ตอนนั้นย่าอวี๋ร่ำรวยไปด้วยเงินทอง
ที่ดินเกือบครึ่งของซางตูเป็ของตระกูลอวี๋ และย่าอวี๋คือลูกสาวเศรษฐีใหญ่ แน่นอนว่าครอบครัวย่อมส่งเธอไปเรียนหนังสือที่เป่ยผิง
บรรดาเพื่อนนักศึกษามีคนที่ร่ำรวย แต่ที่มีมากกว่าคือคนยากจน
ตระกูลอวี๋ไม่ใช่คนรวยใจดำ สำหรับย่าอวี๋การช่วยเหลือเพื่อนนักศึกษานับว่าเป็การใช้เงินทองไม่มากมายอะไร
เคยช่วยเหลือคนมามากแค่ไหน ย่าอวี๋เองก็จำไม่ค่อยได้แล้ว
แต่พอเซี่ยเสี่ยวหลานเล่าเื่ตระกูลจี้ให้เธอฟัง ‘ผู้เฒ่าจี้’ ที่ว่า ก็คือจี้หวายซินที่เมื่อก่อนเคยเรียนด้วยกันมิใช่หรือ?
จี้หวายซินสมัยเรียนยากจนมาก ย่าอวี๋ไม่เพียงเคยช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันให้กับเขาเท่านั้น เธอยังเคยให้จี้หวายซินยืมเงินเพื่อพาแม่ไปหาหมอ หลังเรียนจบย่าอวี๋กลับไปแต่งงานที่ซางตู และไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนนักศึกษาคนอื่นบ่อยครั้งนัก
มีคนจำบุญคุณของย่าอวี๋ได้ มิเช่นนั้นหลังถูกจับมาวิพากษ์วิจารณ์ต่อหน้าธารกำนัล [1] ตระกูลอวี๋ส่วนหนึ่งคงไม่อาจหนีไปต่างประเทศได้ ทั้งหมดเป็เพราะเคยให้ความช่วยเหลือผู้อื่นมามากมาย คือผลตอบแทนของบุญบารีที่เคยสั่งสมไว้ทั้งสิ้น
แน่นอนว่าย่อมมีคนบางกลุ่มที่ตีตนออกหาก ตอนย่าอวี๋ถึงคราวเคราะห์ อดีตสาวใช้ของเธอยังลุกขึ้นมาชี้หน้าติเตียนเธอเลยด้วยซ้ำ
ย่าอวี๋ไม่เข้าใจ สาวใช้ไม่มีข้าวกินถึงได้มาทำงานให้ตระกูลอวี๋ พอทำงานแล้วก็มีเงินใช้ ตระกูลอวี๋ไม่เคยด่าทอหรือทุบตีใครโดยไร้เหตุผล พออายุถึงเกณฑ์ ย่าอวี๋ยังอนุญาตให้สาวใช้กลับบ้านเกิดไปแต่งงาน พร้อมทั้งยังมอบเงินให้อีกก้อนหนึ่งด้วย
ตอนวิพากษ์วิจารณ์ต่อหน้าธารกำนัล สาวใช้ได้ทำการใส่ร้ายย่าอวี๋อย่างร้ายกาจ ทั้งยังบอกให้ย่าอวี๋ไปทำงานล้างห้องส้วม!
จิตใจมนุษย์ชั่วร้ายแค่ไหน ย่าอวี๋ใช้ชีวิตถึงวัยกลางคนกว่าจะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ตระกูลอวี๋ตกระกำลำบากมาเกือบยี่สิบปี แต่ย่าอวี๋ก็อดทนกัดฟันสู้จนผ่านมันมาได้
เธอลืมเื่ของจี้หวายซินไปนานแล้ว แต่หลังมาถึงปักกิ่งก็พบว่า คนที่ดูิ่เหยียดหยามเซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟินคือลูกสาวของจี้หวายซิน ย่าอวี๋ไม่รู้สึกหวั่นเกรงสักนิด คนอื่นเธออาจจะด่าไม่ได้ ทว่าลูกสาวของจี้หวายซินมีอะไรที่เธอต้องกลัวกัน ต่อให้จี้หวายซินฟื้นขึ้นมายืนอยู่ตรงหน้า เธอก็กล้าด่า!
อยากให้ย่าอวี๋พูดจาให้เกียรติกันก็ไปทำให้จี้หวายซินฟื้นขึ้นมา แล้วคายเงินค่าข้าวที่ย่าอวี๋เคยมอบให้กลับคืนมาให้หมด
ย่าอวี๋พูดจบ คนทั้งห้องต่างพากันตกตะลึง
ทังหงเอินเองก็คาดไม่ถึงว่ามีความเป็มาเช่นนี้ด้วย
จี้หย่าอ้าปากค้าง เธอไม่รู้สักนิดว่าสิ่งที่ย่าอวี๋พูดนั้นเป็เื่จริงหรือโกหก
จี้หลินริมฝีปากสั่นเทา “คะ คุณคือน้าอวี๋...”
จี้หวายซินเคยพูดถึงย่าอวี๋อย่างแน่นอน
ทว่าเขาเคยพูดเื่นี้กับลูกชายคนโตเท่านั้น บอกว่าตระกูลจี้ติดหนี้บุญคุณย่าอวี๋ บุญคุณเหล่านี้เมื่อก่อนจี้หวายซินไม่อาจตอบแทนได้ ตอนหลังเขามีความสามารถที่จะตอบแทน แต่เพราะมีครอบครัวให้ต้องคำนึงถึง แม้แต่ชีวิตคู่ของจี้หย่ากับทังหงเอิน ตระกูลจี้ยังไม่อาจสนับสนุนได้ ดังนั้นมีหรือที่เขาจะกล้ายื่นมือเข้าไปช่วยย่าอวี๋?
“อย่ามาเรียกฉันว่าน้า ฉันไม่มีหลานชายอย่างเธอ”
ย่าอวี๋ไม่ชอบนับญาติกับใคร ก่อนหน้านี้หลิวเฟินเคยทำอาหารให้เธอกิน เธอยังขอจ่ายเงินค่าอาหารเลยด้วยซ้ำ
ทว่าหลังย่าอวี๋กล่าวเื่นี้ขึ้นมา จี้หลินก็หน้าแดงก่ำ เมื่อครู่ที่ย่าอวี๋กับเซี่ยเสี่ยวหลานต่อว่าตระกูลจี้ พวกเธอสองคนเข้าขากันอย่างเป็ปี่เป็ขลุ่ย เขาทำได้แค่รับฟัง และไม่กล้าสวนกลับแม้แต่คำเดียว
ตระกูลจี้ยังติดหนี้บุญคุณย่าอวี๋อยู่
ปัญญาชนย่อมรักหน้าตาของตน ถูกย่าอวี๋ตำหนิซึ่งหน้าเช่นนี้ จี้หลินรู้สึกอับอายเหลือเกิน
“มาพูดเื่ของพวกเราสองตระกูลก่อนดีกว่า นายกทัง ฉันรู้ว่าตอนนี้นายมีอำนาจมาก ตอนนั้นที่จี้หย่าเป็ฝ่ายขอหย่า เป็เพราะวิสัยทัศน์ของตระกูลเราไม่กว้างไกลพอ! เื่ในอดีตตระกูลจี้ไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดี อย่างไรก็ตามความผิดพลาดมีสาเหตุมาจากอดีต ตอนนี้นายอยากจะเอาเื่ก็ย่อมได้... แต่อาหย่าไม่เหมาะกับชีวิตในประเทศจีนจริงๆ อารมณ์ของเธอแปรปรวนมาก ถ้าถูกนายกระตุ้นบ่อยครั้งอาการของเธออาจจะยิ่งรุนแรงขึ้น นายปล่อยให้อาหย่าออกนอกประเทศเถิด มันจะเป็ผลดีกับพวกนายทั้งคู่”
ทังหงเอินไม่ยอมให้จี้หย่าออกนอกประเทศ เพราะเขากลัวจี้หย่าจะพาจี้เจียงหยวนกลับไปด้วย
จี้หลินยังคงรู้สึกโกรธจี้หย่า ทั้งยังกล่าวว่าหากไม่ยอมประนีประนอมก็จะไม่ตามใจจี้หย่าอีก ทว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สนใจสุขภาพของน้องสาว
เขาคงทนดูจี้หย่าสูญเสียการควบคุมทางอารมณ์ไม่ได้
หากไม่้าให้มีตัวกระตุ้นอย่างทังหงเอิน เช่นนั้นให้จี้หย่าใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศคงจะมีอิสระมากกว่า
จี้หลินลอบมองหลิวเฟินพลางคิดในใจ ทังหงเอินพาผู้หญิงคนนี้มาด้วย เพราะ้าประกาศสถานะหรืออย่างไร... เขาไม่เข้าใจสายตาการเลือกคนของทังหงเอินเลยจริงๆ ผู้หญิงคนนี้ห่างชั้นกับจี้หย่าหลายพันเท่า และจี้หลินก็คิดว่า ผู้หญิงคนนี้คงไม่้าให้จี้หย่าอยู่ประเทศจีนเช่นกัน
จี้หย่าจะออกนอกประเทศหรือไม่ ทังหงเอินไม่สนใจ
“คุยเื่เจียงหยวนดีกว่าครับ”
ั้แ่จี้เจียงหยวนเข้ามา เขายังไม่ได้พูดอะไรสักคำ
ไม่ว่าใคร เขาก็ไม่ปรายตามองสักนิด
ประโยคนี้ของทังหงเอิน ทำให้จี้เจียงหยวนต้องเงยหน้าขึ้นมา สายตาของคนทั้งห้องจับจ้องมาที่เขา
จี้เจียงหยวนชินกับการตกเป็เป้าสายตา ตอนอยู่อเมริกาและหลังกลับมาที่จีน เขาเป็คนดังมาโดยตลอด ทว่าสถานการณ์แบบนี้จะให้เขาเป็คนตัดสินใจก็ดูเหมือนมันจะยากเกินไป
คืนนั้นสองพ่อลูกคุยกันอย่างเปิดอก จี้เจียงหยวนรู้ดีว่าขอแค่ตนอยากไปต่างประเทศ ทังหงเอินที่ยังคงรู้สึกผิดกับเขา ย่อมเคารพการตัดสินใจของเขาอย่างแน่นอน
จี้เจียงหยวนไม่เคยบอกเื่ที่เกิดขึ้นนี้กับใคร เพราะสิ่งที่แม่ของเขาทำกับเซี่ยเสี่ยวหลานมันเกินไป อีกทั้งแม่ของเขายังไม่ยอมขอโทษ
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เขารู้ดีว่าการตัดสินใจครั้งนี้ ไม่ได้เป็เพียงการตัดสินาประสาทระหว่างพ่อกับแม่ แต่ยังเป็การตัดสินอนาคตของเขาอีกด้วย
หากคิดถึงสุขภาพของจี้หย่า เขาควรตัดสินใจกลับอเมริกาไปพร้อมกับจี้หย่าอย่างไม่ลังเล
นี่คือทางเลือกที่ดีที่สุดกับพวกเขาสองแม่ลูก และเป็การตอบแทนบุญคุณของตระกูลจี้... แต่ก็เหมือนที่ทังหงเอินเคยบอก แล้วความ้าของตัวเขาเองล่ะ? คนเรามีชีวิตอยู่ได้แค่ไม่กี่สิบปี จะใช้ชีวิตดั่งใจหวังไม่ได้เลยหรือ?
“ผมอยากเรียนปริญญาตรีที่ประเทศจีนจนจบครับ”
ในที่สุดจี้เจียงหยวนก็เปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก
จี้หลินรู้สึกผิดหวัง คนอื่นอยากไปต่างประเทศใจจะขาด แต่หลานชายของเขากลับอยากอยู่ที่จีน แค่ระยะเวลาสั้นๆ เด็กคนนี้ก็ถูกทังหงเอินเกลี้ยกล่อมสำเร็จแล้วอย่างนั้นหรือ เขาประเมินความหนักแน่นของหลานชายตนเองสูงเกินไป และประเมินความสามารถในการหลอกล่อผู้อื่นของทังหงเอินต่ำเกินไปเช่นกัน
“ไม่ได้ ลูกต้องกลับไปกับแม่!”
ลูกชายไม่กลับ แล้วเธอจะกลับอเมริกาไปทำไม?
จี้หย่าหน้าซีดยิ่งกว่าเดิม แววตาที่ใช้มองทังหงเอินเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“ทั้งหมดก็เพราะคุณ ทำไมต้องมาหาพวกเราด้วย เจียงหยวนไม่้าคุณ คุณเป็พ่อที่ไม่เคยทำหน้าที่ของตัวเอง ถ้าตอนนั้นคุณคิดถึงเจียงหยวนสักหน่อยก็คงจะไม่... คุณไม่ควรโผล่หน้ามาให้เราสองแม่ลูกเห็นอีก!”
เธอไม่ได้ตัดสินใจผิดพลาด
เธอจะผิดได้อย่างไร
ภรรยาของจี้หลินกอดเธอแน่น “น้องเล็ก น้องบอกว่าวันนี้จะคุยกันดีๆ ไม่ใช่หรือ”
การด่าทอและอาละวาดไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ ตอนนี้ทังหงเอินเป็คนที่จี้หย่าสามารถด่ากราดตามใจชอบได้หรือ?
ประนีประนอมกับทังหงเอิน หรือไม่ก็ขอโทษเซี่ยเสี่ยวหลานต่อหน้าทุกคน ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ตระกูลจี้ถึงจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากทั้งสองฝั่ง จี้หย่าเลือกที่จะเจรจากับทังหงเอิน ดังนั้นป้าสะใภ้จี้จึงรู้สึกว่าเธอควรทำให้ได้อย่างที่รับปากไว้
ทังหงเอินมีสีหน้าเรียบเฉย
จี้หย่ากล่าวโทษเขา เพราะเื่ที่ตอนนั้นเขาไม่ยอมขายเ้านายตัวเองเพื่อแลกกับชีวิตที่สงบสุข
“เขาเป็ลูกชายของผมทังหงเอินคนนี้ ในอนาคตทุกอย่างที่ผมได้มาก็จะเป็ของเขา ในเมื่อเป็เช่นนี้ เขาก็ควรแบกรับความเสี่ยงทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้น! จี้หย่า ต่อให้ตอนนั้นผมเลือกทางผิด ไม่มีโอกาสกลับมารับตำแหน่ง ผมก็ไม่รู้สึกเสียใจภายหลัง ตอนนี้เจียงหยวนเลือกที่จะเรียนต่อปริญญาตรีที่ประเทศจีน ผมจะไม่ก้าวก่ายว่าหลังเรียนจบแล้วเขาจะทำงานอะไร ทว่าตอนนี้ทุกคนต้องเคารพการตัดสินใจของเจียงหยวน เขาคือลูกชายของทังหงเอิน เขาสามารถเลือกชีวิตของตัวเองได้ ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิขัดขวางเขา!”
เขาจะคุยกับตระกูลจี้ให้มากความไปทำไม?
คนที่อยากประนีประนอมคือตระกูลจี้ และหนึ่งในเงื่อนไขของการประนีประนอมก็คือต้องเคารพการตัดสินใจของจี้เจียงหยวน!
ทังหงเอินชี้ไปที่เซี่ยเสี่ยวหลานกับหลิวเฟิน “เงื่อนไขที่สองของการประนีประนอมคือ จี้หย่าต้องขอโทษพวกเขาสองคน!”
เชิงอรรถ
[1] คือการจับกุมบุคคลหรือนำปัญหาใดปัญหาหนึ่งมาวิพากษ์วิจารณ์ต่อหน้าสาธารณชน และร่วมกันประณามข้อผิดพลาดหรือความผิดที่บุคคลนั้นได้ก่อขึ้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้