ระหว่างทางมีสามีภรรยาวัยชราคู่หนึ่งกำลังจะเดินทางไปเยี่ยมญาติที่ตำบลจินจี ขออาศัยร่วมทางไปด้วย
หญิงชราที่สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบสีเทาสภาพค่อนข้างใหม่ขึ้นมาบนเกวียน นางทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะพูดอย่างแปลกใจว่า “หอมจริงๆ”
ชายชราที่สวมชุดสีเทาเช่นเดียวกันเบิกตากว้างพร้อมกล่าวเสียงดังว่า “ข้าก็ได้กลิ่นแล้ว สิ่งใดกัน เหตุใดจึงหอมเช่นนี้”
หลี่ฝูคังที่นั่งเฝ้าขนมอยู่ในเกวียนพูดยิ้มๆ “นี่เป็กลิ่นจากขนมไหว้พระจันทร์ตระกูลหลี่ของพวกเราขอรับ” เขาจงใจเปิดผ้าฝ้ายสีขาวดูสะอาดสะอ้านที่ใช้คลุมอยู่บนตะกร้าออก เผยให้เห็นขนมไหว้พระจันทร์รสหวานที่มีงาโรยหน้า ตัวแป้งมีสีเหลืองดูน่ากิน
ในตอนที่เปิดผ้าออกมากลิ่นของขนมไหว้พระจันทร์รสหวานก็โชยออกมาเต็มที่ ในเกวียนที่ไม่ใหญ่นักอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมเข้มข้น
หญิงชราจับจ้องไปยังขนมไหว้พระจันทร์รสหวาน นางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนถามว่า “ขนมนี่ไส้อะไรหรือ”
หลี่ฝูคังพูดตามที่หลี่หรูอี้กำชับไว้ “ขนมไหว้พระจันทร์ตระกูลหลี่ของพวกเราไม่มีไส้ ทำจากแป้ง น้ำตาล น้ำมันงา และงาดำขอรับ”
“ไม่มีไส้แล้วจะเรียกว่าขนมไหว้พระจันทร์ได้อย่างไร” ชายชรายังพูดไม่ทันจบน้ำลายก็ไหลออกจากมุมปาก จึงได้แต่รีบยกมือขึ้นเช็ด
“ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ของพวกเราไม่ต้องมีไส้ก็อร่อยมากแล้วขอรับ” เมื่อครู่หลี่ฝูคังเห็นสามีภรรยาวัยชราสวมเสื้อผ้าอาภรณ์ดีกว่าคนในหมู่บ้าน จึงหยิบขนมไหว้พระจันทร์ที่แบ่งไว้เป็ชิ้นเล็กๆ ออกมาจากตะกร้าเพื่อให้พวกเขาลองชิม
“อร่อยจริงๆ!”
“หอมเหลือเกิน”
สองสามีภรรยากินหมดไปแล้ว ทว่าหลังจากได้ลิ้มลองรสชาติที่แสนกลมกล่อมของขนมไหว้พระจันทร์รสหวานแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าอยากกินอีกเรื่อยๆ ในใจคิดว่าสามารถกินได้อีกถึงสิบชิ้นเลยทีเดียว
หลี่ฝูคังกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ครอบครัวของพวกเราขายขนมไหว้พระจันทร์รสหวานชิ้นละสิบทองแดงขอรับ”
“แพงขนาดนี้เชียวหรือ!” หญิงชราร้องเสียงดังจนหลังคาเกวียนแทบพลิก
ชายชราจะไปเยี่ยมครอบครัวของบุตรชายที่ตำบล เดิมทีอยากซื้อขนมไหว้พระจันทร์ไปให้หลานชายสักสองชิ้น นึกไม่ถึงว่าราคาจะสูงเพียงนี้ จึงได้แต่พูดออกไปอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “เนื้อหมูหนึ่งชั่งเพิ่งจะสิบสองทองแดง ขนมไหว้พระจันทร์บ้านเ้าขนาดใหญ่ครึ่งฝ่ามือขายแพงถึงสิบทองแดงเชียวหรือ”
หลี่ฝูคังแอบบ่นในใจก่อนกล่าวต่อไปว่า “ขนมไหว้พระจันทร์ของบ้านเรามีหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน”
“ขนมไหว้พระจันทร์ต้องมีไส้ แต่ขนมไหว้พระจันทร์บ้านเ้าแม้แต่ไส้พุทราจีนก็ไม่ใส่ แล้วยังมาขายแพงขนาดนี้อีก”
“ขนมไหว้พระจันทร์ราคาแพงเพียงนี้มีคนซื้อก็แปลกแล้ว”
“ขนมไหว้พระจันทร์ของพวกเ้าขายชิ้นละสามทองแดงก็พอ”
“เงินไม่ได้พัดมากับลม ขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นละสิบทองแดงต้องไม่มีคนซื้อแน่”
สองสามีภรรยาวัยชรามองหลี่ฝูคังด้วยสายตาตำหนิ
“พุทราจีนชั่งละสิบแปดทองแดง แต่ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ของพวกเราใช้น้ำมันงาชั่งละหกสิบแปดทองแดง น้ำตาลชั่งละสามสิบทองแดง งาดำชั่งละสิบห้าทองแดง ขายชิ้นละสิบทองแดงก็ถูกแล้วขอรับ” หลี่ฝูคังอธิบายพลางยื่นมือไปหยิบผ้าขาวมาคลุมตะกร้าขนมเช่นเดิม ในใจคิดว่า พวกท่านไม่อยากซื้อก็ไม่ต้องซื้อ เหตุใดต้องมาแช่งว่าขนมไหว้พระจันทร์รสหวานของพวกเราจะขายไม่ออกด้วยเล่า!
เพียงไม่นานในเกวียนก็เงียบเสียงลง สองสามีภรรยาวัยชราเหลือบมองไปที่ตะกร้าไผ่เป็ระยะแล้วก็สบตากัน เมื่อครู่พวกเขาลองคำนวณในใจดูแล้ว พบว่าเป็ดังเช่นที่เด็กชายกล่าวจริงๆ น้ำมันงา น้ำตาล และงาดำ ราคาแพงมาก โดยเฉพาะน้ำมันงาที่แม้แต่ครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในตำบลยังกินไม่ลง มีเพียงครอบครัวของเด็กชายที่เอามาทำขนมไหว้พระจันทร์
เกวียนลดความเร็วลงจนกระทั่งจอดสนิท ทางด้านหน้ามีเสียงกระจ่างใสของหลี่เจี้ยนอันดังขึ้น “ถึงตำบลจินจีแล้วขอรับ”
หลี่เจี้ยนอันถือตะกร้าใบใหญ่ที่มีกลิ่นหอมโชยออกมาลงจากเกวียนไปก่อน จากนั้นจึงเลิกผ้าม่านขึ้น เชิญสองสามีภรรยาลงจากเกวียน
ชายชราจ้องมองไปที่หลี่ฝูคังพร้อมกล่าวเสียงดัง “ชิ้นละสิบทองแดงแพงเกินไปแล้ว!”
หญิงชรากล่าวด้วยสีหน้าที่ยับยุ่ง “หากเป็ชิ้นละแปดทองแดงข้าจะซื้อ”
หลี่เจี้ยนอันที่อยู่ด้านข้างกล่าวว่า “ขนมไหว้พระจันทร์ตระกูลหลี่มีหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน วันนี้พวกเราพี่น้องนำมาขายยี่สิบชิ้น ลดราคาไม่ได้แล้วขอรับ”
หลี่ฝูคังรับเงินค่านั่งเกวียนจากสองสามีภรรยามาสองทองแดง ในดวงตาของพวกเขามีกลิ่นอายของความไม่พอใจที่ยังคงไม่จางหาย
สองสามีภรรยาจ้องมองพี่น้องตระกูลหลี่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินกระฟัดกระเฟียดจากไป
เกวียนจอดอยู่บริเวณด้านข้างของประตูเมืองตำบล สองพี่น้องนำลาตัวเมียไปผูกไว้กับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เพื่อให้มันกินหญ้า
“ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่จ้า มีหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน มีส่วนผสมของน้ำมันงา น้ำตาล และงาดำ กลิ่นหอมแตะจมูก เลิศรสโอชา กระทั่งเทพเซียนก็ยังต้องลิ้มลองสักครั้ง เร่เข้ามารีบซื้อรีบกินเลยจ้า”
“กินขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่่เทศกาลไหว้พระจันทร์ ทำให้ครอบครัวกลมเกลียว ชีวิตสุขสมบูรณ์เลยขอรับ”
“ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่เปิดรับจองแล้วขอรับ ลูกค้าใหม่จองได้ครอบครัวละสามสิบชิ้น มากกว่านี้ไม่รับจอง ลูกค้าเก่าจองได้ครอบครัวละห้าสิบชิ้น มากกว่านี้ไม่รับจอง”
“ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ขายถึงวันที่สิบสี่เดือนแปดเท่านั้นขอรับ เลยไปแล้วไม่ขาย”
เสียงเรียกลูกค้าของสองพี่น้องบ้านหลี่ดังขึ้นบริเวณปากทางเข้าตำบล ชายชราไฝดำร้านเกี๊ยวมองแล้วมองอีกอย่างอดใจไม่อยู่ จนเกี๊ยวในมือเกือบหล่นออกจากหม้อ
“บ้านหลี่ไม่ขายแป้งย่างใส่ไข่แล้วยังทำขนมชนิดใหม่ออกมาขายอีก”
“ไป ไปดูกันเถิด”
ลูกค้าสองคนที่เดิมทีนั่งกินเกี๊ยวน้ำอยู่พากันเดินไปหยุดที่ข้างสองพี่น้อง ชายชราไฝดำอ้าปากค้าง ในดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล
ไม่นานลูกค้าสองคนก็กลับมามือเปล่าทั้งยังไม่ยอมกลับมานั่งกินเกี๊ยวน้ำให้หมด เอาแต่เดินก้าวยาวมุ่งจะกลับบ้าน
ชายชราไฝดำรีบร้อนถามขึ้นว่า “พวกท่านไม่กินข้าวเช้ากันต่อหรือ”
ลูกค้าคนหนึ่งหันมายิ้มให้ “กิน แต่พวกเรานำเงินติดตัวมาไม่พอ ข้าจะกลับบ้านไปเอาเงินมาซื้อขนมไหว้พระจันทร์ ตระกูลหลี่”
ชายชราไฝดำถามด้วยท่าทีแปลกใจ “ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ขายชิ้นละเท่าใดหรือ”
ลูกค้าสองคนตอบพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย “ชิ้นละสิบทองแดง”
ชายชราไฝดำทำหน้าราวกับถูกเหยียบหาง กระทืบเท้าพลางบอกว่า “เกี๊ยวเนื้อของข้าหนึ่งชามใหญ่เพิ่งจะห้าทองแดง บ้านหลี่ทำเช่นนี้ปล้นกันชัดๆ!”
ลูกค้าสองคนยิ้มแล้วเดินจากไป
ชายชราไฝดำโกรธจนหน้าอกกระเพื่อม บ่นพึมพำว่า “ต่อให้เป็ขนมไหว้พระจันทร์จาก์ก็ยังไม่ขายแพงขนาดนี้เลย”
เหอตงเฟิงลูกค้าใจเหล็กที่ซื้อขนมไหว้พระจันทร์รสหวานของสองพี่น้องมาแล้วเดินไปกินไปจนมาถึงหน้าร้านเกี๊ยว เขายิ้มจนตาหยี “เนื้อหมูชั่งละเท่าใดกันเชียว แต่ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ใช้ทั้งน้ำมันงา น้ำตาล และงาดำ เพียงสามอย่างนี้ก็แพงกว่าเนื้อหมูแล้ว”
ชายชราไฝดำได้กลิ่นหอมอันเข้มข้นที่กระตุ้นความอยากอาหารเป็พิเศษ พบว่าเป็กลิ่นของน้ำมันงาที่มีราคาแพงมากจริงๆ เขามองไปยังขนมไหว้พระจันทร์รสหวานในมือของเหอตงเฟิงอีกครั้ง พบว่ามันมีน้ำตาลทรายแดงผสมอยู่ ้าก็โรยด้วยงาดำ ในใจจึงคิดว่า ขนมไหว้พระจันทร์นี้ต้นทุนสูงมาก บ้านหลี่ยังกล้าทำออกมาขายอีก
เหอตงเฟิงจ้องมองไปยังของเหลวที่ไหลออกมาจากปากของชายชราไฝดำ พลางหัวเราะแห้งๆ ครั้งหนึ่งแล้วกล่าวเตือนขึ้นว่า “พี่ชาย น้ำลายไหลหมดแล้ว รีบเช็ดเถิด ระวังหยดใส่หม้อเกี๊ยว”
“ขนมไหว้พระจันทร์หอมเหลือเกิน” ชายชราไฝดำเช็ดน้ำลาย อดกล่าวประโยคนี้ออกมาไม่ได้ เมื่อกล่าวจบก็ตบหน้าตนเองครั้งหนึ่ง เหตุใดปากของเขาจึงไปเอ่ยชมอาหารของคู่แข่งได้เล่า!
“หอมจริงๆ”
“ขนมไหว้พระจันทร์นี้หอมเหลือเกิน ดูน่าอร่อย”
ลูกค้าหลายคนที่นั่งกินเกี๊ยวอยู่ได้กลิ่นหอมก็พากันเอ่ยชม
“ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ทำให้พยาธิในท้องของข้าออกมาเต้นกันแล้ว ข้าพกเงินติดตัวมาเพียงสิบทองแดง ซื้อได้แค่หนึ่งชิ้น ประเดี๋ยวข้าจะกลับบ้านไปเอาเงินมาสั่งจอง” เหอตงเฟิงทักทายสหายหลายคนแล้วเดินจากไป
สตรีนางหนึ่งเดินกระฟัดกระเฟียดมาหยุดอยู่ที่ข้างสองพี่น้องบ้านหลี่ เมื่อเห็นพวกเขาก็ด่ากราดขึ้นทันที “สิบทองแดงพอซื้อปลาได้สองชั่งเลยทีเดียว ขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นแค่นี้จะอร่อยเท่าปลาสองชั่งหรือ ข้าขอให้สองพี่น้องบ้านหลี่ลดราคาให้เหลือชิ้นละหกทองแดงจะได้ซื้อไปให้ลูกชายข้ากิน แต่พวกเขาก็ไม่ยอม เห็นแก่เงินเกินไปแล้วจริงๆ!”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้