ก่อนเย่เฟิงขึ้นชั้นบนก็อยู่ในชุดนอนแล้ว ตอนที่เปิดประตูห้องนอนก็รับรู้ได้ว่าซูเมิ่งหานยังไม่หลับ
“เด็กน้อย เธอลุกขึ้นมาก่อนสิ ดูดซับพลังจากหินจิติญญาก่อนแล้วค่อยนอน” เย่เฟิงถือหินดังกล่าวเดินเข้าไป แม้ตอนนี้จะดึกมากแล้ว แต่การที่สาวน้อยของเขาไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เลย ทำให้เขาไม่สบายใจเลยสักวัน หากให้เธอดูดซับพลังั้แ่เนิ่นๆ คงจะดีกว่า
หากเธอมีพลังลมปราณระดับสามปี เย่เฟิงจะสอนย่างก้าวไร้เงาให้อีกฝ่ายได้ เมื่อตกอยู่ในอันตรายหรือสถานการณ์ไม่สู้ดีจะสามารถหลบหนีได้รวดเร็วกว่าวิชาตัวเบา
“อ่า?” เมื่อซูเมิ่งหานได้ยินเสียงประตูก็รู้ว่าเย่เฟิงเข้ามา ในใจกระวนกระวายมากขึ้น ทำให้ยิ่งขดตัวใต้ผ้าห่ม โผล่ออกมาเพียงใบหน้าขาว ดวงตาหลักแหลมของเธอจับจ้องคนตรงหน้า
“รับไปสิ” เย่เฟิงโยนหินจิติญญาให้หญิงสาวแล้วเตรียมจากไป แต่เมื่อทบทวนดูแล้ว เด็กสาวจะรู้วิธีดูดซับพลังฟ้าดินจากหินจิติญญาหรือเปล่า?
ซูเมิ่งหานยื่นมือรับหินจิติญญา จากนั้นมองของในมือด้วยสีหน้าว่างเปล่าแกมประหลาดใจ เย่เฟิงให้เธอดูดซับพลังฟ้าดินจากหินก้อนนี้ แล้วจะดูดซับอย่างไรล่ะ?
หรือให้กินมันเข้าไป?
เมื่อเย่เฟิงเห็นอย่างนั้นก็ไม่มีทางเลือก จึงเดินกลับไปหาเธอ “มานี่ ถือมันไว้”
เขาพูดพร้อมนั่งลงบนเตียง จากนั้นช่วยพยุงเธอลุกขึ้นนั่ง ในเวลาเดียวกันก็สำรวจพลังปราณและช่วยกระตุ้นเส้นลมปราณให้ซูเมิ่งหาน เพื่อช่วยให้เธอโคจรพลังลมปราณตามวิถีสำนักสุสานดวงดาวได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ขณะหญิงสาวโคจรพลังลมปราณ เขาก็หยิบหินจิติญญาวางบนมือของเธอ
ซูเมิ่งหานถูกเย่เฟิงรวบตัวไว้ในอ้อมกอด เมื่อเธอเงยหน้ามองก็เขินอายจนหน้าแดง ไม่รู้ว่าจะเบี่ยงหน้าหลบไปทางไหนดี
“รีบดูดซับมันเร็วเข้า จากนั้นเธอก็โคจรพลังชี่ตามวิถีของสำนักสุสานดวงดาว” เมื่อเย่เฟิงเห็นท่าทีเขินอายของเธอก็ยิ้มขำ ก่อนเอ่ยปากเตือน
ซูเมิ่งหานไม่ใช่คนโง่เขลา เมื่อถูกเย่เฟิงกระตุ้นก็รีบทำตามทันที พลังจากจุดก่อกำเนิดถูกโคจรตามวิถีของสำนักสุสานดวงดาว จากนั้นเริ่มดูดซับพลังฟ้าดินจากหินจิติญญาเข้าไปในร่างทีละนิด ไหลเวียนไปตามเส้นลมปราณจน ในที่สุดก็สามารถผ่านจุดก่อกำเนิดจนกลายเป็พลังบ่มเพาะ!
เพียงอยู่ระหว่างขั้นตอนของการดูดซับพลัง ใบหน้าของเธอก็แดงก่ำ สีหน้าของหญิงสาวไม่ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย กลับยิ่งทวีความรุนแรง ระดับพลังบ่มเพาะของเธอเพิ่มขึ้น ทำให้เธอรู้สึกว่าอุณหภูมิร่างกายของตนสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ในใจก็เริ่มกระสับกระส่าย
“มีสมาธิหน่อย” เย่เฟิงเอ่ย ทว่าเขาก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้
ตอนนี้แค่เขาก้มหน้าก็เห็นบางส่วนพ้นขอบเสื้อนอนสีชมพูตัวหลวมของซูเมิ่งหานอย่างชัดเจน เนินอกขาวเนียนถูกบีบเข้าหากันจนเป็ร่องลึก ทำให้เขาลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่
กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวของซูเมิ่งหานยิ่งทำให้จิตใจของเขาฟุ้งซ่านจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้
“ดูเหมือนหินจิติญญาจะไม่มีพลังเหลือแล้ว” จากนั้นไม่นานซูเมิ่งหานก็พูดเสียงเบา สีเขียวเข้มของหินจิติญญาในมือของเธอสูญเสียความมันวาวไปจนหมดสิ้น ทำให้มันกลายเป็เพียงหินธรรมดา
ตอนนี้ซูเมิ่งหานรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเองชัดเจน รู้สึกราวกับว่าเส้นลมปราณของเธอขยายใหญ่และมีหนามากขึ้น หากเป็เช่นนี้ เมื่อเจออันตรายก็น่าจะทำให้หลบหนีได้เร็วขึ้นใช่หรือไม่?
“ในเมื่อมันไม่มีพลังแล้วก็ทิ้งมันไปเถอะ” เย่เฟิงพูดอย่างเฉยเมย จากนั้นพลิกตัวเธอโยนลงบนเตียงนุ่ม แล้วโน้มกายกดเธอไว้ใต้ร่าง
“อ๊ะ นายจะทำอะไร!” ซูเมิ่งหานร้องด้วยความตื่นตระหนก รับรู้ว่ามือปลาหมึกของเขาสอดเข้ามาใต้ร่มผ้าของเธอ ยิ่งทำให้เธอสะดุ้ง
“ฉันกลัวว่าคืนนี้เธอจะมีอันตรายก็เลยจะนอนด้วย” เย่เฟิงกล่าวเสียงขรึม
“อันตรายอะไร คนที่อันตรายที่สุดคือนายต่างหาก ไอ้หมาป่าจอมเ้าเล่ห์...” ซูเมิ่งหานบ่นพึมพำราวกับเสียงยุง ใบหน้าของเธอแดงซ่านด้วยความเขินอาย เส้นผมสีดำสลวยของเธอสยายเต็มหมอน ส่งผลให้ใบหน้าเนียนดูบริสุทธิ์มากขึ้น
เมื่อครู่ตอนที่เย่เฟิงลงไปอาบน้ำ เธอก็ต่อสู้กับจิตใจของตัวเองอยู่นาน หากเขา้ามีอะไรกับเธอขึ้นมา เธอจะขัดขืนเขาดีหรือไม่?
เธอครุ่นคิดอยู่อย่างนั้นเป็เวลานาน จนในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่าจะปล่อยให้มันเป็ไปตามธรรมชาติโดยไม่คิดขัดขืน ซึ่งก็มีเหตุผลที่คิดขึ้นมาได้ ประการแรกแม้เธอคิดจะขัดขืน แต่สามารถต่อต้านเขาได้จริงหรือ? ประการที่สองเย่เฟิงบอกความลับสุดยอดของเขาเื่การฝึกวิถีเซียนให้เธอรับรู้ นั่นแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายเชื่อใจและไว้ใจเธอมากแค่ไหน
ในเมื่อความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถือว่าใกล้ชิดสนิทสนมกันอยู่แล้ว หากพวกเขาจะใกล้ชิดกันเพิ่มอีกสักหน่อยก็คงไม่เป็อะไร...
เธอปิดดวงตาคู่สวยของตัวเอง ขนตางอนยาวสั่นระริก ก่อนเงยหน้าขึ้นจนเห็นลำคอยาวระหงที่ทั้งขาวสวยและเนียนละเอียด ทันใดนั้นเย่เฟิงก็ฝังริมฝีปากบนคอของคนใต้ร่าง
ในใจของเธอเต็มไปด้วยความประหม่า รับรู้ความร้อนจากปลายนิ้วของเย่เฟิง ทำให้ความรู้สึกประหลาดไปทั่วทั้งร่าง มือทั้งสองข้างกำผ้าปูที่นอนแน่น
เรือนร่างของคนทั้งคู่แนบชิดกันจนไม่มีช่องว่าง ท่าทางพวกนั้นทำให้อุณหภูมิภายในห้องพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อเย่เฟิงเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ขัดขืนยิ่งทำให้เขาได้ใจ กล้าที่จะรุกล้ำอีกฝ่ายมากขึ้น ชายหนุ่มลูบไล้เรือนร่างของเธออย่างไม่รอช้า สำหรับเขา ไม่ว่าช้าหรือเร็ว หญิงสาวก็ต้องตกเป็ของเขาอยู่ดี แล้วจะต้องกังวลไปทำไมกัน?
หลังจากเย่เฟิงได้เกิดใหม่ที่เมืองนี้ คนแรกที่เขาพบก็คือซูเมิ่งหาน และคนแรกที่ฝึกวิถีเซียนตามเขาก็คือซูเมิ่งหาน ราวกับคนทั้งสองถูกลิขิตให้ใกล้ชิดสนิทสนมกัน...
…………
แม้ผ่านไปนานแล้ว แต่ภายในห้องกลับยังมีเสียงหอบหายใจและเสียงครวญครางดังไม่หยุด
หลังจากลมพายุที่โหมกระหน่ำต่อเนื่องผ่านพ้นไป หญิงสาวก็ขดตัวในอ้อมกอดของเย่เฟิงด้วยท่าทีอ่อนหวานน่าเอ็นดู ผมของเธอสยายตามหมอนราวกับม่านน้ำตก พร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ อันเป็เอกลักษณ์
ชายหนุ่มลูบไล้ไหล่มนของคนในอ้อมกอด จากนั้นก้มจูบหน้าผากอีกฝ่ายแ่เบา
ซูเมิ่งหานลูบหน้าอกแกร่งของเขาอย่างอ่อนโยน พลางเอนกายในอ้อมกอดของเขาด้วยท่าทีผ่อนคลาย
บรรยากาศภายในห้องเงียบงัน บางครั้งก็มีเสียงแมลงดังจากข้างนอก ยิ่งทำให้เห็นชัดว่าทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบขนาดไหน
วันนี้เย่เฟิงและซูเมิ่งหานขยับความสัมพันธ์ของพวกเขาให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ในที่สุดพวกเขาก็สร้างรากฐานความสัมพันธ์ระหว่างกัน
ต่อจากนี้ไปซูเมิ่งหานก็กลายเป็ผู้ฝึกวิถีเซียนคนหนึ่งเช่นเดียวกับเย่เฟิง เมื่อเธอฝึกฝนจิตใจให้แข็งแกร่งก็จะใช้พลังภายในเป็พลังชี่ได้ ทั้งยังทำให้เธอแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกวรยุทธ์ทั่วไปที่อยู่ในระดับเดียวกัน
สำหรับผู้หญิงของเขา แน่นอนว่าเย่เฟิงย่อมไม่หวงวิชา เพียงปล่อยให้เธอก้าวเข้าสู่เส้นทางของวิถีเซียน จนกระทั่งพวกเขาสามารถเดินไปถึงตอนจบได้ในที่สุด
แม้เย่เฟิงจะไม่รู้ว่าปลายทางคือที่ไหนก็ตาม ไม่ว่าอย่างไรเส้นทางนี้มีซูเมิ่งหานติดตามเขาไปตลอดทาง นับว่าเธอเป็อีกหนึ่งคนสำคัญที่สุดในชีวิตนี้ของเขา
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ เย่เฟิงก็อดคิดถึงท่านอาจารย์หญิงไม่ได้
ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตอนนี้อาจารย์หญิงของเขาอยู่แห่งหนใด?
ขณะอยู่ในโลกเทวะ ท่านอาจารย์หญิงนับเป็คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา ตอนนี้ซูเมิ่งหานกลายเป็คนที่ชีวิตนี้เขาไม่อาจขาดเธอได้ ต่อจากนี้ไม่ว่าชายหนุ่มจะต้องประสบกับอะไร เขาจะผ่านมันไปพร้อมกับซูเมิ่งหาน!
ใต้แสงจันทราในค่ำคืนเงียบสงัด เย่เฟิงกอดร่างนุ่มนิ่มของอีกฝ่าย
ขณะที่เขาคิดจะพักผ่อน จิตหยั่งรู้ของเขาก็ััถึงอะไรบางอย่าง ในเวลานั้นชายหนุ่มตรวจสอบพบว่ามีคนแอบปีนกำแพงจากด้านนอกด้วยท่าทางน่าสงสัย ดูเหมือนกับคนที่คิดจะขโมยของ!
“เป็คนของยุทธจักร? พลังบ่มเพาะสิบปี? มาขโมยของงั้นรึ นึกไม่ถึงว่าจะมาที่นี่เพื่อขโมยของ...“
การขโมยของในสังคมปัจจุบันถือว่าเป็เื่ธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ แต่ทว่าผู้ฝึกพลังอยู่ระดับ ปีเข้ามาขโมยนั้นหาได้ยากจริงๆ!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้