ฝนตกหนักผ่านพ้นไป คงไว้ซึ่งความชุ่มฉ่ำช่วยคลายร้อนจากแสงแดดเจิดจ้าในคิมหันต์ฤดู กลุ่มจอมยุทธ์สวมเสื้อคลุมสีขาว ในมือถือกระบี่วิ่งผ่านผืนป่าของูเาชุ่ยอวิ๋น ฝีเท้าล้วนว่องไว มองเห็นเพียงเงาเลือนรางท่ามกลางสายฝน
ด้านหน้าสุดของขบวนคือเด็กชายในชุดน้ำเงินคนหนึ่ง แม้จะยังเด็กแต่การเคลื่อนไหวก็ไม่ช้าไปกว่าคนอื่นๆ ด้านหลัง ในทางตรงกันข้ามเมื่อย่างก้าวไปบนพื้นหญ้าก็ราวกับพริ้วไหว ไม่ว่าฝนเทกระหน่ำเพียงใด ทุกคนต่างมุ่งตรงไปยังหน้าผาอันมืดมิด
เมื่อพวกเขามาถึงหน้าผาก็หยุดฝีเท้าลง จอมยุทธ์ในชุดสง่างามผู้หนึ่งก้าวขึ้นหน้าและเอ่ยด้วยเสียงต่ำ “คุณชายรอง พวกเรายังต้องไปต่อหรือไม่ขอรับ หากไปไกลกว่านี้จะเข้าสู่เขตหน้าผาอันมืดมิดแล้วนะขอรับ”
จอมยุทธ์ผู้นั้นมองคุณชายด้วยสีหน้าเป็กังวล พวกเขาไม่เคยเหยียบย่างไปยังหน้าผาอันมืดมิดมาก่อน จึงไม่ทราบว่ามีอันตรายใดรออยู่บ้าง คุณชายรองตระกูลหลิ่วพาพวกเขามาที่นี่โดยไม่ได้รับอนุญาต แม้จะบอกว่าเป็คำสั่ง ซึ่งในฐานะผู้พิทักษ์ของชิงหลิ่วถังแล้วพวกเขาจำเป็ต้องเชื่อฟัง แต่คุณชายใหญ่หลิ่วไป๋เจ๋อไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกเขาจึงไม่รู้ว่าควรตัดสินใจอย่างไร
หากต้องเผชิญกับพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย พวกเขาก็ไม่กล้ารับประกันความปลอดภัยให้แก่คุณชายรอง ช่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเสียจริง
หลิ่วเฉิงเฟิงแหงนมองท้องฟ้า สายฝนที่โปรยปรายอย่างหนักก่อนหน้าได้หยุดลงแล้ว ทว่าบนท้องฟ้ายังมีเมฆดำทะมึนบดบังดวงอาทิตย์อยู่
“เข้าไป”
“แต่คุณชายรองขอรับ การมาครั้งนี้พวกเราไม่ได้แจ้งให้คุณชายใหญ่ทราบ ถ้าหาก…”
หลิ่วเฉิงเฟิงชำเลืองมองด้วยแววตาเฉียบคม จอมยุทธ์ผู้นั้นจึงหุบปากลง แม้หลิ่วเฉิงเฟิงจะอายุยังน้อย แต่ก็เป็บุตรชายคนรองของตระกูลหลิ่ว เื่ความดื้อรั้นของเขานั้นเป็ที่เลื่องลือ
“รู้หรือไม่ว่าคุณชายใหญ่ของพวกเ้าจะกลับมาเมื่อใด”
เหล่าจอมยุทธ์ส่ายหัว
“ไม่รู้แต่ก็ยังห้ามข้าอย่างนั้นหรือ เวลานี้ผู้คนในเมืองหายตัวไปมากมาย กว่าจะได้เบาะแสมาก็ไม่ใช่ง่ายๆ แต่เ้าก็ยังจะทัดทานข้า รู้หรือไม่ว่าเหล่าคนที่หายตัวไปต้องเสี่ยงอันตรายเพิ่มขึ้นทุกๆ เค่อ หากหลิ่วไป๋เจ๋อไม่กลับมาก็ต้องรอความตายอยู่ชิงหลิ่วถังอย่างนั้นหรือ”
จอมยุทธ์ผู้นั้นก้มศีรษะขออภัย “คุณชายรอง ข้าน้อยผิดไปแล้วขอรับ”
เทียบกับเมื่อหลายเดือนก่อน ตอนนี้หลิ่วเฉิงเฟิงโตขึ้นมาก ่ที่ผ่านมาหลิ่วไป๋เจ๋อเอาแต่เดินทางไปข้างนอก พอกลับมาก็มักจะมีสภาพเหนื่อยล้า ทุกครั้งหลิ่วเฉิงเฟิงได้แต่กลืนคำที่อยากเอ่ยลงคอและไม่ได้ถามอะไร อีกฝ่ายก็ปิดปากเงียบไม่เคยเล่าเื่การเดินทางของตน
ในยามที่หลิ่วชิงเหยียนไม่อยู่ นอกจากหลิ่วไป๋เจ๋อแล้วก็ยังเหลือตัวเขาคนนี้ที่อยู่ในชิงหลิ่วถัง ทว่าผู้คนอื่นมักมองว่าเขาเป็เด็กเหลือขอ
หลายวันที่ผ่านมามีชาวเมืองหลายคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เื่นี้สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ผู้คนเป็อย่างมาก
นี่ไม่ใช่เื่เล็กๆ หากไม่รีบหยุดยั้งสถานการณ์ดังกล่าว ความหวั่นวิตกคงแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ผลที่ตามมาก็ยากจะควบคุม
เดิมทีเขาอยากบอกเื่นี้กับหลิ่วไป๋เจ๋อ แต่อีกฝ่ายยังคงเดินทางไม่หยุด ออกเดินทางกลางดึกและอีกหลายวันถึงจะกลับ บางครั้งอาจใช้เวลามากกว่าสิบวัน ในท้ายที่สุดหลิ่วเฉิงเฟิงจึงกัดฟันจัดการเื่นี้เอง
ผู้สูญหายมีทั้งชายและหญิง แต่ทุกคนล้วนไม่ใช่ผู้แข็งแกร่ง ทั้งหมดมีจุดร่วมเดียวกันก็คือ ในวันที่หายตัวไป พวกเขาล้วนมุ่งหน้าไปยังูเาชุ่ยอวิ๋น
ูเาชุ่ยอวิ๋นเป็ูเาที่อยู่ใกล้เมืองหลวงเฟิ่งเทียนมากที่สุด แม้ไม่สูงตระหง่านแต่ก็ทอดเป็แนวยาว นอกจากนี้ยังมีสถานที่ลึกลับนับไม่ถ้วน เพราะูเาลูกนี้อยู่ใกล้กับเมืองหลวงทำให้มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น บริเวณโดยรอบจึงไม่มีสัตว์ป่ามากนัก เป็เื่ยากที่จะได้ยินว่ามีคนถูกสัตว์ป่าโจมตีในแถบนี้
แน่นอนว่ายังไม่รวมการโจมตีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น อย่างเหตุการณ์เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้า ที่ขบวนรถม้าของตระกูลหลานถูกกลุ่มสัตว์ร้ายจู่โจม แม้จะดูเป็การกระทำที่จงใจ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อย เพราะสัตว์ร้ายเ่าั้มักซ่อนตัวลึกเข้าไปในูเาชุ่ยอวิ๋น โดยทั่วไปมักไม่ค่อยออกมาเพ่นพ่าน
ผู้ที่อาศัยอยู่โดยรอบล้วนรู้จักสภาพแวดล้อมของูเาชุ่ยอวิ๋นเป็อย่างดี มีบ้างที่พวกเขาจะไปเก็บของป่าหรือตัดฟืน แต่ก็ไม่เคยเข้าไปในส่วนลึก อาจมีบางคนที่จะพักบนเขาหนึ่งถึงสองวัน ซึ่งนั่นถือเป็เื่ปกติ
แต่เมื่อมีข่าวคนหายแพร่สะพัด สมาชิกบางครอบครัวจึงเริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ ยามขึ้นไปตามหาคนล้วนกลับมามือเปล่า จนในที่สุดก็ต้องมายังชิงหลิ่วถังด้วยความจนใจ
หลิ่วเฉิงเฟิงและผู้ติดตามใช้เวลาหลายวันในการค้นหาทั่วูเาชุ่ยอวิ๋น ทั้งด้านในและรอบนอก แต่ไม่พบร่องรอยของผู้สูญหาย พวกเขาค้นหาไปจนสุดเขตนอกูเา สายตาพลันหยุดอยู่ที่หน้าผาอันมืดมิดบริเวณชายขอบ
หลิ่วเฉิงเฟิงหลับตาแล้วถอนหายใจ ทันทีที่ลืมตาอีกครั้ง แววกังวลก็สลายหายไป เขาะโเพียงครั้งเดียวก็ลงจากขอบหน้าผามาอยู่ที่ก้นบึ้ง
ด้านล่างนี้ไม่ได้ดีไปกว่า้า ไม่มีแสงสว่างแม้สักนิด ในฤดูที่ดวงอาทิตย์แผดเผาเช่นนี้ แต่สามารถััถึงความหนาวเย็นยามพลบค่ำเช่นฤดูเหมันต์ หลิ่วเฉิงเฟิงสั่นไปทั้งตัวก่อนจะเอ่ยปากสั่งจอมยุทธ์ที่อยู่เื้ั
“คบเพลิง!”
จอมยุทธ์ทั้งหลายจุดคบเพลิงที่เตรียมไว้ แสงไฟลุกโชน ส่องสว่างโดยรอบ ทำให้ผู้คนนับสิบในบริเวณนั้นรู้สึกอบอุ่นขึ้น
ที่แห่งนี้ไร้ซึ่งแสงสว่าง จึงมีทั้งความชื้นและไอหนาวอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ทันทีที่เหยียบลงบนพื้นก็รู้สึกถึงความเหนียวเหนอะหนะของโคลน หลิ่วเฉิงเฟิงผู้ถูกตามใจมาโดยตลอดพลันรู้สึกรังเกียจ
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก้าวเดินต่อไป จอมยุทธ์ทั้งหลายเดินล้อมให้เขาอยู่ตรงกลาง คอยเฝ้าระวังทุกสิ่งรอบตัว
บรรยากาศที่นี่ตรงกันข้ามกับทิวทัศน์ของูเาชุ่ยอวิ๋นอย่างสิ้นเชิง ที่นั่นเต็มไปด้วยดอกไม้บานสะพรั่งและเหล่านกหลายร้อยร่วมขับขานท่วงทำนอง ตอนนี้อย่าว่าแต่เสียงนกร้องเลย แม้แต่เสียงแมลงสักตัวก็ไม่ได้ยิน ในสภาพแวดล้อมที่น่าหดหู่เช่นนี้ ทุกคนทำได้เพียงกลั้นใจและเฝ้าสังเกตทุกสิ่งรอบตัวอย่างระมัดระวัง
หลังจากเข้าไปได้ราวๆ สองเค่อ จอมยุทธ์คนหนึ่งก็หันกลับมา ชี้ไปที่ใต้ฝ่าเท้าของเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยความจริงจัง
หลิ่วเฉิงเฟิงรีบวิ่งไป ภายใต้แสงจากเปลงเพลิงทำให้เห็นรอยลากยาวบนพื้น รอยนั้นลึกมาก คาดว่าเกิดจากแรงมหาศาล นอกจากนี้ยังมีร่องรอยสัตว์ป่าและรอยเท้ามนุษย์หลงเหลืออยู่
ดวงตาของหลิ่วเฉิงเฟิงเป็ประกาย หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาหลายวัน ในที่สุดก็พบเบาะแสแล้ว เขาโบกมือส่งสัญญาณ “ไปกันเถอะ!”
เมื่อตามร่องรอยนั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหายไป เบื้องหน้าก็ปรากฏแม่น้ำสายหนึ่งซึ่งไม่กว้างเท่าไร แสงไฟที่มีไม่อาจส่องบอกความลึกตื้น ในขณะที่ทุกคนกำลังสับสนว่าควรจะไปยังทิศทางใด อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำพลันมีแสงไฟ
เสียงการต่อสู้ผสมปนเปกันดังมา แสงสว่างวูบไหว บ้างปรากฏบ้างจางหาย ดูเหมือนระยะทางมิได้ไกลมากนัก
หลิ่วเฉิงเฟิงกวาดสายตาไปรอบๆ เห็นต้นไม้โบราณอยู่ไม่ไกล กิ่งก้านแผ่ไปทางอีกฟากของแม่น้ำ แม้จะยื่นออกไปถึงเพียงกลางลำน้ำแต่ก็เพียงพอสำหรับเขา
หลิ่วเฉิงเฟิงพุ่งไปอย่างรวดเร็ว เตะเท้าเบาๆ แล้วะโขึ้นบนกิ่งไม้ ก่อนที่คนอื่นๆ จะรู้สึกตัว เขาก็ข้ามไปอีกฟากเรียบร้อยแล้ว
กลุ่มจอมยุทธ์รีบตามมาติดๆ ะโข้ามแม่น้ำมาด้วยวิธีเดียวกัน ไล่ตามหลิ่วเฉิงเฟิงไปยังจุดที่มีเสียงการต่อสู้
ยิ่งเข้าใกล้ เสียงของการต่อสู้ก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ หลิ่วเฉิงเฟิงได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ร้ายจากป่าที่อยู่ไม่ไกล รอบตัวคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเื
หลิ่วเฉิงเฟิงชะงักฝีเท้า กลุ่มจอมยุทธ์ด้านหลังก็ห้อมล้อมรอบเขา กำจัดแนวไม้ที่บดบังออก พวกเขาจึงเห็นภาพตรงหน้าอย่างชัดเจน
“อ้วก~!”
มองแค่แวบเดียวหลิ่วเฉิงเฟิงก็ทนต่อกลิ่นคาวเืรุนแรงและภาพซากศพบนพื้นไม่ไหว จนต้องโก่งคออาเจียน จอมยุทธ์อีกหลายคนก็เกือบจะอาเจียนเช่นกัน แต่พวกเขามีหน้าที่ปกป้องหลิ่วเฉิงเฟิง จำต้องอดทนและระแวดระวังทุกสิ่งรอบตัว
“เมื่อครู่ยังมีเสียงการต่อสู้ เหตุใดตอนนี้กลับไม่มีใครสักคน มีเพียงซากศพของสัตว์ร้ายเท่านั้น”
หลิ่วเฉิงเฟิงพยายามอดทนต่อความรู้สึกพะอืดพะอมแล้วเดินไปยังศพเบื้องหน้า ก่อนจะคุกเข่าลงเพื่อตรวจสอบ จอมยุทธ์ข้างกายเขาชี้ไปยังศพหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลแล้วพูดด้วยความร้อนใจ
“เจอแล้ว ข้ารู้จักคนผู้นี้ เขาคืออู๋เถี่ยเจี้ยง ช่างตีเหล็กจากร้านในเมือง ข้ายังเคยขอให้เขาช่วยซ่อมดาบอยู่เลย”
เมื่อมองไปยังช่างอู๋เถี่ยเจี้ยงที่นอนอยู่ด้วยสภาพถูกฉีกเป็ชิ้นๆ ในใจของหลิ่วเฉิงเฟิงพลันรู้สึกเหมือนมีหิมะโปรยปรายในฤดูกาลอันเหน็บหนาว
“พวกสัตว์นรกเดรัจฉาน!”
ทุกคนต่างโศกเศร้าที่ได้เห็นชะตากรรมของอู๋เถี่ยเจี้ยง ตอนนี้ผู้สูญหายคนอื่นๆ อาจกำลังตกอยู่ในอันตรายไม่มากก็น้อย
ทันใดนั้นก็มีเสียงนกหวีดไม้ดังขึ้น บรรยากาศรอบด้านพลันหนาวเหน็บ เหล่าจอมยุทธ์เตรียมปกป้องหลิ่วเฉิงเฟิงที่อยู่ตรงกลางและมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง
แซ่ก แซ่ก แซ่ก!
เกิดการเคลื่อนไหวบนพื้นหญ้ารอบกาย เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่ยังมองไม่เห็นว่าคือสิ่งใด
“งู มันคืองู!”
ในที่สุดจอมยุทธ์ที่อยู่รอบนอกก็มองเห็นแหล่งกำเนิดเสียง ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น อสรพิษจำนวนมากเลื้อยมาล้อมพวกเขาไว้อย่างแ่า
“จะ จะทำอย่างไรดีขอรับ!”
เหล่าจอมยุทธ์พยายามใช้คบเพลิงไล่งูออกไป ทว่าหลิ่วเฉิงเฟิงกลับห้ามไว้
“อย่าใช้ไฟ โยนคบเพลิงทิ้งไป งูเป็สัตว์เืเย็น ยิ่งเห็นไฟจะยิ่งเข้ามาหา”
เสียงนกหวีดไม้จากป่าดังขึ้นอีกครั้ง ฝูงงูก็ยิ่งขยับมาใกล้มากขึ้น บางตัวชูคอตั้งตรงเตรียมโจมตี
หน้าผากของหลิ่วเฉิงเฟิงเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ เขากัดฟันมองไปรอบๆ ครู่ต่อมาแสงสีขาวก็ปรากฏบนฝ่ามือ ก่อนจะค่อยๆ ก่อตัวกลายเป็เข็มหลายสิบเล่ม
“ฆ่ามัน!”
เมื่อได้ยินคำสั่ง เหล่าจอมยุทธ์ก็เริ่มเหวี่ยงดาบ ในขณะเดียวกัน เข็มในมือของหลิ่วเฉิงเฟิงก็ถูกเหวี่ยงออกไป แทงทะลุร่างงูหลายตัวจนไม่เหลือชิ้นดี แต่การกระทำเช่นนี้สามารถกำจัดพวกมันได้เพียงส่วนน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับจำนวนที่มีมากเป็พันเป็หมื่นตัว
และในเวลานี้ก็มีจอมยุทธ์หลายคนที่ถูกฉกเข้า ทั้งยังส่งเสียงร้องด้วยความเ็ปไม่หยุด
ทว่าจู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งลอยมา กลบเสียงนกหวีดไม้ก่อนหน้า
“ขลุ่ยดินเผา...”
หลังจากเสียงขลุ่ยดินเผาดังขึ้น งูเ่าั้ก็หยุดโจมตีทันที สงบนิ่งไม่ขยับไหว
เสียงนกหวีดไม้ดังขึ้นอีกครั้ง พยายามต่อกรกับเสียงขลุ่ย
หลิ่วเฉิงเฟิงและเหล่าจอมยุทธ์ยืนนิ่งกับที่ ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ปล่อยให้คนทั้งสองในความมืดเผชิญหน้ากัน
บางทีเสียงจากสองฝั่งอาจกระตุ้นรุนแรงเกินไป ทำให้อสรพิษโดยรอบเริ่มเข่นฆ่ากันเอง งูราวๆ เจ็ดถึงแปดส่วนจากทั้งหมดตายลงในชั่วพริบตา งูตัวสุดท้ายที่เหลือรอดก็ะเิตัวตายตามไป
หลังจากนั้นไม่นานเสียงนกหวีดไม้ก็เลือนหาย เสียงจากขลุ่ยดินเผาก็เช่นกัน บริเวณโดยรอบตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง
“คุณชายรอง หาย หายไปหมดแล้วขอรับ” จอมยุทธ์ผู้นั้นปาดเหงื่อ หวาดผวากับเหตุการณ์เมื่อครู่จนใจสั่นระรัว
หลิ่วเฉิงเฟิงเองก็ตกตะลึงเช่นกัน แต่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้เขาลังเลอีก
“ตรวจดูผู้าเ็ว่าเป็อย่างไรบ้าง”
เมื่อตรวจสอบแล้วก็พบว่าโชคดีที่งูพวกนั้นไม่มีพิษ นอกจากความเ็ปบนิัก็ไม่มีอาการอื่นอีก
“ไป กลับกันเถอะ!”
หลิ่วเฉิงเฟิงไม่มีท่าทีลังเล นำทุกคนกลับออกไปตามทางที่มาก่อนหน้า
——————————
