แเื่เริ่มหนาแน่นตามดวงตะวันที่โตขึ้นทีละน้อย
เฉียวเยว่กับฉีอันนั่งอยู่ด้านข้างดูราวกับตุ๊กตาคู่น่ารักในภาพเขียนปีใหม่
พอเห็นคนเริ่มมากขึ้น เฉียวเยว่ก็รู้สึกตาลาย สตรีออกเรือนแล้วเหล่านี้บ้างก็มาจากจวนโหว บ้างก็เป็ฮูหยินของผู้มีบรรดาศักดิ์ชั้นสูง บ้างก็เป็ภรรยาขุนนางใหญ่ นางรู้สึกปวดหัวจริงๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยว่า "ิเยว่ เ้าพาคุณหนูสามสี่ท่านไปเดินชมให้รอบๆ ยามนี้ทิวทัศน์กำลังงดงาม แม้ในจวนของเราเทียบกับข้างนอกไม่ได้ ทว่าแต่ละจวนย่อมมีสิ่งที่แตกต่างกัน มองแล้วสดชื่นเจริญตา"
ิเยว่ทั้งอ่อนโยนและรู้มารยาท นางอมยิ้มแล้วลุกขึ้น "เช่นนั้นพี่สาวน้องสาวทุกท่านตามิเยว่ไปเดินกันสักรอบดีหรือไม่?"
ทุกคนนั่งที่นี่ต่างรู้สึกเกร็ง ได้ออกไปผ่อนคลายเดินชมรอบๆ ก็ดีเหมือนกัน
เฉียวเยว่แกว่งเท้าสั้นๆ ะโลงพื้นตามไปด้วย "ท่านย่า พวกเราไปด้วยนะเ้าคะ"
ช่างน่ารักเหลือเกิน
นึกแล้วว่าแม่หนูน้อยคนนี้ต้องนั่งไม่ติด
ฮูหยินผู้เฒ่าทอยิ้ม "ไปเล่นเถอะ ระมัดระวังตัวด้วย อย่าวิ่งซี้ซั้ว"
เฉียวเยว่รับคำ
"จะว่าไป ฝาแฝดสองคนนี้ก็อยู่ เหตุใดอาอิ่งไม่อยู่เล่า?" ฮูหยินใบหน้ากลมเกลี้ยงท่านหนึ่งซึ่งคุ้นเคยกับไท่ไท่สามเป็อย่างดีถามขึ้น "คิดถึงนางอยู่นะเนี่ย"
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มน้อยๆ "พอดีจ้าวอ๋องกลับมาจากเจียงหนาน พ่อตาของเขาไหว้วานให้ส่งของมาให้ เ้าสามสองสามีภรรยาไม่ได้พบบิดาและพี่ชายของนางนานแล้ว คงจะมีเื่คุยกันมากมาย"
ฮูหยินใบหน้ากลมออกปาก "นั่นก็สมควรยิ่งแล้ว"
หลังจากนั้นก็หัวเราะ "จะว่าไปปีนั้นอาจารย์ฉีเคยกล่าวว่าจะไม่รับลูกศิษย์อีก ไม่น่าเชื่อว่าจ้าวอ๋องจะเป็ข้อยกเว้น แต่ภายหน้าจะมีคนโชคดีเช่นนี้อีกหรือไม่ก็สุดรู้ได้"
เฉียวเยว่หูผึ่งฟังความ ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางพิรี้พิไรไม่เดินไปเสียที ก็กระแอมทีหนึ่ง ขาน้อยๆ ก็วิ่งฉิวออกประตูไปไม่เห็นฝุ่น
เสียงหัวเราะดังออกมาจากในห้อง
เฉียวเยว่วิ่งตามคนกลุ่มใหญ่มา เห็นพี่สาวที่โตแล้วแต่ละคนล้วนสุภาพเรียบร้อยมีมารยาทอย่างยิ่ง นางจึงเลียนแบบท่าทางของพวกนางบ้าง
ิเยว่เดินอยู่หน้าสุด แนะนำด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "ทางนี้เป็สวนดอกไม้ของจวนเรา เดินไป..."
เสียงเล็กๆ ของเฉียวเยว่กล่าวขึ้นว่า "พี่หญิงใหญ่ ใครจะอยากรู้ว่าในสวนดอกไม้เป็อย่างไรบ้าง ข้าคิดว่านั่งอยู่ในศาลา จิบชาคุยกันดีกว่า พี่สาวทุกท่านคิดเห็นเช่นไร?"
การเชื้อเชิญครานี้มีหญิงสาวหกเจ็ดคน อายุประมาณสิบสามสิบสี่ วัตถุประสงค์ไม่ต้องบอกก็เป็ที่เข้าใจกันดี
หรงเยว่พูดขัดคอ "ประเด็นสำคัญของประโยคที่เ้าพูดก็คือการกินขนมใช่หรือไม่?"
เฉียวเยว่ยิ้มตาหยี พยักหน้าอย่างรวดเร็ว ตอบอย่างตรงไปตรงมา "พวกท่านล้วนแต่ผอมมาก กินขนมนิดหน่อยจะได้มีแรงเดินเล่นกันต่อ"
คุณหนูชุยหนึ่งในนั้นยิ้มกล่าวว่า "แล้วถ้าพวกเราฟังเ้า ขนมอะไรอร่อยที่สุดในจวนของพวกเ้าหรือ?"
นี่คือการแกล้งหยอกเย้าเฉียวเยว่
เฉียวเยว่ตอบทันควัน "เยอะเลย"
นางกางนิ้วออกแล้วท่องทีละอย่าง "จวนของพวกเรามีขนมอบไส้สับปะรด ขนมฝูหรง ขนมเปี๊ยะแปดอย่าง ขนมซานจา... สรุปแล้วมีเยอะมาก พวกเรากินขนม ดื่มชาจวี๋ฮวาแก้เลี่ยน ยอดเยี่ยม!"
นางตบพุงน้อยๆ ของตนเอง นำเสนออย่างสัตย์ซื่อ
คุณหนูชุยมีแต่น้องชายซุกซน ไหนเลยจะเคยเห็นตุ๊กตาน้อยแก้มชมพูน่ารักเช่นนี้
นางกลับไม่เกรงใจ เอ่ยปากขึ้นทันที "เช่นนั้นก็ฟังน้องสาวตัวน้อยแล้วกัน เ้าชื่ออะไร"
"เฉียวเยว่ ข้าชื่อเฉียวเยว่ นี่คือน้องชายข้าฉีอัน"
เฉียวเยว่ทำท่าขยิบตา "ฉีอัน เ้าไปเล่นกับพวกพี่ชายนะ"
พวกเขาแบ่งหน้าที่กันสืบข่าว
ในฐานะแฝดพี่แฝดน้อง เพียงพริบตาเดียวฉีอันก็เข้าใจความหมายของเฉียวเยว่
เขาวิ่งผละจากไปทันที
"ข้ารู้มาว่าพวกเ้าสองคนเป็แฝดัหงส์ แต่ดูไม่เห็นคล้ายกันเลยนะ"
เฉียวเยว่พยักหน้า "แน่นอน เพราะข้าสวยกว่า"
ทุกคนเดินเข้าไปในศาลาหลังเล็ก จะว่าบังเอิญหรือจงใจก็สุดรู้ แต่พวกนางเห็นซูเจี้ยนอันนำพาคุณชายอีกสองสามท่านเดินเล่นอยู่ในสวน
ดูท่าพี่เจี้ยนอันจะไม่ได้รั้งอยู่ที่เรือนของบิดานางนานเท่าไรนัก
ไม่ช้าขนมก็พร้อมขึ้นโต๊ะ ทุกคนต่างนั่งล้อมเป็วงกลม เฉียวเยว่มองไปรอบๆ ทั้งหมดสิบคนพอดี พี่สาวที่เกิดจากอนุภรรยาของบ้านนางล้วนไม่อยู่ อิ้งเยว่พี่สาวของนางก็ไม่อยู่ เหลือแต่ิเยว่ของเรือนใหญ่ หรงเยว่ของเรือนสอง แล้วก็นาง
เฉียวเยว่เป็ฝ่ายริเริ่มรินน้ำชาให้กับพี่สาวทุกคน คุณหนูหวังซึ่งไม่ค่อยพูดคุยกับใครเหยียดริมฝีปาก คล้ายจะดูิ่เฉียวเยว่
แต่คุณหนูชุยกับยิ้มแย้มแจ่มใส ลูบมือน้อยๆ ของเฉียวเยว่ แล้วเอ่ยว่า "ดียิ่ง สาวน้อยเฉลียวฉลาดเช่นนี้ช่างน่ารักจริงๆ"
รู้สึกเหมือนตกหลุมรักในชั่วพริบตา
เฉียวเยว่รับผ้าจากสาวใช้มาเช็ดมือ แล้วหยิบขนมขึ้นมาชิ้นหนึ่ง "ข้าช่วยชิมแทนพวกท่าน"
จากนั้นก็ยัดใส่ปาก
คุณหนูอีกคนหัวเราะพรืดออกมา ก่อนถามว่า "อร่อยไหม?"
เฉียวเยว่ขบริมฝีปาก "ยังไม่ค่อยรู้รส ข้าขอเปลี่ยนไปชิมอีกอัน"
ท่าทางแบบนี้สุดจะทนดูได้จริงๆ
ิเยว่รั้งน้องเจ็ดของตนเองไว้แล้วบอกว่า "อย่ากินเยอะ ยังต้องกินมื้อเที่ยงอีกนะ"
เฉียวเยว่ตบพุงน้อยๆ อย่างภาคภูมิใจ "พี่หญิงใหญ่วางใจเถอะ ข้ากินไหว"
ทุกคนต่างหัวเราะกันครืน
ิเยว่ทำเสียงดุ "ข้าไหนเลยจะไม่รู้ว่าเ้ากินไหว แต่กลัวเ้าจะกินเยอะจนท้องอืดมากกว่า นะเฉียวเยว่คนดี"
เฉียวเยว่เม้มปาก "เ้าค่ะ" แล้วยกน้ำชาขึ้นมาจิบหนึ่งคำ
คุณหนูชุยถามอย่างตรงไปตรงมา "เฉียวเยว่ พี่สาวเ้าเล่า?"
แม้ว่านางจะอายุมากกว่าซูอิ้งเยว่สองสามปี แต่แวดวงของหญิงสาวในเมืองหลวงมีขอบเขตจำกัด พวกนางย่อมเคยพบกันมาก่อน
จะว่าไป คุณหนูห้าซูอิ้งเยว่แห่งจวนซู่เฉิงโหวก็นับว่าเป็คนที่แปลกประหลาด แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยไปมาหาสู่กับบุตรสาวของตระกูลไหน นางมักไปไหนมาไหนคนเดียว เห็นนางมีเื่ยุ่งอยู่ทุกวันราวกับต้องแข่งกับเวลา ได้ยินมาว่าชายหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดที่กำลังศึกษาอยู่ที่กั๋วจื่อเจียนยังมีความรู้สู้นางไม่ได้
เฉียวเยว่ตอบอย่างภาคภูมิใจ "พี่สาวข้าเก่งกล้าสามารถขนาดนั้น ย่อมกำลังเรียนอยู่" นางเอ่ยเสียงหวาน "พี่จ้าวอ๋องมาเยือน พี่สาวข้าไปฟังเขาถ่ายทอดเกี่ยวกับความรู้ ประเพณีและวัฒนธรรมของคนในท้องถิ่น"
หากเป็สตรีอื่นทำเช่นนี้ แปดส่วนต้องถูกวิจารณ์ว่าคิดมักใหญ่ใฝ่สูง หรือเสแสร้งแกล้งทำ
แต่พอเป็ซูอิ้งเยว่ กลับรู้สึกว่าเป็สิ่งที่สมเหตุสมผล
"คุณหนูห้าใฝ่ศึกษาจริงๆ"
เฉียวเยว่พยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก "พี่สาวข้าเก่งมาก ข้าโตไปก็อยากเป็เหมือนนาง"
"แท้จริงแล้วสิ่งสำคัญสำหรับสตรีคือการอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ไม่ทำให้ผู้าุโในครอบครัวฝ่ายสามีวิตกกังวล สามารถทำให้พวกเขาสบายใจเมื่อออกไปทำงานนอกบ้านได้ นี่ถึงจะเป็สิ่งที่ถูกทำนองคลองธรรม การร่ำเรียนหนังสือเป็เพียงการเติมบุปผาบนดิ้นแพร แม้จะสำคัญ แต่หาใช่สำคัญที่สุด" คุณหนูเจียงซึ่งเงียบมาโดยตลอดเอ่ยเสียงเบา
"สำคัญก็คือจะมีใครสักกี่คนที่เก่งกาจเหมือนคุณหนูห้าสกุลซู" คุณหนูฟางเอ่ย
"มันขึ้นอยู่กับว่าศึกษาค้นคว้าแค่ไหน บางคนให้ความสำคัญกับความรู้ ย่อมจะฉลาดเฉียบแหลมเป็ธรรมดา เพียงแต่ข้ารู้สึกว่าชีวิตแบบนี้ไม่แน่ว่าจะดี พิณหมากอักษรภาพสุราบุปผา ล้วนต้องัับ้าง หากเอาแต่ร่ำเรียน ขาดความรื่นรมย์ในชีวิต ข้ารู้สึกว่านี่ไม่ใช่ชีวิตที่ดีนัก
ทุกคนต่างผลัดกันแสดงความคิดเห็นคนนั้นประโยค คนนี้ประโยค
เฉียวเยว่กลับไม่พูดไม่จา มืออวบน้อยๆ เอื้อมไปหยิบขนมอีกชิ้นมากิน เป็ชิ้นที่สอง
"กระต่ายอ้วนน้อย เ้ายังจะกินอีกหรือ" หรงเยว่เปิดโปงนาง
เฉียวเยว่ยิ้มอย่างประจบสอพลอ แล้วทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ นางปัดๆ มือแล้วลุกขึ้นยืน "ข้าเป็ห่วงฉีอัน ข้าจะไปดูเขาหน่อย"
"เ้าไปเองได้หรือ?" ิเยว่เอ่ยถาม
เฉียวเยว่ยืดอก "แน่นอนอยู่แล้ว นี่เป็บ้านของข้า ข้ายังต้องกลัวหลงทางหรือ อีกอย่างอวิ๋นเอ๋อร์ก็อยู่ด้วย"
อวิ๋นเอ๋อร์จูงมือน้อยๆ ของเฉียวเยว่ "คุณหนูทุกท่านโปรดวางใจ บ่าวจะดูแลคุณหนูเจ็ดเองเ้าค่ะ"
แล้วจูงนางเดินลงบันไดทีละขั้น
อวิ๋นเอ๋อร์เห็นนางเดินช้ามากเพราะขาสั้น กลัวว่านางจะหกล้มจึงถามว่า "ให้อวิ๋นเอ๋อร์อุ้มดีหรือไม่เ้าคะ"
เฉียวเยว่ปฏิเสธ "ไม่เอา ข้าจะเดินเอง"
นางลงบันไดมา ก็เห็นทุกคนกำลังเพลิดเพลินกับการชมทิวทัศน์ริมทะเลสาบ
ซูเจี้ยนอันได้ยินเสียงเท้าวิ่ง ก็หันมาเห็นน้องสาวญาติผู้น้อง จึงย่อตัวนั่งลงมาที่พื้น กระต่ายอ้วนตัวน้อยโผเข้าสู่อ้อมแขนของเขาพลางหัวเราะคิกคัก "พี่ใหญ่ข้ามารายงานข่าวให้พวกท่าน"
ซูเจี้ยนอันงุนงงเล็กน้อย เอ่ยถามว่า "รายงานข่าวอันใด?"
เฉียวเยว่ทอยิ้มอย่างมีเลศนัย ดวงหน้าจ้ำม่ำเมื่อทำท่านี้ก็ชวนให้คนเห็นรู้สึกขบขัน ซูเจี้ยนอันบีบแก้มของนาง แล้วถามอีกว่า "ใบหน้าของเ้าเป็ตะคริวหรือ?"
เฉียวเยว่แค่นเสียงหึ ทำท่าสั่งสอนราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย "พี่ชาย ท่านไม่ประสีประสาเช่นนี้ อาจต้องครองโสดไปทั้งชาตินะเ้าคะ"
พรืด!
"เจี้ยนอัน นี่คือเด็กน้อยเรือนสามบ้านเ้าหรือ?" คนผู้นั้นมองฉีอันกับเฉียวเยว่อย่างพินิจ "คล้ายกันมากจริงๆ"
เฉียวเยว่รู้สึกว่ามุมมองในเื่ความงามของบุรุษกับสตรีช่างแตกต่างกันเหลือเกิน เมื่อครู่ยังมีคนพูดว่านางไม่เหมือนกับฉีอันอยู่เลย
"ยายหนูน้อยตัวกลม เรียกข้าว่าพี่ชายสิ"
ชายหนุ่มดวงตาดอกท้อ [1] เอื้อมมือมาจะจับแก้มของเฉียวเยว่ ซูเจี้ยนอันพลิ้วตัวหลบ ทำให้เขาััได้แต่อากาศ จากนั้นก็ทำสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม "เจี้ยนอัน เ้ากลัวว่าข้าจะทำอะไรหรือ?"
เฉียวเยว่ชะโงกศีรษะน้อยๆ ออกมา ตอบอย่างจริงจัง "ชายหญิงมิควรใกล้ชิด"
"พรืด" ทุกคนต่างหัวเราะขบขัน "ชายหญิงมิควรใกล้ชิด! ซาลาเปาน้อยเอ๋ย ใครจะไปสนใจเ้ากัน ดูซิ ทั้งตัวมีแต่เนื้ออ้วนกลมไปหมด"
เฉียวเยว่หน้าดำทะมึน "ท่านลุงผู้นี้น่าชังนัก"
ชายหนุ่มดวงตาดอกท้อแทบจะทรุด "น้องสาวตัวกลม นี่เ้า นี่เ้าเรียกข้าว่าลุงได้อย่างไร ทำไมข้าถึงกลายเป็ลุงไปแล้ว ข้าดูแก่ขนาดนั้นเลยหรือ?"
เฉียวเยว่ทำหน้าไร้เดียงสา "ท่านไม่ต้องเป็ห่วง พี่ใหญ่ของข้าไม่รังเกียจคนแก่ เขายังเป็สหายกับท่านเหมือนเดิม"
"จะ...จะ... เ้า! เจี้ยนอัน น้องสาวตัวกลมของเ้ารังแกข้า"
เจี้ยนอันยิ้มมุมปาก ค่อยๆ กล่าวว่า "เฉียวเยว่ของพวกเราไร้เดียงสาเพียงนี้ ไหนเลยจะรู้อะไรมากมาย เด็กยังเล็ก เห็นอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น"
ชายหนุ่มดวงตาดอกท้อ "นี่...."
"พี่กู้ เด็กยังเล็กน่า! ท่านใจเย็นๆ อย่าทำให้เด็กใ" บุรุษในชุดขาวสะอาดยืนโบกพัดจีบ
เฉียวเยว่เพียงแค่มองดูปราดหนึ่ง แล้วซบบนตัวของซูเจี้ยนอัน
ฉีอันที่อยู่ด้านข้างไม่ยอมน้อยหน้า "พี่ใหญ่อุ้มข้าด้วยสิ"
ชายหนุ่มดวงตาดอกท้อหัวเราะเยาะ "พี่ใหญ่ของเ้าอุ้มเด็กอ้วนคนเดียวก็เหนื่อยแทบตายแล้ว หากอุ้มเ้าอีกคน เขาไม่ทรุดลงไปกองเลยรึ"
ฉีอันเถียง "ไม่สักหน่อย พี่ใหญ่ของข้ามีแรงเยอะมาก พี่ชายิ่ยังอุ้มข้าข้างหนึ่ง อุ้มเฉียวเฉียวข้างหนึ่งได้เลย พี่ใหญ่โตกว่าพี่ชายิ่ ก็ต้องได้เหมือนกันสิ"
เมื่อเอ่ยถึงิ่จื้อรุ่ย ทุกคนต่างเงียบกริบกันหมด
เฉียวเยว่เอียงคอ "พี่ชายิ่เกิดอะไรขึ้นหรือ?"
…
[1] ดวงตาดอกท้อคือ ดวงตายาว ขนตายาว หัวตาแหลม ตาสองชั้นชัด เส้นหางตาโค้งลงมานิดๆดูอ่อนช้อย รูปทรงคล้ายกับกลีบดอกท้อ บริเวณตาดำและตาขาวไม่ได้ตัดกันคมชัด แต่จะดูฉ่ำเยิ้มคล้ายกับกำลังเมาหรือสะลึมสะลือตอนตื่น ดูเย้ายวนมีเสน่ห์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้