้าวิ่งออกมาทำลายนาข้าวละก็ ข้าจะฆ่าทิ้งทั้งหมด”
พวกผู้หญิงใกันไม่น้อย แม่ไก่ของแต่ละบ้านนับว่าเป็สมบัติล้ำค่าของพวกเขา ยามปกติไม่มีทางสังหารง่ายๆ ต่อให้คนในบ้านจะหิวโซแต่จะไม่มีวันปล่อยให้แม่ไก่ผอมโซเด็ดขาด เมื่อได้ยินเช่นนี้พวกนางจึงพากันพยักหน้าอย่างขันแข็ง ยอมล้อมรั้วให้หนาขึ้นอีกชั้นดีกว่าปล่อยให้พวกมันต้องตายมากนัก...
ผู้เฒ่าหยางยิ้มตาหยี ตอนที่คิดจะเติมเส้นยาสูบ กลับเห็นเกาเหรินที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนยัดท่อนไผ่ให้เขาหนึ่งท่อน ไม่รอให้เขาพูดอะไร ซูอีที่ดวงหน้าแดงก่ำ ดวงตาเบิกกว้างก็บุกเข้ามาหาแล้ว
เกาเหรินหัวเราะเยาะพลางด่าว่าเขา แล้วะโหนีหายไปเพื่อหยอกล้อซูอีต่อ
ผู้เฒ่าหยางก้มหน้าลง เมื่อเห็นสีของท่อนไผ่เขาก็ขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าเสี่ยวหมี่ถือกาน้ำชากำลังเดินกลับไปที่บ้าน จึงรีบเข้าไปหาเ้านาย
“นายน้อย เสวียนิส่งข่าวมาขอรับ”
เฝิงเจี่ยนพยักหน้า ล้างโคลนที่เท้าออก สวมถุงเท้ารองเท้าแล้วจึงตอบรับว่า “ครั้งก่อนที่เข้าเมือง เห็นการค้าทาสจากท้องทุ่งเป็วงกว้างในตลาดม้า จึงให้เสวียนิไปสืบมา”
เมื่อผู้เฒ่าหยางได้ยินเช่นนี้ก็วางใจ เปิดท่อนไผ่ออก เพียงกวาดสายตามองไปทีหนึ่งสีหน้าก็เปลี่ยนทันที
“คุณชาย เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นที่ดินแดนท้องทุ่งหญ้าขอรับ”
เฝิงเจี่ยนเลิกคิ้ว รับกระดาษมาจากเขา ก่อนสีหน้าจะเคร่งขรึมลง
“คุณชาย จะเดินทางไปที่ท้องทุ่งหญ้าสักครั้งหรือไม่ขอรับ”
ผู้เฒ่าหยางลองเลียบเคียงถามด้วยสีหน้าที่อธิบายไม่ถูก
เฝิงเจี่ยนหันศีรษะไปมองเรือนสกุลลู่ ที่นั่นเสี่ยวหมี่กำลังก่อไฟ ควันขาวจากห้องครัวกำลังลอยละล่องออกมาด้านนอก อาจเพราะเป็สัญญาณว่าอีกครู่เดียวก็จะได้กินอาหารแสนอร่อยแล้ว ดังนั้นไม่ว่าคนจะวิ่งไปไกลแค่ไหน ไม่ว่าจะยุ่งเพียงใด ก็จะกลับมารวมตัวกันอย่างตรงเวลา ดื่มด่ำกับอาหารรสเลิศไปพลางสนทนากันอย่างสนุกสนานไปพลาง...
สายตาของเขาค่อยๆ เข้มขึ้นทีละน้อย แต่กลับเอ่ยว่า “ได้ เ้าอยู่ที่นี่คอยดูแลต้นข้าว ข้าจะพาเกาเหรินไปดูหน่อย”
เมื่อผู้เฒ่าหยางได้ยินเช่นนี้ สีหน้าแปลกๆ ของเขาก็หายไปทันที เปลี่ยนเป็สีหน้าภาคภูมิใจ
“ขอรับ คุณชาย”
ฤดูใบไม้ผลิแสงแดดสดใส พืชผักในสวนสกุลลู่เติบโตเป็อย่างดี พวกต้นถั่วแอบเกียจคร้าน ถึงแม้ดอกจะบานสะพรั่งอย่างแ่า แต่ฝักถั่วกลับมีแค่ไม่กี่ฝัก ส่วนแตงกวากลับพากันแอบงอกงามอย่างเงียบๆ ใต้ใบอันหนาทึบ
เสี่ยวหมี่เด็ดแตงกวาออกมาสองลูก นอกจากนี้ยังเด็ดมะเขือม่วงที่เพิ่งเติบโตออกมาอีกสามลูก หั่นผักสองชนิดนี้เป็เส้นเล็กๆ ทั้งยังสับเนื้อสัตว์เป็เส้นเล็กๆ เช่นกัน แล้วจึงนำไปผัดรวมกันจนหอมฉุย เสร็จแล้วก็ทำน้ำแกงผักโขมเพิ่มอีกหนึ่งถ้วย จากนั้นก็จัดเรียงแป้งชุนปิ่งเต็มจานใหญ่ ก็พร้อมยกขึ้นโต๊ะอาหารแล้ว
คนสกุลลู่พากันล้างมือ เสร็จแล้วก็นั่งล้อมวงกัน มือหนึ่งถือแป้ง มือหนึ่งคีบผัก ถึงแม้พวกเขาจะรู้สึกว่าการต้องมาม้วนแป้งปอเปี๊ยะเช่นนี้ค่อนข้างลำบาก แต่เวลากินก็ไม่มีใครยอมกินช้ากว่าคนอื่นแม้แต่น้อย
รสชาติสดใหม่เช่นนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ในปากพวกเขาไม่ใช่อาหาร แต่เป็ฤดูใบไม้ผลิ
เสี่ยวหมี่นึกไปถึงเถ้าแก่เฉินที่มักส่งคนมาเร่งเื่ผักสดแล้วก็กินด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย แตงกวาและมะเขือม่วงพวกนี้หากว่ามอบให้เถ้าแก่เฉินเอาไปขายเกรงว่าคงขายได้หลายตำลึง
แต่นางไม่เสียใจภายหลัง ของที่นางปลูกกินเองที่บ้าน หากยังตัดใจกินเองไม่ได้ ก็เท่ากับเหนื่อยเปล่า อีกอย่าง ตอนนี้สกุลลู่ก็ไม่ได้ลำบากเหมือนปีที่แล้ว จึงไม่ได้เสียดายอะไรขนาดนั้น
นางนึกไปถึงตั๋วเงินพันกว่าตำลึงที่นอนอยู่ก้นกล่องในห้อง เสี่ยวหมี่ก็อารมณ์ดียิ่งนัก กินชุนปิ่งคำโตอย่างสบายใจ
เฝิงเจี่ยนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เห็นเสี่ยวหมี่กินอย่างมีความสุข จึงไม่กล้าเอ่ยปากออกมาเสียที
รอจนทุกคนกินอิ่มกันแล้ว เสี่ยวหมี่ก็ยกมือขึ้นเตรียมเก็บชามและตะเกียบ ในที่สุดเฝิงเจี่ยนก็เอ่ยปากออกมา “วันพรุ่งนี้ ข้าจะจากไป...”
‘ตึง’ เขายังพูดไม่ทันจบ ตะเกียบในมือของเสี่ยวหมี่กลับร่วงลงมา กระทบกับถ้วยจนเกิดเสียงดัง
เสี่ยวหมี่สีหน้าซีดขาวจนน่าใ คิดจะพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ออก
ไม่ใช่ว่านางไม่เคยคิดถึงเื่นี้มาก่อน ถึงขนาดที่นางเองก็เตรียมการหลังจากที่พวกเฝิงเจี่ยนจากไปแล้วอยู่หลายอย่าง เช่น การให้เกาเหรินสอนวรยุทธ์แก่ซูอี...
แต่ว่า จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจะกะทันหันเช่นนี้...
เฝิงเจี่ยนเห็นเสี่ยวหมี่ที่ิญญาหลุดลอยไปเช่นนั้น หัวใจก็เ็ป แต่จากนั้นก็กลายเป็ความยินดีอย่างเหลือล้น นางไม่อยากให้เขาไป...
“อะแฮ่ม” ผู้เฒ่าหยางไม่อาจทนเห็นแม่นางน้อยมีท่าทางเช่นนั้น และยิ่งกลัวว่าพวกบิดาลู่จะสงสัยอะไรขึ้นมา จึงรีบอธิบายแทรกขึ้นมาว่า “คุณชาย ท่านวางใจ บ่าวจะอยู่ที่นี่คอยดูแลนาข้าว ท่านพาเกาเหรินไปที่ท้องทุ่งหญ้า หากว่ากิจการที่บ้านไม่มีปัญหาอะไรใหญ่โต ก็รีบกลับมานะขอรับ”
กลับมา?
ิญญาของเสี่ยวหมี่ที่ล่องลอยไปแล้วถูกดึงกลับมา แล้วจึงหันไปเห็นสายตาอมยิ้มของเฝิงเจี่ยน นางหน้าแดงแจ๋ทันที
นางอยากจะวิ่งหนีไปเสียประเดี๋ยวนี้ แต่ก็อยากฟังว่าเฝิงเจี่ยนจะพูดอะไร
ดีที่เฝิงเจี่ยนกลัวว่าเืจะไหลไปสะสมอยู่ที่ศีรษะนางมากจนเป็ลมไปก่อน จึงตอบรับว่า “ได้ ไม่เกินครึ่งเดือนข้าจะกลับมา”
ในที่สุดเสี่ยวหมี่ก็วางใจได้ ค่อยๆ ถอนหายใจโล่งอก
กลับเป็เกาเหรินที่เมื่อได้ยินว่าต้องไปนานขนาดนั้นก็กระทืบเท้าต่อต้านขึ้นมา “อะไรนะ ต้องไปนานถึงครึ่งเดือนเชียวหรือ จะได้อย่างไร? เสี่ยวหมี่เพิ่งจะหมักเนื้อไว้สองไห อีกสักสองวันก็กินได้แล้ว หากข้าไปแล้วก็เสร็จซูอีคนเดียวน่ะสิ”
ซูอีคล้ายจะไม่เข้าใจว่าทุกคนกำลังพูดอะไรกันอยู่ ยังคงฉีกยิ้มอย่างโง่งม แต่ดูแล้วเหมือนจะแฝงท่าทีอวดดีเอาไว้ เกาเหรินเห็นแล้วก็อยากจะซัดเขาสักที
เสี่ยวหมี่จึงรีบเข้ามาไกล่เกลี่ย “เกาเหรินอย่างอแงสิ ข้าจะเตรียมของกินให้เ้าเอาไประหว่างทาง ส่วนเนื้อหมัก วันนี้ก็กินได้แล้ว พรุ่งนี้จะเตรียมให้เ้าเอาไปกินระหว่างทางด้วย”
“จริงหรือ?” เกาเหรินพยักหน้าอย่างจำยอมในที่สุด “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะเอาไปทั้งหมูหมัก ขนมเกลียวทอด...เอาเป็ว่าเอาอะไรไปได้ข้าจะเอาไปทั้งหมด”
เสี่ยวหมี่ได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าน่าขำยิ่งนัก แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร “ได้ ข้าจะเตรียมไว้ให้เ้าเอาไปหมดเลย”
เฝิงเจี่ยนกลับเอ่ยปากห้าม “เดินทางไปท้องทุ่งหญ้าเดิมก็ลำบากพออยู่แล้ว จะเอาของไปมากๆ ไม่ได้”
เกาเหรินกระทืบเท้า “ไม่ได้ ข้าจะแบกของข้าเอง กว่าจะไปถึงข้าก็กินหมดแล้ว”
เสี่ยวหมี่ยังจำได้ว่าเมื่อครู่เฝิงเจี่ยนตั้งใจจะทำให้นางเข้าใจผิด ทำให้นางขายหน้า ยามนี้จึงตัดสินใจยืนอยู่ข้างเกาเหริน “ได้ ข้าจะทอดลูกชิ้นเนื้อให้เ้าเอาติดไปด้วย ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องแบ่งให้พี่ใหญ่เฝิงกิน”
“ได้ ข้าจะไปช่วยเ้าก่อไฟ”
เกาเหรินยิ้มอย่างถือดี เดินตามเสี่ยวหมี่ต้อยๆ ถือถ้วยชามไปเก็บ ทิ้งเฝิงเจี่ยนที่ยิ้มไม่หุบเอาไว้คนเดียว...
รถม้าม่านสีเขียวแบบเดียวกับตอนที่ปรากฏตัวขึ้นเมื่อฤดูหนาวปีที่แล้ว แต่ครั้งนี้ บนรถม้าไม่ได้บรรทุกเฝิงเจี่ยนที่ได้รับาเ็สาหัส แต่กลับบรรทุกกล่องน้อยใหญ่และไหใบเล็กใบน้อยไว้เกือบเต็ม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้