“เื่ในราชสำนัก หม่อมฉันอาจรู้ไม่มาก แต่หม่อมฉันก็หวังให้รัชทายาททรงอยู่อย่างดีเพคะ” ลู่หลิงฉิงมองโอวหยางเทียนหัวด้วยดวงตาที่แฝงไว้ด้วยความรักลึกซึ้ง “ถึงแม้ชิวเสียงจะเป็รองเ้ากรมอาญา แต่เราก็ไม่จำเป็ต้องทำเื่ที่ไม่ควรทำ เพียงเพื่อรองเ้ากรมอาญาคนเดียวก็ได้นี่เพคะ”
“มิคาด ชายารัชทายาทของเปิ่นไท่จื่อจะมีความคิดอยู่มิใช่น้อย” โอวหยางเทียนหัวดื่มน้ำแกงบำรุงพลางพูดจาอย่างทอดถอนใจ “เช่นนั้น เ้าลองบอกมาสิ ต่อไปเปิ่นไท่จื่อควรทำเช่นไร? ”
ลู่หลิงฉิงยิ้มออกมา “หม่อมฉันเป็แค่สตรีคนหนึ่ง รัชทายาทรงถามเื่เหล่านี้ ลำบากหม่อมฉันแล้วเพคะ แต่ว่า หากรัชทายาททรงสงสัยในสิ่งที่หม่อมฉันคิดอยู่ในใจจริงๆ หม่อมฉันก็จะลองตอบตามความคิดของตนดูเพคะ” พูดจบ นางก็ยิ้มอย่างซุกซน
เมื่อเห็นท่าทางนางเช่นนี้ โอวหยางเทียนหัวก็คิดไปถึงยามที่พวกเขาเพิ่งรู้จักกัน ตอนนั้นนางเองก็พูดคุยกับเขาด้วยท่าทีซุกซนเช่นนี้ เขาพยักหน้า “ว่ามา เ้าคือชายารัชทายาท รู้เื่อะไรบ้างสักหน่อยก็มิเป็ไร”
จู่ๆ ในสมองของเขาก็คิดถึงอวิ๋นซี สตรีที่แม้แต่เื่ของแว่นแคว้นก็ยังกล้าพูดออกมานางนั้น มือเขากำแน่น ในใจเคียดแค้น น่าเสียดายที่สตรีเช่นนี้ไม่ใช่ของตน ซ้ำร้ายตอนนี้เหตุที่เขาต้องมานอนอยู่บนเตียงราวกับคนพิการก็ล้วนเป็ฝีมือของอวิ๋นซีผู้นั้น
ในเมื่อนางไม่ดื่มสุราคารวะ ดื่มสุราลงโทษ นับแต่นี้ต่อไปเขาก็จะไม่ปรารถนาใดๆ ต่อตัวนางอีก ในเมื่อไม่ได้มาครอง เช่นนั้นก็ทำลายเสีย
“องค์รัชทายาท ถึงแม้การสูญเสียรองเ้ากรมอาญาไปคนหนึ่งจะน่าเสียดาย แต่พระองค์ลองคิดดูเถิดเพคะ รองเ้ากรมอาญาเพิ่งจะขึ้นรับตำแหน่งได้กี่เดือน ขณะที่เ้ากรมอาญามีพื้นเพมาจากกองทัพ ฝีมือโเี้อย่างที่คนธรรมดาไม่อาจเทียบได้ หากทรงคิดอยากจะควบคุมกรมอาญา ไม่สู้ลงแรงดึงตัวเ้ากรมอาญาผู้นั้นมาเป็พวก จะไม่ดีกว่าหรือเพคะ หม่อมฉันรู้มาว่า ตอนนี้เขายังไม่ได้ตัดสินใจเลือกข้าง” ลู่หลิงฉิงพูดพร้อมรอยยิ้ม
โอวหยางเทียนหัวได้ยินก็มองลู่หลิงฉิงอย่างมีเลศนัย คิดไม่ถึงว่าชายารัชทายาทของตนจะคิดวิธีเช่นนี้ออกมาได้ด้วยตัวเอง “ชายารัก วิธีนี้ เ้าเป็คนคิดออกมาจริงหรือ? ”
ลู่หลิงฉิงถึงกับสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางเบะปากอย่างไม่พอใจด้วยกิริยาที่คล้ายกับในอดีตยามนางออดอ้อนเขา “เสด็จพี่เทียนหัว ท่านกล่าวเช่นนี้ หมายความเช่นไรเพคะ? ดูถูกข้าหรือ? ”
โอวหยางเทียนหัวหัวเราะฮ่าฮ่า พูดว่า “มิใช่เช่นนั้น ชายารักของเปิ่นไท่จื่อหลักแหลมที่สุด เป็ผู้ช่วยที่ดีของเปิ่นไท่จื่อจริงๆ ”
คนทั้งสองอยู่สนทนากันอีกชั่วครู่ หลังจากที่ลู่หลิงฉิงออกไปแล้วโอวหยางเทียนหัวก็มองออกไปด้านนอก พูดเสียงต่ำ “เ้ากรมอาญาหลานชิงเฉวียน” เขาจำได้ดี คนผู้นี้เื้ัไม่มีอำนาจใดสนับสนุน เดิมเป็ซิ่วไฉ [1] จากตระกูลยากจน เคยสอบราชการอยู่สองครั้ง แต่ไม่ติด สุดท้ายเป็เพราะความโกรธจึงได้ไปสมัครทหารแทน คิดไม่ถึงยามอยู่ในกองทัพจะสามารถฆ่าคนได้เป็ถนนสายหนึ่ง
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ คนผู้นี้เป็แม่ทัพคนสำคัญคนหนึ่งในกองทัพของแม่ทัพแห่งชิงโจวป่ายเจี้ยนตง คนของเขาเคยสืบมา ชาติกำเนิดของหลานชิงเฉวียนเรียกได้ว่าใสสะอาด หากสามารถดึงมาเป็พวกได้ก็นับเป็ขุมกำลังที่ดีในอนาคต เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกว่าคำพูดของชายารัชทายาทของตนถูกต้องยิ่ง ต่อให้เขาจะออกหน้าปกป้องชิวเสียง แต่คนก็เป็แค่รองเ้ากรมอาญาที่คิดฝันอยากจะเป็เ้ากรมอาญา ดูท่า อีกฝ่ายคงต้องใช้เวลาอีกมาก
เมื่อเทียบกันแล้ว ไม่สู้ไปดึงเ้ากรมอาญาที่เพิ่งรั้งตำแหน่งผู้นี้มายังจะดีเสียกว่า
……...........................................................................................
อวิ๋นซีช่วยรักษาคนที่เขตด้านล่างแห่งหนึ่งในอวี่โจวอยู่หลายวัน เื่โชคดีเพียงอย่างเดียวก็คือ คนข้างกายเหล่านี้ล้วนติดตามนางมาหลายวันย่อมรู้เื่ยาที่ใช้ในการรักษาโรคระบาดเป็อย่างดี ดังนั้น เื่สั่งยา นางจึงสามารถยกให้เป็หน้าที่ของหลัวเซินและเยว่หัวได้ ส่วนตัวนางก็นำคนไปพร้อมหินเหล็กไฟที่เพิ่งส่งมาใหม่ แล้วไปสอนชาวบ้านว่าจะทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคในที่พักอย่างไร
เวลาผ่านไปจนเข้ากลางเดือนสาม หลังจากที่โรคระบาดระบาดอย่างรุนแรงมาได้เกือบหนึ่งเดือน ในที่สุดก็สามารถควบคุมไว้ได้ทั้งหมด เพียงแต่อวิ๋นซียังคงรั้งอยู่ในเขตโรคระบาดเช่นเดิม นางตั้งใจจะรอจนกว่าโรคระบาดนี้หายไปโดยสนิท ถึงจะจากไป
วันที่ห้าในอวี่โจว อวิ๋นซีได้รู้แหล่งซ่อนตัวของข้าหลวงผู้ดูแลประจำอวี่โจวจากเว่ยซาน ได้ยินว่าพวกเขาทั้งครอบครัวต่างหลบอยู่ในเขาลึก เมื่อฟังจบ นางก็ขมวดคิ้วพูดว่า “พาคนไปนำตัวพวกเขาทั้งครอบครัวกลับมาให้หมด”
เมื่อเยว่หัวได้ยิน มือที่กำลังเคี่ยวยาอยู่ถึงกับชะงักค้าง นางรู้ดีว่า ครั้งนี้อาจารย์โกรธแล้ว เพราะในสายตามีจิตสังหารที่ไม่อาจกลบลงมิดเผยให้เห็นอย่างประจักษ์ชัด ข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจวนั่นสมควรตายจริงๆ คนทำให้อาจารย์ต้องลำบากถึงเพียงนี้ ต้องแบ่งความคิดมาสนใจเื่นี้
‘เว่ยซาน’ ลงมือเอง เพียงไม่นานก็จับครอบครัวของข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจวมาได้ ในตอนนั้นอวิ๋นซียืนอยู่นอกศาลาว่าการพลางมองข้าหลวงคนนั้นที่ถูก ‘เว่ยซาน’ โยนลงไปบนพื้น คนผู้นี้เป็ชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างอวบอ้วน ในยามที่โรคระบาดกำลังระบาดหนัก แต่เขากลับเลี้ยงตนเองให้ขาวอวบอ้วนเช่นนี้ได้อยู่ เมื่อคิดถึงตรงนี้ สายตาของอวิ๋นซีก็มีจิตสังหารวาบผ่านไปอีกครั้ง ก่อนจะเหลียวมองคนอื่นๆ ที่เหล่าองครักษ์นำตัวมา คนเ่าั้มีสตรีแก้มแดงที่สวมใส่อาภรณ์หรูหราฉูดฉาดอยู่หลายคน แค่ดูก็รู้ว่า พวกนางแต่ละคนไม่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดในครั้งนี้เลย
‘เว่ยซาน’ เดินไปยืนอยู่ข้างกายอวิ๋นซี เขาจดจำได้ดีว่า ตอนนี้ตนกำลังแสดงเป็หนิงอ๋องอยู่ เขามองข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจวด้วยสีหน้าดำคล้ำพลางหวนนึกถึงตอนที่ตนสืบทราบว่าอีกฝ่ายลี้ภัยอยู่ที่ใด คนกลุ่มนี้ไม่ได้อาศัยอยู่ในถ้ำบนเขา แต่เป็เรือนพักตากอากาศหรูหรางดงามที่ถูกสร้างขึ้นกลางหุบเขา
เขาเล่าเื่ที่ตนพบเห็นทั้งหมดออกมา ในเรือนพักตากอากาศกลางหุบเขาแห่งนั้นมีโพรงน้ำแข็งขนาดใหญ่อยู่ อาหารที่วางไว้ด้านในมีเพียงพอให้คนยี่สิบกว่าคนกินได้ถึงครึ่งปี จนถึงตอนนี้เขาก็ยังแปลกใจ เหตุใดข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจวผู้นี้ถึงต้องลำบากเพียงนั้น เพื่อสร้างเรือนพักตากอากาศเช่นนี้ไว้กลางหุบเขา
ข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจวมองชายหญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าที่ดูแล้วน่าเกรงขามยิ่ง เขาพูดเสียงเกรี้ยวกราด “ข้าเป็ถึงข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจว พวกเ้าเป็ผู้ใดกันถึงได้กล้าไร้มารยาทกับข้าเช่นนี้”
อวิ๋นซีหัวเราะหึหึเ็า “ข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจว? ข้าหลวงคนหนึ่งที่เมื่อเจอโรคระบาดก็ละทิ้งราษฎรของอวี่โจวไปโดยไม่สนใจน่ะหรือ เ้ายังมีหน้ามาพูดพล่ามอยู่ที่นี่อีก คนเช่นนี้ ต่อให้ตายไป ก็ไม่มีใครสงสาร”
“บังอาจ! หากกล้าสังหารข้า เ้าก็รอให้หลู่อ๋องมาคิดบัญชีกับเ้าได้เลย” เขายืดตัวตรงอย่างภาคภูมิใจพลางมองคนตรงหน้า ทำให้ท้องที่ราวกับสตรีมีครรภ์อายุหกเดือนของตนเองยื่นล้ำออกมา “น้องหญิงของข้าเป็ถึงสนมซู่เฟยของหลู่อ๋อง หากเ้ากล้าแตะข้าแม้แต่ปลายขน หลู่อ๋องไม่มีทางปล่อยพวกเ้าไว้แน่”
เยว่หัวได้ฟังคำโอ้อวดนั้นก็ถึงกับพ่นลมออกทางจมูกอย่างเ็า ถึงแม้นางจะอายุยังน้อย ไม่รู้เื่ในราชสำนัก แต่นางก็พอจะรู้ว่า สนมซู่เฟยเป็สตรีเรือนหลังระดับใด หากให้พูดตามตรงก็คืออนุน้อยๆ ของหลู่อ๋องนั่นแหละ ไม่ชอบตำแหน่งข้าหลวงผู้ดูแลถึงกับยกน้องหญิงของตนที่เป็เพียงอนุน้อยของหลู่อ๋องคนนั้นมา โง่เง่าจริงๆ
แน่นอนว่า อวิ๋นซีได้ยินเสียงเยาะหยันเ็าของลูกศิษย์ตน นางมองไปยังเยว่หัว จากนั้นจึงเอ่ยถาม “เ้าเองก็ติดตามอยู่ข้างกายอาจารย์มาหลายปีแล้ว ไหนลองว่ามาสิ คนเช่นนี้ หากอยู่ที่หานโจว ควรทำเช่นไร”
เมื่อเยว่หัวได้ยิน ดวงตาคู่นั้นที่มองข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจวอยู่ก็ราวกับกำลังมองคนตายไม่ปาน หากเป็เมื่อก่อน เมื่อให้พูดถึงการสังหารคนด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับเป็เพียงการตัดฟืนดังเช่นหวานหว่าน นางก็คงยังมีความหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย แต่หลังจากที่ติดตามอาจารย์ และได้เผชิญหน้ากับโรคระบาดในครั้งนี้ ทำให้นางที่เห็นความเป็ความตายมามากมาย ความคิดในใจก็เกิดการเปลี่ยนแปลงราวพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน นางไม่แม้แต่จะคิดก็พูดออกไป “หากที่หานโจวมีขุนนางเช่นนี้ย่อมต้องถูกสังหาร แล้วทิ้งศพไว้สามวัน”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ซิ่วไฉ(秀才)คือ ผู้ที่สอบผ่านการสอบเข้ารับราชการของจีนสมัยโบราณระดับต้น หรือระดับท้องถิ่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้