คานไม้โทรมๆ กับบานหน้าต่างที่มีรูให้สายลมพัดผ่านเข้ามา
นอกหน้าต่างดวงจันทร์ยังคงลอยเด่น แสงจันทร์สาดส่องลงมาบนเตียงของตน บนเตียงมีผ้าห่มขาดๆ อีกผืนหนึ่ง
ความจริงแล้วก็ไม่ได้ขาดรุ่งริ่งถึงเพียงนั้น เพียงแค่มีรอยปะอยู่หลายรอย ทว่าใยฝ้ายด้านในยังคงแน่นดี ทว่าเมื่อเทียบกับผ้าไหมขาวปักลายแสนประณีตในวังหลวงแล้ว ผ้าห่มผืนนี้ก็นับได้ว่าเป็เพียงเศษผ้าผืนหนึ่ง
ที่นี่ไม่เพียงผ้าห่มเท่านั้นที่ขาด เตียงก็ผุพังเช่นกัน
ตระกูลจ้งของเขานั้นแสวงหาการเป็หนึ่งเดียวกับธรรมชาติ เื่การนอนจึงชอบใช้เตียงที่ทำจากหยก
เตียงหยกยามคิมหันต์ก็เย็นสบาย เมื่อเข้าสู่ยามเหมันต์ก็อบอุ่นตลอดคืน อีกทั้งการนอนบนเตียงหยกนั้นยังช่วยเื่การคิดวิเคราะห์อีกด้วย ทว่าบัดนี้เขากลับนอนอยู่บนเตียงกระดานเก่าๆ เท่านั้น มิใช่เตียงเนื้อหยกที่แสนหรูหรา เตียงไม้ที่แสนธรรมดาไม่มีลวดลายสลักอันใด มีเพียงรอยมีดหลงเหลือไว้รอยหนึ่ง
เป็ไปได้ว่าคนที่เคยนอนอยู่บนเตียงนี้อาจจะโดนคนที่ลอบเข้ามากลางดึกพยายามแทงเ้าของเตียงให้สิ้นชีพ ทว่าเ้าของเตียงอาจจะหลบได้จึงพลาดแทงลงบนเตียง จากนั้นคนร้ายก็คงจะลงมือแทงอีกที ครั้งนั้นเ้าของเตียงคงจะโดนคมมีดเข้าเต็มๆ จนเืเจิ่งนองจากาแ สุดท้ายคนร้ายก็ย่อมต้องแทงซ้ำอีกหลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเ้าของเตียงได้สิ้นชีพแล้ว
เนื้อไม้นั้นสามารถดูดซับเื บนเตียงนี้จึงมีรอยเืจางๆ อยู่
หลังจากเขากระอักเืก็ถูกส่งตัวกลับมา คนรอบกายล้วนไม่ถามสิ่งใดกับเขา เขาเองก็ไม่ได้เล่าอะไร
ความจริงแล้วคนในตระกูลจ้งคุ้นชินกับการกระอักเื ทุกครั้งยามที่ต้องเสี่ยงทายก็เหมือนว่าจะกระอักเืกันทุกครั้ง กระอักอยู่เช่นนั้นหลายครั้งหลายครา ไม่นานก็ชินกันไปเอง ด้วยนี้จึงทำให้คนตระกูลจ้งอายุสั้นนัก
ทว่าที่เขากระอักเืในวันนี้ เมื่อกระอักออกมาแล้วก็รู้สึกสบายกายขึ้นมาก
ชายชรามองดวงจันทร์ที่อยู่แสนไกลอย่างเลื่อนลอย
เขา้าทบทวนเื่ราวสักหน่อย
องค์หญิงใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ นางก็คือเ้าเด็กปีศาจ เ้าเด็กปีศาจก็คือนาง
เมื่อก่อนก็คิดไปว่าคงจะเป็เมื่อชาติก่อน หรือหลายชาติก่อนที่เขาได้ติดค้างเ้าเด็กปีศาจไว้ จึงได้ถูกนางทรมานอยู่ทุกวี่ทุกวัน บัดนี้เพิ่งจะเข้าใจว่าไม่ใช่ชาติที่แล้ว แต่เป็ชาตินี้ต่างหากที่เขาติดค้างนางอยู่
ชาตินี้เป็เขาที่ติดค้างนางแล้ว
“จิ๊ด จิ๊ด จิ๊ด.......” นอกหน้าต่างเสียงแมลงร้องยังคงดังระงม
โดยเฉพาะในคืนอันเงียบสงัดเช่นนี้ ช่างเหมือนกับว่าแมลงนับร้อยนับพันนั้นมาร้องอยู่ข้างหูตนก็ไม่ปาน
เตียงไม้ที่ไม่เรียบเสมอกันทำให้นอนแล้วปวดเอวอยู่เสมอ ทว่าเขาก็ยังคงเหยียดตัวลงนอน ไม่มองนอกหน้าต่างอีกต่อไป เพียงนอนราบลงไปบนเตียง
เตียงหลังนี้ไม่มีผ้าม่านหนาคอยบังไว้ ยอมมองขึ้นไปจึงเห็นเพียงหลังคาเท่านั้น
หลังคากระท่อมก็ทำจากไม้ ซ้ำยังมีรอยรั่ว ตามรอยรั่วดูเหมือนจะมีแสงจันทร์ลอดผ่านลงมา
เขาพลาดไปแล้ว เื่ในปีนั้นเป็เขาที่ทำผิดไป
แม้จะกล่าวว่าทำเพื่อแคว้นเชิน ทว่าเมื่อกลับมาคิดทบทวนดูก็พบว่าสิ่งที่เขาทำไปก็ยังคงมีความผิดอยู่ดี
กระทั่งชะตาชีวิตขององค์หญิงใหญ่ที่ถูกพรากไป เขาก็ไม่ใส่ใจ ทั้งยังไปช่วยสนับสนุนคนร้ายเสียได้
ราชครูพลันเข้าใจในทันทีว่าเหตุใดสถานที่ที่ทวยเทพทอดทิ้งเช่นนี้จึงมีเด็กและทารกได้ เด็กหญิงเดิมทีก็ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่แล้ว ทว่าดินแดนที่ทวยเทพทอดทิ้งแห่งนี้กลับส่งผลดีต่อนาง ค่ายกลสังหารที่อยู่มานับพันปีที่ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายนั้นได้กลายมาเป็แหล่งพลังชีวิตของเด็กหญิง
ทว่าเด็กหญิงนั้นคงเผลอไปทำลายค่ายกลสังหารโดยไม่ตั้งใจ ด้วยเหตุนีู้เาลูกนี้จึงค่อยๆ มีชีวิตชีวาขึ้นมา ทว่าคำวินิจฉัยของท่านหมอหูที่กล่าวว่าเด็กหญิงจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงวัยปักปิ่นนั้นก็ชัดเจนเหลือเกิน
แม้ว่าค่ายกลสังหารพันปีจะร้ายกาจนัก แต่เด็กหญิงที่ถูกแย่งชะตาชีวิตไปั้แ่กำเนิดก็ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่เช่นกัน
ราชครูเองก็คิดไม่ออกเช่นกันว่าเหตุใดปีนั้นเขาจึงลงมือทำเื่ที่เหี้ยมโหดถึงเพียงนั้นลงไปได้
แต่ก็โชคดีที่เขาทำเช่นนั้นลงไป
เมื่อชะตาชีวิตขององค์หญิงถูกพรากไป ิญญาของนางก็จะค่อยๆ สลายไปเช่นกัน การที่เขาสะกดนางไว้ใต้แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ก็นับเป็การรวบรวมจิติญญาให้กลับมารวมกัน จากนั้นก็ไม่รู้ว่าอาลู่เก็บนางขึ้นมาได้อย่างไร ต่อมาอาลู่และนางก็คงถูกจับกลับมายังูเาลูกนี้
ชีวิตและโชคชะตาล้วนเกี่ยวพันกันไม่รู้จบ
ราชครูเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มที่ราวกับเพิ่งได้รับการปลดเปลื้องพันธนาการในใจออกมา
“จิ๊ด จิ๊ด จิ๊ด.......” เหล่าแมลงยังคงร้องระงม ส่วนราชครูก็ค่อยๆ ผล็อยหลับไปพร้อมเสียงของมัน
“จิ๊ด จิ๊ด จิ๊ด.......” ราชครูค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าตรงหน้าตนนั้นมีใบหน้ากลมพร้อมผมจุกที่ชี้ไปทุกทิศทุกทางกำลังส่งยิ้มให้ตนอยู่
“ท่านอาจารย์ ตะวันส่องก้นแล้วท่านก็ยังไม่ตื่นนอนอีกหรือ หรือว่าท่านกำลังแอบอู้อยู่”
ราชครู “...”
เมื่อคืนเขายังคิดเื่เ้าเด็กปีศาจนี่อยู่ค่อนคืน กลางดึกจึงเพิ่งจะผล็อยหลับไป
บัดนี้กลับได้ยินเ้าเด็กปีศาจกล่าวว่าตนแอบอู้ จิตใจก็พลันรู้สึกอ่อนล้านัก
“อาจารย์รู้สึกไม่ค่อยสบาย วันนี้หยุดเรียนสักวันหนึ่งแล้วกัน ถือว่าอาจารย์ขอลาหยุด” ราชครูมองไปข้างนอกก็เห็นว่าพระอาทิตย์ลอยสูงแล้วจริงๆ
คาดไม่ถึงว่าเขาจะหลับลึกถึงเพียงนี้
“ท่านอาจารย์จะให้ข้าช่วยเรียกท่านหมอหูมาไหม” เฉินโย่วถามขึ้น
ราชครูได้ยินเช่นนั้นก็รีบส่ายหน้า เื่ของตนเองเขาย่อมรู้ดีที่สุด ไม่จำเป็ต้องตามหมอมา
“เช่นนั้นข้าไปรอท่านอาจารย์อยู่ด้านนอกก็แล้วกัน ท่านอาจารย์ต้องกลัวว่ายาจะขมเป็แน่ ความจริงแล้วยาไม่ขมหรอก เพียงแต่ไม่อาจช่วยอันใดได้” เฉินโย่วเดินจากไปพร้อมกับจุกผมที่ส่ายไปส่ายมาของนาง ปากน้อยๆ ยังคงพล่ามไม่หยุด
ราชครูมองแผ่นหลังของเ้าเด็กปีศาจแล้วในปากก็พลันรู้สึกขมขึ้นมา
เ้าเด็กปีศาจนั้นจำเป็ต้องดื่มยา และต้องดื่มมันลงไปทุกวัน
ราชครูลุกขึ้นมาล้างหน้าแต่งตัว กินอาหารเช้าให้เรียบร้อย จากนั้นจึงเสนอว่าจะไปดูเรือนนางเสียหน่อย
เฉินโย่วเมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าด้วยความดีใจ
ไม่ต้องไปเรียน ทั้งยังออกไปเล่นได้ แน่นอนว่าย่อมเป็เื่ดี
จากนั้นมือคู่เล็กนั้นยังคงยื่นออกมาจับมือใหญ่อย่างเป็ธรรมชาติ
ใต้แสงตะวันที่สาดส่องเห็นกระท่อมไม้ บนหน้าผาสูงไกลๆ ยังมองเห็นว่าบนยอดเขายังมีหิมะที่ไม่ว่ากี่ปีผ่านไปก็ไม่เคยละลายปกคลุมอยู่
เส้นทางสายเล็ก สะพานเถาวัลย์ ถ้ำใหญ่ และทุ่งหญ้า
ราชครูยังคงจูงมือของเด็กหญิงเดินไปเรื่อยๆ อย่างเชื่องช้า เพราะเด็กหญิงนั้นอารมณ์ดีนักจึงเอาแต่ะโโลดเต้น
เขานั้นแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยนึกฝันว่าตนนั้นจะได้จูงมือองค์หญิงใหญ่เดินอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ บนเส้นทางสายน้อยเช่นนี้
แม้ว่าเขาจะเป็ราชครูที่สถานะสูงส่งเหนือใคร ทว่ายามอยู่ในวังหลวงองค์หญิงก็มีเหล่าข้าราชบริพารกลุ่มใหญ่คอยตามรับใช้อยู่แล้ว เขาจึงไม่อาจไปดูแลนางเช่นนี้ได้
กระทั่งศิษย์ของเขาก็มีคนคอยตามรับใช้ เขาจึงไม่จำเป็ต้องดูแลเช่นกัน ตัวเขาเองก็ไม่เคยจูงมือใคร
ยามเด็กก็ไม่เคยจะกล้าจูงมือท่านพ่อและท่านแม่ เมื่อเติบใหญ่ก็ไม่อยากจะจูงมือศิษย์
ทว่าบัดนี้มือของเขากลับถูกมือน้อยๆ ของเ้าเด็กปีศาจจับไว้แน่น
ด้านหลังชายชราและเด็กหญิงมีม้าตัวหนึ่งย่องตามมาอยู่ตลอด ท่าทางของมันก็ดูเอ้อระเหยนัก
“ท่านอาจารย์ ท่านไม่มีความสุขหรือ” เด็กหญิงรู้สึกว่าวันนี้ท่านอาจารย์ของตนดูแปลกไป จึงได้เอ่ยถามขึ้น
“ไม่นี่ อาจารย์มีความสุขดี”
“อาโย่ว แล้วเ้าเล่ามีความสุขหรือไม่ เ้ารู้หรือไม่ว่าวันเกิดของตัวเองคือวันใด เมื่อถึงวันเกิดเ้าแล้ว อาจารย์จะได้มอบของขวัญให้เ้าสักชิ้นหนึ่ง เ้ามีอะไรที่อยากได้หรือไม่”
เฉินโย่วที่ะโบ้างเต้นบ้างอยู่นั้นพลันมองเห็นว่าก้อนหินกำลังะโอยู่ มองไปทางดอกไม้ก็เห็นว่าดอกไม้ก็ะโอยู่ มองไปทางลำธารก็เห็นว่าลำธารกำลังะโอยู่
เมื่อได้ยินคำถามของท่านอาจารย์ เฉินโย่วก็ตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก “วันเกิดข้าอยู่ใน่ฤดูหนาว ยังอีกนานกว่าจะถึง เมื่อถึงแล้วพี่ชายจะทำของอร่อยให้ข้ากิน ข้าอยากได้ชุดขาวๆ นุ่มๆ สักชุดหนึ่ง เมื่อถึงฤดูหนาวทีไรพี่ชายก็ชอบจับข้าห่อเสียจนเป็ก้อนกลม ยามเดินก็หกล้มทุกที”
เดิมทีราชครูคิดว่านางคงจะกล่าวถึงของขวัญล้ำค่าสักชิ้นหนึ่ง ทว่ากลับกลายมาพูดถึงเสื้อผ้าเสียได้
ใจของชายชราพลันรู้สึกปวดแปลบๆ
ของขวัญที่เ้าเด็กปีศาจอยากได้นั้นกลับเป็เพียงเสื้อผ้าชุดหนึ่ง
ราชครูนั้นไม่รู้ว่าควรตอบนางอย่างไรดี
นางเป็ถึงองค์หญิง นับประสาอะไรกับเสื้อผ้าเพียงชุดเดียว แม้กระทั่งเมืองเมืองหนึ่งก็ยังนำมามอบเป็ของขวัญวันเกิดให้นางได้
ทว่าเมื่อคิดถึงสภาพของตัวเขาในตอนนี้ราชครูจึงได้แต่อ้าปาก ทว่าก็ไม่ได้กล่าวอันใดออกมา ทั้งไม่ได้ตอบตกลงกับเด็กหญิง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธนางเช่นกัน
ราชครูจึงมองเด็กหญิงค่อยๆ เดินออกมาจากถ้ำ
ในอดีตที่นี่เคยมีม่านลวงตาอยู่ ทว่าหลังจากที่นายท่านใหญ่สิ้นไป ภาพลวงตาก็สลายไปเช่นกัน กลายเป็เพียงปากถ้ำธรรมดาที่มีทิวทัศน์งดงามเกินบรรยาย
เมื่อเดินออกมาจากปากถ้ำ สิ่งแรกที่เห็นก็คือทุ่งหญ้ากว้างไร้จุดสิ้นสุด ทำให้คนมองแล้วรู้สึกปลอดโปร่งใจนัก
กลางทุ่งหญ้าเขียวขจีมีฝูงม้าวิ่งอยู่ มีฝูงแกะขนขาวปุกปุย และจามรีขนยาวเป็มัน
ราชครูยืนมองบรรยากาศตรงหน้าอย่างลุ่มหลง โดยมีเฉินโย่วที่ยิ้มกว้างยืนอยู่ข้างกาย
มือคู่น้อยชี้ไปยังเรือนหลังงามแถวหนึ่งข้างหน้าผา แล้วจึงกล่าวขึ้น “บ้านข้าอยู่ตรงนั้น”