หลังจากที่นางยกชามาเรียบร้อย ก็ยืนอยู่ด้านหลังหลิวฉีซื่อราวกับเด็กรับใช้ที่ได้รับการสั่งสอนอย่างดี ใช้มือเล็กช่วยทุบหลังให้ย่า แต่ดวงตาที่มองต่ำนั้นฉายแววเ้าเล่ห์
แม้ว่าหลิวฉีซื่อจะประหลาดใจกับการกระทำของนาง แต่ก็เพลิดเพลินกับการกระทำของหลิวเต้าเซียง มันยิ่งทำให้นางรู้สึกเป็ประกาย ใบหน้าของตนเองนั้นเจิดจ้ายิ่งขึ้น เริ่มมีลักษณะของคนร่ำรวยขึ้นมาบ้าง
ดังนั้นนางจึงยกระดับตนเองขึ้นมา ยืดอกหลังตรง แล้วเอ่ยถามหลิวเหรินกุ้ย “เหตุใดวันนี้พวกเ้าจึงมาช้า? อย่าได้คิดหาข้ออ้างมาหลอกข้านะ”
หลิวซุนซื่อแอบเบะปากเมื่อได้ยิน ยกมือที่ได้รับการดูแลอย่างดีดุจหยก แล้วก้มหน้ามองอย่างตั้งใจ
อย่าได้มองว่าหลิวซุนซื่อเป็เพียงสะใภ้ชาวนา แต่นางเกิดมานับว่าโชคดีที่มีผิวพรรณเนียนละเอียด รูปร่างเย้ายวน บวกกับไม่เคยทำงานหนักตรากตรำ จึงทำให้ดูขาวไปอีกหลายระดับ เมื่อเทียบกัน ก็เหมือนดั่งนกหงส์หยกที่อยู่ในรังไก่ ยิ่งทำให้นางดูสวยงามไปอีก ไม่แปลกที่หลิวเหรินกุ้ยจะรักและประคบประหงมนางยิ่งนัก
นี่ปะไร คือเหตุผลที่ทำให้หลิวซุนซื่อกล้าต่อกรกับหลิวฉีซื่อ
หลิวเต้าเซียงที่อยู่ด้านหลังหลิวฉีซื่อนั้นสังเกตเห็นบางอย่าง ทำให้มือที่กำลังทุบหลังอยู่ก็ชะงักเล็กน้อยแล้วยกยิ้มมุมปาก
ก่อนที่หลิวเหรินกุ้ยจะตอบคำถามก็แอบมองไปทางหลิวซุนซื่อแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าหลิวซุนซื่อไม่พูด จึงทำหน้าเคร่งขรึมแล้วตอบหลิวฉีซื่อไปว่า “แม่ ก็เพราะมีเื่ด่วนน่ะ”
พูดถึงตรงนี้ เขาก็หันไปหาหลิวจูเอ๋อร์ที่นั่งรออยู่ด้านข้างอย่างเบื่อหน่าย และเอ่ย “ลูกรัก รีบเอาของขวัญให้ย่าเ้าเร็ว” ขณะพูด เขาก็ทำใบหน้าเลื่อมใสบริสุทธิ์ ราวกับว่าของหวานเ่าั้คือทองคำขาวอย่างไรอย่างนั้น
หลิวจูเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างๆ กำลังกินของว่าง เมื่อได้ยินก็ไม่พอใจ ปัดมือเพื่อให้เศษขนมร่วงจากมือแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “พ่อ ั้แ่ลงจากรถข้าก็หิ้วมา ตอนนี้มือเมื่อยจนยกไม่ขึ้นแล้ว อีกทั้งขนมก็วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ ย่าไม่ใช่หรือ?”
นางบังเอิญเห็นหลิวเต้าเซียงยืนอยู่ข้างๆ หลิวฉีซื่อ จึงเชิดคางขึ้นแล้วชี้นิ้วไป สั่ง “เต้าเซียง เร็วเข้า! ไปช่วยย่าเปิดห่อขนมเร็ว”
เมื่อเห็นว่าใบหน้าชราของหลิวฉีซื่อนั้นเริ่มไม่ดี หลิวเหรินกุ้ยถึงกับหงุดหงิดในใจ ต้องโทษตนเองที่ปกติมักจะตามใจบุตรสาวเกินไป จึงไม่เคยเห็นหลิวเต้าเซียงว่าเป็คน แต่ตอนนี้แม่ของตนกำลังเพลิดเพลินอยู่ การเรียกใช้งานนางเด็กนั่นก็เท่ากับว่าไม่ไว้หน้าหลิวฉีซื่อไม่ใช่หรือ
หลิวซุนซื่อเห็นเข้าจึงถลึงตาใส่หลิวจูเอ๋อร์ แล้วเอ่ยยิ้มแย้มกับหลิวฉีซื่อ “จูเอ๋อร์วางของไว้บนโต๊ะห้องทิศตะวันออกแล้ว อีกประเดี๋ยวแม่ค่อยกลับไปดูก็ได้ เด็กน้อยเดินไกล คงหิวจนตาลายแล้ว”
“แม่ อย่าโกรธเลย ลูกก็กลับมาแล้วไม่ใช่หรือ?” หลิวเหรินกุ้ยยิ้ม
หลิวเต้าเซียงมองเขาอย่างเ็า นึกขำเยือกเย็นในใจ รู้สึกว่ารอยยิ้มของเขาช่างเสแสร้งจริงๆ นี่กำลังรับมือกับหลิวฉีซื่อราวกับนางเป็แขกในโรงเตี๊ยมหรือ
“แม่ แม่ ข้าหิวแล้ว เมื่อใดเราถึงจะกลับไปบ้านยาย ข้ายังอยากกินไส้หมูอีก” หลิวจือเป่าที่เพิ่งสี่ขวบไม่รู้ว่ามุดมาจากไหน กำลังกอดขาของหลิวซุนซื่อแล้วร้องงอแง
หลิวซุนซื่อยื่นมือออกมาตบเขาหนึ่งที แล้วด่า “ที่นี่คือบ้านย่าเ้า รอตอนค่ำเดี๋ยวย่าเ้าจะทำกีบหมูย่างให้”
“ข้าไม่เอา ข้าจะกินตอนนี้ เมื่อครู่ที่บ้านยายข้ายังกินไม่อิ่ม” หลิวจือเป่าไม่ยอม
คําพูดเหล่านี้กระซวกเข้าใส่รังผึ้ง ทำหลิวฉีซื่อเดือดดาลขึ้นมาทันใด
“กินๆๆ กินบ้านมารดาเ้าสิ มารดาเถอะ พวกไม่รักดี เก่งแต่มุดเข้าใต้กระโปรงผู้หญิง”
ความแค้นทั้งเก่าและใหม่หลอมรวมกัน ปากเหมือนจะสั่งสอนหลิวจือเป่า แต่แท้จริงแล้วเกลียดหลิวซุนซื่อเข้าไส้ แทบอยากจะสั่งสอนหลิวซุนซื่อดีๆ สักครา
หลิวเหรินกุ้ยที่เก็บสีหน้าท่าทางมาตลอดและยืนด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นหลิวฉีซื่อด่ากราดไม่สนใจผู้ใดก็เกิดความโมโหขึ้นมา
“แม่ สายตาของท่านน่ากลัวเหลือเกิน” หลิวซุนซื่อใช้ผ้าเช็ดหน้าลูบอกตนเอง พร้อมกับถอยไปหลบข้างหลังหลิวเหรินกุ้ย ทำท่าหวาดกลัว
หลิวเต้าเซียงมองต่ำลง นางกล้าพนันได้เลย เมื่อครู่หลิวฉีซื่อไม่ได้ใช้สายตาเหี้ยมโหดมองหลิวซุนซื่อแต่อย่างใด นางส่งเสียงฮึดฮัดในใจ แต่ปากกลับเอ่ยเสียงค่อย “ย่า ท่านทำให้เป่าเอ๋อร์ในะ”
หลิวฉีซื่อได้ยินดังนั้นก็มองไปที่หลิวจือเป่า ยิ่งรู้สึกว่าแม้จะขวางหูขวางตา แต่นางก็ไม่มีทางโมโหใส่เด็กสี่ขวบ ส่วนคนที่ถูกตีตราว่าเป็ ‘คนนอก’ เช่นหลิวซุนซื่อ นางไม่เคยรู้สึกชิงชังเท่าวันนี้มาก่อน
จากนั้นได้ยินหลิวซุนซื่อเอ่ยเสียงออดอ้อนดัดจริตกับหลิวเหรินกุ้ย “ข้าบอกแล้ว ว่าควรมาขอขมาท่านแม่ก่อน แล้วค่อยไปเยี่ยมแม่ข้า”
หลิวเหรินกุ้ยมองภรรยาของตนด้วยสายตารักใคร่ ยิ่งรู้สึกว่าแม่ของตนนั้นไร้เหตุผลสิ้นดี จึงอธิบายกับหลิวฉีซื่อด้วยความอดทนอย่างช่วยไม่ได้ “แม่ แม่ของเมียข้านั้นไม่ค่อยสบาย นานทีปีหนข้าจะลางานได้สักครา ลุงใหญ่จึงส่งรถเข็นวัวไปรับพวกข้า เมื่อเยี่ยมเยียนแม่ยายลุล่วงก็เลยเวลาเที่ยงเสียแล้ว พ่อตาจึงบอกให้ลูกกินข้าวก่อนค่อยกลับ อีกอย่าง เป่าเอ๋อร์ก็หิวแย่แล้ว พวกเราเองก็ปฏิเสธลำบาก”
หลิวเหรินกุ้ยไม่อยากทะเลาะกับแม่ของตน คำอธิบายของเขานั้นแฝงไปด้วยความรำคาญเล็กน้อย แต่หลิวฉีซื่อนั้นตกหลุมพรางที่หลิวเต้าเซียงขุดไว้แต่เนิ่น เมื่อได้ยินเช่นนี้ ความโกรธก็ยิ่งไม่อาจหยุดยั้งได้ บุตรชายของตนที่กว่าจะเลี้ยงจนเติบโตมาได้ กลับถูกนางแพศยาหลิวซุนซื่อแย่งไป ทำให้เขาได้เมียลืมแม่ จึงโมโหและไม่มีที่ระบาย
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางสูดหายใจลึกๆ และพูดว่า “การไหว้สุสานเป็เื่ที่สำคัญยิ่งนัก เหตุใดเ้าจึงละเลยเื่นี้ แล้วมัวแต่สนใจเื่ของเมียเ้า? อีกอย่าง บ้านแม่นางจะไม่รู้เลยเชียวหรือว่าวันนี้คือเทศกาลเชงเม้ง? แล้วเ้าไม่ต้องรีบกลับบ้านเพื่อไหว้บรรพบุรุษหรอกหรือ?”
หลิวซุนซื่อได้ยินก็ไม่พอใจ นางเป็ใครกัน? อ้าปากก็แต่งเื่นั่นนี่
“แม่ ทุกเื่ก็ย่อมต้องมีความเร่งด่วน สะใภ้แต่งเข้าบ้านหลิวก็จริง แต่นั่นคือแม่แท้ๆ ที่คลอดลูกสะใภ้ออกมา ร่างกายของนางไม่สบายและต้องคอยกินยาจากหมอ ในฐานะบุตรสาวข้าไม่ควรกลับไปเยี่ยมหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น พวกข้าก็รีบร้อนกลับมาแล้วมิใช่หรือ? แม้ว่าจะเป็ตอนเย็น ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนขึ้นไปไหว้สุสานตอนเย็นเสียหน่อย”
เมื่อพูดถึงเื่นี้ หลิวซุนซื่อก็ใช้น้ำตาเรียกความสงสารจากหลิวเหรินกุ้ย หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับตรงหางตาเล็กน้อย ไม่รู้ว่ามีน้ำตาออกมาจริงหรือไม่ ถึงอย่างไร ขณะนี้นางเองก็ของตาแดงก่ำ ทำหน้าน้อยเนื้อต่ำใจแล้วพร่ำบ่นกับหลิวเหรินกุ้ย “ข้าบอกเ้าตั้งนานแล้ว ถึงแม้อดตาย ก็ต้องรีบกลับมา คราวนี้เห็นดีแล้วใช่หรือไม่ แม่โกรธจริงๆ”
ไม่รอให้หลิวเหรินกุ้ยได้ปลอบนาง หลิวซุนซื่อก็หันไปทางหลิวฉีซื่อ “แม่ ลูกสะใภ้รู้ว่าท่านจะพูดเช่นนี้ แต่แม่ไม่ลองคิดดูว่า ลูกสะใภ้กับเหรินกุ้ยกลับมาทุกครั้ง มีครั้งไหนที่ไม่ตอบแทนแม่บ้าง คราวก่อนกลับมา ทั้งที่ในบ้านก็มีเงินทอง แต่แม่ก็ยังให้เป่าเอ๋อร์กินแต่ถั่วหมักที่แห้งสาก”
ขณะพูดก็คว้าหลิวจือเป่าที่กำลังอึ้งอยู่ แล้วโอบเข้าอ้อมกอดพร้อมกับลูบไปมา จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะอื้น “เด็กน้อยที่น่าสงสาร เกิดมาไม่เคยทนทุกข์ กลับถูกย่าเ้าทำให้ถ่ายไม่ออก โชคดีที่อาเ้ายังเอ็นดูลูก เมื่อได้ยินคนเอ่ยถึงเื่นี้ จึงรีบส่งเนื้อหน้าหมูมาให้ได้กินแก้ขัด แต่แม่ล่ะ กลับเลือกแต่สิ่งดีๆ ไว้ให้อาเล็กกิน นี่จะโทษเป่าเอ๋อร์ที่เอาแต่นึกถึงบ้านแม่ข้าก็ไม่ได้”
ทั้งที่นางรู้ว่าหลิวฉีซื่อ้าจับคู่หลิวเสี่ยวหลันให้กับคุณชายน้อยท่านนั้น แต่นางก็บอกความจริงเพียงครึ่งเดียวให้แก่หลิวเหรินกุ้ย ไม่ว่าหลิวเสี่ยวหลันจะไต่เต้าได้สำเร็จหรือไม่ หลิวซุนซื่อไม่ได้ใส่ใจ ที่นางสนใจคือสามารถล้วงเงินจากหลิวฉีซื่อได้เท่าใด
หลิวเหรินกุ้ยได้ยินดังนั้นก็ยิ่งผิดหวังกับผู้เป็แม่ ถึงจะรักใคร่น้องสาวคนเล็กเพียงใด แต่สุดท้ายก็ต้องออกเรือนไป ส่วนบุตรชายของตน ต่อไปจะต้องสืบทอดตระกูลหลิว จำต้องมั่งมีรุ่งโรจน์ ด้วยเหตุนี้ในใจเขาจึงเกิดความไม่พอใจขึ้นมา
ดังนั้นเขาจึงหันไปทางหลิวฉีซื่อ สายตาแฝงด้วยความรำคาญเล็กน้อยแล้วเอ่ย “แม่ ท่านอย่าได้สร้างเื่อีกเลย วันนี้เป็วันพิเศษ คนก็ตายไปแล้ว ต้นไม้ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ บรรพบุรุษก็ตายไปเกิดใหม่แล้ว ในเมื่อลูกชายไม่อยู่ พ่อก็ขึ้นไปไหว้สุสานได้ แต่แม่ของสะใภ้ข้ายังมีชีวิตอยู่ การสานสัมพันธ์คือเื่จำเป็ แม่ ดูสิ ลูกเตรียมผ้าไหมที่สวยงามมาให้แม่ด้วย เหมาะกับเย็บเป็ชุดฤดูร้อน ข้ายังเลือกสีชมพูมาให้หลันเอ๋อร์ด้วย ได้ยินจากเถ้าแก่ร้านผ้าไหมว่า ผ้านี้มาใหม่ในปีนี้ มีเพียงฮูหยินกับคุณหนูในเมืองจึงจะมีสวมใส่”
หลิวเหรินกุ้ยไม่พอใจต่อหลิวฉีซื่อ จึงยิ่งรู้สึกขี้คร้านจะรับมือ พลันเปลี่ยนหัวข้อ แล้ววกเข้ามาที่เื่ของขวัญ
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ก็เข้าถึงใจหลิวฉีซื่อ เห็นได้ว่าสีหน้าของนางดีขึ้น ยิ้มแล้วเอ่ย “ไหนเอามาให้ข้าดูสิ”
หลิวเหรินกุ้ยเห็นว่าแม่ของเขาไม่โกรธอีกต่อไป จึงรีบลุกขึ้นไปหยิบห่อกระดาษสองห่อมาให้หลิวฉีซื่อ
หลิวฉีซื่อฉีเปิดตราผนึกห่อนั้น สีนับว่ามีประกายเจิดจ้า ลูบเนื้อััของผ้าก็นับว่าไม่เลว จึงยิ้มแย้มแล้วเอ่ย “เฮ้อ คนเฒ่าเช่นข้าเหลือเวลาไม่นานก็ต้องลงไปอยู่ในหลุมแล้ว ยังต้องใช้ผ้าคุณภาพดีไปไย สิ้นเปลืองเปล่าๆ ครั้งหน้าไม่ต้องทำเช่นนี้ สู้เก็บเงินไว้ให้จือเอ๋อร์ เป่าเอ๋อร์เย็บชุดดีกว่า”
แม้ปากจะพูดเช่นนี้ แต่มือกลับลูบไม่หยุด เมื่อเห็นว่าเป็ผ้าคุณภาพดีสามผืน ใบหน้าก็เริ่มมีรอยยิ้ม
หลิวซุนซื่ออยากจะบอกว่าที่จริงนางเก็บผืนที่ดีกว่าไว้ให้บุตรชายทั้งสองเรียบร้อย แต่หลิวเหรินกุ้ยส่งสายตาให้นาง นางจึงกลืนคำพูดนี้กลับไป
แต่หาได้มีใครสังเกต หลิวเต้าเซียงที่อยู่ด้านหลังเผยสีหน้าดูแคลน ทีแรกนางรู้สึกว่าผ้าไหมนี้คุ้นตาเหลือเกิน ต่อมาพอนึกอย่างละเอียด ก็จำได้ว่าผ้าไหมนี้มีขายในโรงผ้าไหมตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ? คุณภาพนับว่าดี เพียงแต่ว่า ไม่ใช่ของที่ใหม่ล่าสุด
หลิวฉีซื่อนั้นเป็คนที่เห็นโลกกว้างมานับไม่ถ้วน ในสายตาของนาง ของที่ขายในตำบลไม่มีสินค้าดีๆ ไม่มีทางสู้กับของเมืองใหญ่ที่เจริญได้ หลายปีมานี้ นางไม่ค่อยได้เข้าตำบล ย่อมไม่รู้ หลิวเหรินกุ้ยกำลังกุเื่ให้นางฟัง
สำหรับ ‘ความกตัญญู’ ของหลิวเหรินกุ้ย หลิวฉีซื่อนับว่าพอใจ ขณะเดียวกันความชิงชังที่มีต่อหลิวซุนซื่อก็ลดทอนลงไปหลายระดับ
หลิวเต้าเซียงเห็นว่าภายในห้องเริ่มสมานฉันท์ นี่ทำให้นางไม่มีความสุข เหตุใดบ้านตนเองนั้นทุกข์ แต่บ้านคนอื่นกลับมีความสุข?!
ดังนั้นปากเล็กๆ จึงเอ่ยถามขึ้น “เอ เหตุใดอาสี่จึงไม่ได้กลับมาพร้อมกับลุงรอง? ย่าเขย่งขารออาสี่อยู่หน้าประตูบ้านมาทั้งวัน”
นั่นสิ แล้วลูกชายคนเล็กของนางล่ะ? อารมณ์ของหลิวฉีซื่อเริ่มแย่อีกแล้ว แววตาที่มองผ้าไหมสองผืนนั้น แต่สีหน้ากลับนิ่งขรึมแล้วเอ่ยถาม “วั่งกุ้ยล่ะ? เห็นบอกจะกลับมาพร้อมพวกเ้าไม่ใช่หรือ?”
หลิวเหรินกุ้ยอ้าปากเหวอ เขาลืมเื่นี้ไปได้อย่างไรกัน?
แต่เห็นว่าเขาเป็ใคร? ตัวเขามีชื่อเสียงไปทั่วตำบลเหลียนซาน จึงทำใบหน้ายิ้มแย้มแล้วเอ่ย “แม่ น้องสี่ร่ำเรียนอย่างหนัก อีกอย่าง เทศกาลเชงเม้งสถาบันหยุดเพียงวันเดียว เร่งรีบกลับมา กลัวว่าเขาจะเหนื่อย”
-----