มู่หรงจื่ออวิ๋นมองส่งพวกเขาจากไป นางมองไปทางมู่หรงจิ่งเทียนอย่างประหลาดใจก่อนจะถามเสียงเล็กเสียงน้อย “เสด็จพี่ หรือนี่ก็เป็การวางแผนของท่าน”
มู่หรงจิ่งเทียนหัวเราะเบาๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงยากจะคาดเดา “ก็แค่เพื่อให้แผนการใหญ่สำเร็จ”
มู่หรงจื่ออวิ๋นยินดีปรีดา “ยังคงเป็เสด็จพี่ที่ทำการรอบคอบ! เดิมทีคิดว่ามีแผนสำรองแล้วจะต้องไม่ล้มเหลวเป็แน่ คิดไม่ถึงว่าต้องมาเจออุปสรรค เคราะห์ดีที่เสด็จพี่ยังมีแผนการรองรับ หาไม่แล้วกลับไปครั้งนี้พวกเราไม่รู้จะอธิบายกับเสด็จพ่ออย่างไร”
มิน่าเล่าเสด็จพี่จึงได้มีท่าทีสุขุมเป็ธรรมชาติ ที่แท้มีแผนสำรองแต่แรก คิดมาถึงตรงนี้นางได้แต่หัวเราะเยาะตัวเอง ดูแล้วหากว่าด้วยการวางกลยุทธ์นางยังคงสู้เสด็จพี่ไม่ได้!
“แต่เื่น้องสาวของคุณชายฮวา มันเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่เพคะ” นางถามอย่างประหลาดใจ
มู่หรงจิ่งเทียนยิ้มอย่างไม่ยี่หระ “มีวาสนาได้พบหน้ากันครั้งหนึ่งด้วยความบังเอิญเท่านั้นเอง”
มู่หรงจื่ออวิ๋นแจ่มแจ้งแก่ใจ “ดูแล้ว น่าจะเป็สตรีอีกคนหนึ่งที่หลงเสน่ห์เสด็จพี่!”
มู่หรงจิ่งเทียนเก็บงำรอยยิ้มขึ้นมา สายตามองไปยังเซวียนหยวนเช่อที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แววตาของเขาดำมืดและเยียบเย็น
เมื่อตระหนักได้ว่าเขาที่เป็ถึงไท่จื่อของแคว้นซิงอวิ๋น อยากได้อะไรก็ได้สิ่งนั้น ปรารถนาสตรีแบบใดก็ได้สตรีแบบนั้น แต่ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งจะพบสตรีที่ถูกใจได้อย่างไม่ง่ายดายนัก คิดจะพานางกลับเมืองหลวงด้วย คิดไม่ถึงว่านางถึงกับเป็สตรีของเซวียนหยวนเช่อ
โทสะนี้ เขากล้ำกลืนไม่ลง!
ที่ทำให้เขาอาลัยอาวรณ์ก็คือ การประชันฝีมือการปรุงอาหารที่เพิ่งผ่านพ้นไป แรงดึงดูดต่อสตรีนางนี้ที่มีต่อเขายิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ให้เขาวางมือเช่นนี้ เขาไม่ยินยอม ทว่าวันเวลาอีกยาวไกล รอให้เขาสืบทอดราชบัลลังก์ขึ้นเป็ฮ่องเต้แห่งแคว้นซิงอวิ๋นเสียก่อน อย่าว่าแต่สตรีนางหนึ่ง ต่อให้ทำลายแคว้นเป่ยเยียนทั้งแคว้นให้ราบคาบก็ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ!
คิดมาถึงตรงนี้อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นมาก มุมปากจึงยกขึ้นเป็รอยยิ้ม
ภายในเรือนไผ่ ฮวาเมิ่งหยิ่งนำตำราหีบหนึ่งวางลงเบื้องหน้าเฟิ่งเฉี่ยน “ตำราเหล่านี้ข้าได้รับตกทอดมาจากอาจารย์ของข้า และมีบันทึกที่ข้าได้ศึกษาเกี่ยวกับพิษในหลายปีมานี้ส่วนหนึ่ง หากเ้าเรียนรู้ตำราทั้งหมดนี้ได้ พิษจำนวนมากบนโลกนี้ยกเว้นพิษไม่กี่ชนิดที่เป็พิษประหลาดสืบทอดจากโบราณมา พิษอื่นเ้าล้วนถอนพิษได้ทั้งสิ้น”
เฟิ่งเฉี่ยนหยิบตำราขึ้นมาเล่มหนึ่ง พลิกเปิดอ่านไม่กี่หน้าก็รู้ได้ว่าตำราเหล่านี้มีค่ามากมายเพียงใด นี่เป็ตำราที่มีค่าเท่ากับเมืองๆ หนึ่งเชียว!
นี่มีค่ามากกว่าเชิญเขาเดินทางไปถอนพิษที่มู่หยางเที่ยวหนึ่งเสียอีก!
“ตำราเหล่านี้ ท่านมอบให้ข้าทั้งหมดจริงๆ หรือ”
นางยังไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง ด้วยนางรู้ว่าตำราเหล่านี้เป็บันทึกและการวิเคราะห์เกี่ยวกับยาพิษของเซียนพิษและอาจารย์ของเขา เป็สิ่งของที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก เมื่อเปรียบเทียบกับ 《คัมภีร์พิษ》แล้วมันมีค่ามากกว่ามากมายนัก!
“หากเ้าไม่้า ข้าเอาคืน” ฮวาเมิ่งหยิ่งทำทีเหมือนจะปิดฝาหีบ เฟิ่งเฉี่ยนรีบยื่นมือเข้าไปขวางเอาไว้พร้อมกับหัวเราะแหะๆ “ข้า้า ข้า้า!”
ต่อมานางประสานมือเป็หมัดและคำนับเขาอย่างจริงใจ “ขอบคุณของล้ำค่าที่คุณชายมอบให้ ข้าจะทะนุถนอมตำราเหล่านี้เป็อย่างดี”
ฮวาเมิ่งหยิ่งมองนางอย่างสนอกสนใจแล้วยกยิ้ม “ข้าและศิษย์พี่คนนั้นของเ้าหน้าตาเหมือนกันเพียงนั้นจริงๆ”
เฟิ่งเฉี่ยนตะลึงงันและพยักหน้าหงึก ในแววตามีความโศกเศร้าพาดผ่าน “น่าเสียดายที่ข้าไม่มีโอกาสได้พบเขาอีกแล้ว”
ฮวาเมิ่งหยิ่งหัวเราะเบาๆ “เ้ารับตำราเหล่านี้ของข้าแล้ว ก็เท่ากับเป็ศิษย์ของเซียนพิษ ข้ารับเ้าเป็ศิษย์น้องแทนอาจารย์ข้าก็แล้วกัน เป็อย่างไร”
เฟิ่งเฉี่ยนเบิกดวงตากลมโตมองเขาอย่างประหลาดใจ ด้วยคิดว่าตัวเองฟังผิด “ความหมายของท่านคือ...”
ฮวาเมิ่งหยิ่งยื่นมือออกมาดีดหน้าผากนางแล้วพูดยิ้มๆ “ยังไม่เรียกศิษย์พี่อีกหรือ”
เฟิ่งเฉี่ยนตะลึงงัน นางกระพริบตาปริบๆ มองบุรุษเบื้องหน้าที่มีหน้าตาคล้ายศิษย์พี่ของตน กิริยาเมื่อสักครู่ที่เขาทำ ศิษย์พี่ก็ทำเป็ประจำ วินาทีนั้นนางคิดว่าบุรุษที่ยืนเบื้องหน้านางก็คือศิษย์พี่ของนางจริงๆ
กระบอกตาของนางร้อนผ่าวอย่างหาสาเหตุไม่ได้
“ศิษย์...ศิษย์พี่” เสียงของนางแหบพร่าเล็กน้อย
ฝ่ามือใหญ่โตคู่หนึ่งลูบเส้นผมและศีรษะของนาง เขาพูดเสียงเบา “เด็กดี! ต่อไปหากมีคนรังแกเ้า เ้าก็บอกชื่อข้า ศิษย์พี่ของเ้า ข้าดูซิว่าใครจะกล้าแตะต้องเ้า”
ได้ยินเช่นนั้น เฟิ่งเฉี่ยนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป น้ำตานางไหลพราก
เมื่อก่อนมีคนพูดกับนางเช่นนี้เหมือนกัน “เสี่ยวเฟิ่ง ต่อไปใครกล้ารังแกเ้า เ้าจดชื่อของเขาเอาไว้ในสมุด ศิษย์พี่จะไปจัดการพวกเขาทีละคน!”
เมื่อกลับออกมาจากเรือนไผ่ เฟิ่งเฉี่ยนกระบอกตาแดงก่ำและยังเปียกชื้น นางยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดดวงตา กิริยาเล็กน้อยนี้ไม่อาจรอดพ้นสายตาของมู่หรงจื่ออวิ๋น นางตีความหมายเป็อื่น
มู่หรงจื่ออวิ๋นก้าวเข้าไปเย้ยหยัน “ต่อให้เชิญเซียนพิษไปไม่สำเร็จ ก็ไม่ต้องร้องไห้ขี้มูกโป่งกระมัง”
นางหันหน้าไปพูดกับเซวียนหยวนเช่อ “อาเช่อ ฮองเฮาของท่านมีความอดทนอดกลั้นแค่นี้เองหรือ หึ นางไม่คู่ควรกับท่าน!”
ทันทีที่สิ้นเสียง ก็ได้ยินเฟิ่งเฉี่ยนะโเข้าไปในเรือนไผ่ “ศิษย์พี่ คำพูดของท่านเมื่อสักครู่เชื่อถือได้หรือไม่”
มู่หรงจื่ออวิ๋นตะลึงงัน ศิษย์พี่? นางเรียกใครว่าศิษย์พี่? ภายในเรือนมีคนเพียงแค่สองคน...
นางมองร่างของฮวาเมิ่งหยิ่งที่เดินออกมาจากเรือนไผ่ด้วยสายตาเป็คำถาม เขาหัวเราะหึๆ แล้วมองมาทางเฟิ่งเฉี่ยน “ผู้ใดที่ไม่รู้จักตาย กล้ามารังแกศิษย์น้องหญิงของเซียนพิษเช่นข้าหรือ”
“ศิษย์น้องหญิงหรือ” มู่หรงจื่ออวิ๋นงงเป็ไก่ตาแตก นางมองเฟิ่งเฉี่ยนและฮวาเมิ่งหยิ่งสลับกันไปมาด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ
ใครมาบอกนางที ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เพิ่งจะเข้าไปในเรือนได้เพียงครู่เดียว เหตุใดพวกเขาจึงเป็ศิษย์พี่ศิษย์น้องกันแล้ว
หรือที่เฟิ่งเฉี่ยนเรียกเขาว่าศิษย์พี่ั้แ่แรก ไม่ได้เป็การอาจเอื้อม แต่พวกเขาเดิมทีก็เป็ศิษย์พี่ศิษย์น้องกันอยู่แล้วหรือ
หนังตานางกระตุกถี่ๆ ในยุทธภพเล่าลือกันว่า ขอเพียงเป็คนที่เคยล่วงเกินเซียนพิษ มาถึงบัดนี้ไม่มีผู้ใดรอดชีวิต! นี่คือสาเหตุที่นางและเสด็จพี่พยายามเอาอกเอาใจเซียนพิษ ไม่กล้าใช้กำลังกดดันเขา
เมื่อสักครู่นางปากไวใจเร็วเยาะเย้ยเฟิ่งเฉี่ยนเพียงแค่สองประโยค คิดไม่ถึงว่าจะเป็การผลักตนเองไปอยู่บนเส้นทางอันตรายเช่นนี้...นางเสียใจอย่างที่สุด!
มู่หรงจิ่งเทียนประหลาดใจยิ่งยวดเช่นเดียวกัน สตรีที่เขาหมายปองกลายเป็ศิษย์น้องหญิงของเซียนพิษในชั่วพริบตาหรือ
น่าสนใจ!
ริมฝีปากบางนั้นยกยิ้มเป็รอยยิ้มเ้าเล่ห์ สายตาที่มองเฟิ่งเฉี่ยนเต็มไปด้วยความมาดมั่น
เห็นมู่หรงจื่ออวิ๋นหน้าเผือดขาว เฟิ่งเฉี่ยนคลี่ยิ้มบางๆ เดินเข้าไปหานางแล้วพูดใส่หูนางว่า “องค์หญิง เมื่อสักครู่ท่านพูดว่าอะไรนะ ข้าฟังไม่ค่อยชัดเจน รบกวนท่านช่วยพูดอีกครั้งจะได้หรือไม่”
มีศิษย์พี่เช่นเซียนพิษเป็ูเาลูกใหญ่คอยหนุนหลัง นางมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ท่าทีของนางราวกับสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสืออยู่บ้าง
มู่หรงจื่ออวิ๋นหน้าแดงก่ำ นางมองเฟิ่งเฉี่ยนพร้อมกับเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ยอมพูดจา
“ศิษย์น้องหญิง เ้าอายุยังน้อยนัก เหตุใดการได้ยินจึงได้ย่ำแย่เช่นนี้ เ้าได้ยินไม่ถนัดแต่ศิษย์พี่เช่นข้าได้ยินชัดเจน” ฮวาเมิ่งหยิ่งหัวเราะแล้วพูดด้วยน้ำเสียงร้ายกาจ “นางบอกว่า เ้าไม่คู่ควรกับน้องเขย...องค์หญิงจื่ออวิ๋น ใช่เช่นนี้หรือไม่”
มู่หรงจื่ออวิ๋นััได้ถึงแววตาคมปลาบแฝงนัยการข่มขู่ของเขา ในใจพลันสับสนว้าวุ่น นางก้มหน้ากล่าวว่า “จื่ออวิ๋นพลั้งปาก คุณชายฮวาโปรดอภัยด้วย”
“คนที่เ้าควรขอขมา...ไม่ใช่ข้า!” ฮวาเมิ่งหยิ่งหรี่ตาลงสาดสายตาเ็าข้ามไป ส่งผลให้ใจคนสั่นสะท้าน