มู่จื่อหลิงชูคบเพลิงขึ้น เตรียมบุกเข้าไปในดงพงไพร แต่กุ่ยเม่ยกลับก้าวนำไปก่อนหนึ่งก้าว “หวางเฟย ข้าน้อยไปเอง”
กุ่ยเม่ยปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลัง มู่จื่อหลิงจึงได้แต่ยอมหลีกทางให้ ชี้บอกทิศทางคร่าวๆ “ไปทางนั้น น่าจะอยู่ไม่ไกลนัก ระวังตัวด้วย”
กุ่ยเม่ยพยักหน้า แววตายิ้มแย้มก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนเป็จริงจัง ตื่นตัวเต็มที่
ทันใดนั้นกระบี่ในมือของเขาก็หลุดออกจากฝัก เดินนำหน้าพร้อมกับเปิดทางไปด้วย ใช้คมกระบี่ในมือตัดพุ่มไม้ที่กีดขวางสายตาและทางเดินของตน
ด้วยการหวดเพียงไม่กี่ครั้ง กุ่ยเม่ยก็สามารถจัดการกับกิ่งไม้ในป่าหนาทึบตรงหน้าได้อย่างง่ายดาย
เป็คนที่พูดด้วยกำลังอย่างแท้จริง เขาสามารถจัดการกับสิ่งต่างๆ ได้ดียิ่ง ทั้งประณีตและตรงประเด็น มู่จื่อหลิงเดินตามหลังเขาพร้อมแอบยกย่องเขาอยู่ในใจ
ยามเห็นพวกของมู่จื่อหลิงเดินหายไปในพุ่มไม้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเล่อเทียนยังไม่จางหายไป เขาอารมณ์ดีมาก ไม่สนใจหลี่ซินหย่วนที่กำลังกรีดร้องอยู่ข้างกาย โบกพัดแล้วเดินตามไปอย่างสง่างาม
“เสี่ยวเทียนเทียน ข้าเจ็บ” หลี่ซินหย่วนวิ่งเหยาะๆ ตามหลังเล่อเทียนไปพร้อมกับดวงตาแพนด้าข้างเดียวของตน พูดอย่างกระตือรือร้น “...เ้ารีบดูให้ข้าหน่อย”
เล่อเทียนหันกลับมา มองไปยังดวงตาดำราวหมีแพนด้าของเขา
หลี่ซินหย่วนเป็ชายตุ้งติ้ง สิ่งที่เขาให้ความสำคัญที่สุดคือใบหน้าของตนที่ต้องถูกทุบตี ยามนี้ตาซ้ายของเขาดำคล้ำแล้ว แนวป้องกันอันแข็งแกร่งย่อมถูกทลายลงไปด้วย
ยามนี้...เล่อเทียนคาดเดาได้ในทันที ดวงตาฉายแววเป็ประกายเ้าเล่ห์ยิ่งกว่าจิ้งจอก ก่อนจะพูดอย่างมีเมตตาว่า “ฉีหวางเฟยโเี้ยิ่งนัก มา มา มา ข้าจะดูให้เ้า จะดูให้เ้าเอง...”
ขณะพูด เล่อเทียนก็แสร้งทำเป็สอดส่ายสายตาดูอาการให้หลี่ซินหย่วน จากนั้นเขาจึงเหยียดมือออก แล้วโบกกำปั้นซ้ำลงไป ชกหลี่ซินหย่วนอย่างไร้ความปรานี
“อ๊า!” หลี่ซินหย่วนร้องลั่น
ความแข็งแกร่งของมู่จื่อหลิงไม่อาจเทียบเล่อเทียนได้ ดังนั้นหมัดของเขาจึงทั้งโเี้และหนักหน่วง หัวของหลี่ซินหย่วนถูกเล่อเทียนซัดจนเกือบหงายหลังล้มลงกับพื้น
ดูสิ เขากลายเป็หมีแพนด้าจริงๆ แล้ว
เล่อเทียนหัวเราะเยาะ พูดอย่างร่าเริงว่า “ได้บรรเทาความเกลียดชัง! ระบายความโกรธ! ทำเช่นนี้จึงจะสมมาตร ดูเจริญตากว่าก่อนหน้านี้มาก” ไม่เพียงแค่เจริญตา แต่ให้ความรู้สึกสบายตาเป็อย่างมาก
“หลิงเอ๋อร์ รอข้าด้วย...”
ก่อนพูดจบ เล่อเทียนก็เดินตามหลังมู่จื่อหลิงด้วยความเร็วที่เร็วมาก ด้วยเขาเกรงว่าชายตุ้งติ้งจะกลับมามีสติและทุบตีเขา ยามนี้จุดที่ปลอดภัยที่สุดคือข้างกายมู่จื่อหลิง
......
มู่จื่อหลิงคอยนำทางจากด้านหลัง โดยมีกุ่ยเม่ยเปิดทางไปข้างหน้าให้ ในไม่ช้ากุ่ยเม่ยก็ค้นพบ
“หวางเฟย มีคนอยู่ข้างหน้า!” กุ่ยเม่ยส่งเสียงเตือน
มู่จื่อหลิงเองก็เห็นเช่นกัน คิ้วของนางขมวดอย่างเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม...โรคระบาดนี้รับมือไม่ง่ายเลยจริงๆ
เห็นร่างสองร่างอยู่ห่างจากพวกเขาไม่กี่ก้าว ทั้งคู่นอนนิ่งบนพื้นหญ้า สงบนิ่งราวกับพวกเขาตายไปแล้ว
มู่จื่อหลิงไม่พูดอะไร เพียงวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว โดยมีกุ่ยเม่ยตามติด
ตามด้วยพวกเล่อเทียนที่ตามติดมาด้านหลัง
ยามเข้าไปใกล้จนเห็นได้ชัดเจน
บนพื้นหญ้า
มีคนแก่และเด็กมอมแมมสองคนนอนอยู่
เห็นได้ว่าใบหน้าและร่างกายของคนแก่ดำคล้ำเกือบจะเน่าแล้ว แทบจะมองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง จุดที่เน่าเปื่อยนั้นราวกับถูกไฟแผดเผา นอกจากนี้ยังมีกลิ่นเหม็นจางๆ
ส่วนคนร่างเล็กเป็เด็กน้อย อายุประมาณห้าหรือหกขวบ ยามนี้เขานอนซบอยู่บนร่างชายชราเงียบๆ หลับตาแน่น บนร่างมีจุดเน่าเปื่อยไม่ต่างกัน
ใบหน้าเล็กเนียนละเอียดดั่งหยก งดงามบริสุทธิ์ ใบหน้าที่ไร้เดียงสา น่าจะเป็เพราะได้ประสบความลำบากลำเค็ญจากการดำรงชีวิต แม้จะปิดตา แต่ใบหน้าเล็กกลับบูดบึ้ง จนดูไม่ต่างจากผู้ใหญ่ที่ผ่านชีวิตที่ยากลำบากมาก่อน
“เดี๋ยวก่อน หมอหลวงหลินกำลังทำอะไร! ตรงนั้นมีคนป่วยนะ ท่านอยากโดนทุบตีเหมือนข้าผู้นี้ใช่ไหม?” หลี่ซินหย่วนยกมือขึ้นกุมดวงตาดำคล้ำราวตาหมีแพนด้าทั้งสองข้างของตน ก่อนกางนิ้วออกเผยให้เห็นช่องว่างระหว่างนิ้ว เชิดคางไปทางหมอหลวงหลิน เป็การส่งสัญญาณให้เขาเข้าไป
ยามได้ยินเสียงนี้ มู่จื่อหลิงเหลือบมอง จากหางตาของนางจึงเห็นพวกของหมอหลวงทั้งสามคน
ยามหมอหลวงหลินเห็นคนทั้งสอง เขาถอยหลังออกไป ใช้แขนเสื้อของตนปิดหน้าไว้แน่น
เด็กปรุงยาทั้งสองคนก็ทำตามการกระทำของหมอหลวงหลิน ถอยห่างออกไปราวกับเกรงว่าตนจะติดเชื้อ
มู่จื่อหลิงเหลือบมองพวกเขาอย่างเ็า ยามนี้นางไม่มีเวลามาสนใจพวกเขา ด้วยเื่ที่อยู่ตรงหน้ามีความสำคัญกว่า
มู่จื่อหลิงเดินเข้าไปหยุดข้างกายคนทั้งสองที่นอนอยู่บนพื้น ย่อกายลง มองสำรวจอย่างระมัดระวัง คิ้วของนางขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ
เล่อเทียนติดตามมาด้วย เขาได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็ว “ชายชราเหมือนจะตายไประยะหนึ่งแล้ว แต่เด็กผู้นี้เพิ่งติดโรค ยังมีชีวิตอยู่”
“กุ่ยเม่ยมาช่วยข้าหน่อย พาเด็กคนนี้ออกไป” เล่อเทียนเปิดล่วมยาที่ตนนำติดกายมา ก่อนจะโบกมือให้กุ่ยเม่ย
เมื่อกุ่ยเม่ยได้ยินเช่นนั้น เขาก็ย่อกายลงโดยไม่ลังเล เตรียมอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา
แต่...
แม้ว่าเด็กน้อยจะไม่เคลื่อนไหว แต่มือเล็กทั้งสองข้างกลับกำเสื้อผ้าของชายชราไว้แน่น แสดงออกว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย อีกทั้งพละกำลังของเขาก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งยิ่ง แม้กระทั่งกุ่ยเม่ยซึ่งเป็ผู้ฝึกวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งก็ยังไม่สามารถยกเขาขึ้นมาได้
หากใช้แรงดึงเขาขึ้นมา แม้แต่ชายชราที่ตายบนพื้นก็จะถูกลากขึ้นมาด้วย
เมื่อเล่อเทียนเห็นเช่นนี้ ร่องรอยของความซับซ้อนฉายออกมาผ่านสีหน้าของเขา เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฉีกชุดของชายชราออก เพื่อให้กุ่ยเม่ยอุ้มเด็กน้อยไป
กุ่ยเม่ยอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา แล้ววางลงข้างกายอย่างแ่เบา
ในยามนี้เล่อเทียนยังไม่มีหนทางรับมือโรคระบาด จึงทำได้เพียงรักษาง่ายๆ เท่านั้น
หลังจากรักษาเด็กน้อยแบบทั่วไปแล้ว เขาก็ตระหนักว่าั้แ่พบคนทั้งสองมู่จื่อหลิงยังไม่พูดอะไรเลยสักคำ
นางยังคงรักษาท่าทางนั้นไว้...เล่อเทียนหันมองมู่จื่อหลิง
เห็นว่าในยามนี้ มู่จื่อหลิงยังคงนั่งยองๆ ข้างร่างชายชรา สีหน้าใเล็กน้อย แต่กลับดูจริงจังกว่าที่เคยเป็มา
เมื่อเห็นเช่นนี้หัวใจของเล่อเทียนเกิดการสั่นไหวเล็กน้อย มีอะไรผิดปกติ? ก่อนหน้านี้เมื่อครั้งที่เขาไปยังสวนจิ้งซินกับมู่จื่อหลิงเพื่อรักษาหลี่เอิน เขาก็ไม่เคยเห็นนางมีท่าทางจริงจังเช่นนี้เลย หรือเป็เพราะโรคระบาดนี้...
เล่อเทียนไม่คิดเกี่ยวกับเื่นี้อีกต่อไป เขาเดินตรงเข้าไปย่อกายลงนั่งยองๆ ข้างมู่จื่อหลิง ถามด้วยน้ำเสียงประหม่าและคาดหวังเล็กน้อย “หลิงเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น เ้าพบอะไรหรือ?”
มู่จื่อหลิงตื่นจากอาการใ ก่อนจะพยักหน้าด้วยความมั่นใจ “อืม ข้าพบสิ่งที่เ้าบอกว่าแปลกแล้ว”
ฉีหวางเฟยผู้นี้เป็เทพเซียนจริงหรือ...ดวงตาของเล่อเทียนฉายแววไม่เชื่อ แต่ในยามนี้เขาอดคิดไม่ได้
เพราะสัญชาตญาณบอกเขาว่า เื่ที่ทำให้มู่จื่อหลิงจริงจังถึงเพียงนี้ได้ ย่อมไม่ใช่ปัญหาที่จัดการได้อย่างง่ายดายเป็แน่
เล่อเทียนจ้องมองมู่จื่อหลิงอย่างตั้งใจรอคำตอบของนาง
มู่จื่อหลิงกวาดสายตามองดูกลุ่มคนที่อยู่รอบข้างอย่างรวดเร็ว ในใจรู้สึกระแวดระวังเล็กน้อย
คนที่อยู่ที่นี่ ผู้ที่นางไว้ใจได้มีเพียงเล่อเทียนกับกุ่ยเม่ย
ไม่จำเป็ต้องกล่าวถึงท่อนไม้อย่างกุ่ยเม่ย ด้วยถึงพูดไปเขาก็ไม่เข้าใจ
แม้ว่ายามนี้หลี่ซินหย่วนจะอยู่ข้างพวกเขา แต่นางก็ยังไม่ไว้ใจคนที่เพิ่งพบเจอได้ไม่นาน อีกทั้งนางไม่มีความรู้สึกดีต่อชายตุ้งติ้งผู้นี้เลย
ดังนั้นในยามนี้คนเดียวที่สามารถพูดด้วยได้จึงเหลือเพียงเล่อเทียน
มู่จื่อหลิงหลุบตาลง เม้มริมฝีปากแน่น คิดกลับไปกลับมาภายในใจ มองชายชราบนพื้นไม่วางตา
จากนั้นนางจึงเรียบเรียงคำ แล้วกล่าวสั้นๆ อย่างรวบรัด “เ้าจำการรักษามารดาของข้าในยามนั้นได้หรือไม่ ที่มีการใช้กู่พิษ? ภายในโรคระบาดนี้...”
มีเพียงเล่อเทียนเท่านั้นที่เข้าใจคำพูดง่ายๆ ที่เต็มไปด้วยความลังเลของมู่จื่อหลิง
“กู่พิษ? เป็พิษอะไร...” เล่อเทียนไม่ได้คิดเกี่ยวกับเื่นี้มาพักใหญ่แล้ว แต่ในเวลาต่อมา ทั้งร่างของเขาก็กระดอนขึ้นจากพื้น
เขาใมาก ชี้ชายชราที่นอนตายบนพื้นด้วยนิ้วที่สั่นเทา กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเพื่อบังคับตนเองให้ส่งเสียงออกมาอีกครั้ง “เ้า เ้าหมายความว่านี่...”
มู่จื่อหลิงเข้าใจว่าเหตุใดเล่อเทียนจึงใมาก เพราะนางเองก็ใเช่นกัน
“ใช่!” มู่จื่อหลิงพยักหน้ายืนยันอีกครั้ง อธิบายง่ายๆ ว่า “แต่ มันต่างออกไป”
ขณะพูดมู่จื่อหลิงก็โบกมือให้เล่อเทียนยื่นมือออกมา จากนั้นในมุมที่ไม่มีใครมองเห็น นางรีบเขียนคำลงบนฝ่ามือเล่อเทียน
จากนั้นนางก็พูดอย่างจริงจัง “และ...ในยามนี้หาหนทางแก้ไม่ได้”
เล่อเทียนถูกคำที่มู่จื่อหลิงเขียนใส่ฝ่ามือทำให้ใจนพูดไม่ออก
เขาลูบหน้าผาก คิ้วขมวดแน่นไม่ต่างจากมู่จื่อหลิง ครุ่นคิดไม่หยุดด้วยความรู้สึกกังวลอย่างมาก
เป็เื่ใหญ่...เื่ใหญ่เกินไป
ยามนี้ไม่ใช่แค่โรคระบาดธรรมดาแล้ว หากมีสิ่งนั้นเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการถึงความร้ายแรงของเื่นี้เลย
คนอื่นๆ มองดูทั้งสองพูดคุยกันด้วยความสับสน
แม้หลี่ซินหย่วนจะไม่เข้าใจ แต่เมื่อดูจากท่าทางของทั้งสองคนแล้ว ทั้งยังมีการสนทนากันอย่างระมัดระวังของพวกเขา เขาก็รู้สึกได้รางๆ ว่าเื่นี้จัดการไม่ง่ายเสียแล้ว
แต่แน่นอนว่าเขาเข้าใจเหตุผลที่พวกเขาระแวดระวัง ดังนั้นในเวลานี้ หลี่ซินหย่วนจึงไม่เข้าร่วมวงอีกต่อไป ด้วยเกรงว่าหากยังเข้าร่วมต่อเขาจะได้รับาเ็
ในทางกลับกันหมอหลวงหลินผู้ถูกบีบบังคับให้กลับมาหลังจากถูกหลี่ซินหย่วนคุกคาม ไม่สามารถอดกลั้นความอยากรู้ในการคาดเดาสิ่งที่พวกของมู่จื่อหลิงกระซิบกระซาบนี้ได้
ยิ่งพวกเขาเป็เช่นนี้ หมอหลวงหลินก็ยิ่งอยากรู้มากขึ้น เขารู้สึกว่าบทสนทนาของพวกเขาเป็เื่ยุ่งยาก ประกอบกับเขาก็เป็หมอจึงมีสิทธิ์รับรู้ด้วยเช่นกัน หมอหลวงหลินตั้งใจแน่วแน่
เขาเดินนำหน้าเข้าหาพวกมู่จื่อหลิงแสร้งทำเป็ถามอย่างถ่อมตัว “หวางเฟย มีอะไรหรือ...”
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่หมอหลวงหลินจะพูดจบ เขาก็ถูกขัดจังหวะ
มู่จื่อหลิงขมวดคิ้ว ลุกขึ้นยืน เหลือบมองหมอหลวงหลินอย่างเ็า “เื่นี้เกี่ยวอะไรกับเ้า? หลีกไป อย่ามาขวางทางเปิ่นหวางเฟย”
คำพูดของมู่จื่อหลิงทำให้หมอหลวงหลินเกือบกระอักเืตาย หากชายสองคนที่อยู่ด้านหลังไม่เข้าประคองได้ทันเวลา เขาคงล้มลงไปแล้ว
มู่จื่อหลิงไม่แม้แต่จะเหลือบมองเขาอีก ถือคบเพลิงในมือตรงไปที่กุ่ยเม่ย จากนั้นจึงหยิบล่วมยาในมือของเขาขึ้นมา เดินอ้อมผ่านหมอหลวงหลินเข้าไปหาเด็กน้อย ตรวจสอบร่างกายของเขาอย่างละเอียด
หมอหลวงหลินรู้สึกหงุดหงิด เขายังไม่คิดยอมแพ้ จึงเดินไปอยู่ข้างกายมู่จื่อหลิงอีกครั้ง “ฉีหวางเฟย ข้าผู้นี้ก็เป็หมอเช่นกัน เมื่อครู่ท่านกล่าวว่าท่านพบสาเหตุของโรคระบาดแล้ว แต่เหตุใด...”
แต่ใครจะรู้ เขายังพูดไม่จบประโยคก็ถูกขัดจังหวะอีกครั้ง
หมอ? หมอที่ขี้ขลาดตาขาว ทั้งยังรักตัวกลัวตาย เปรียบชีวิตคนไม่ต่างจากต้นหญ้า [1]...เป็ครั้งแรกที่นางพบเจอหมอเช่นนี้ เขาคู่ควรกับคำว่า ‘หมอ’ ด้วยหรือ? มู่จื่อหลิงถากถางอยู่ภายในใจ
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เปรียบชีวิตคนไม่ต่างจากต้นหญ้า (草菅人命) เป็สำนวน มีความหมายว่า คิดว่าชีวิตผู้อื่นไม่สำคัญจึงสามารถสังหาร/เข่นฆ่าประชาชนหรือชาวบ้านได้ตามอำเภอใจ เทียบกับคำไทยจะใกล้เคียงกับคำว่าฆ่าคนเป็ผักปลา