ร่างเล็กของมู่จื่อหลิงเคลื่อนตัวไปยังมุมผนังถ้ำพยายามไม่เด่นสะดุดตาอย่างสบายๆ
จากนั้นนางจึงหยิบขวดสีดำขนาดใหญ่ออกมาจากระบบซิงเฉิน
ก่อนที่มู่จื่อหลิงจะย้อมชุดธรรมดาที่นางสวมให้กลายเป็สีดำอย่างรวดเร็ว แม้แต่หน้ากาก ใบหน้าและมือที่เปลือยเปล่าก็ยังถูกย้อมเป็สีดำ
ในเวลาไม่ถึงอึดใจ ร่างของมู่จื่อหลิงก็ดำคล้ำ เว้นแต่ดวงตาใสกระจ่างคู่หนึ่ง นางในยามนี้ตัวดำยิ่งกว่าคนผิวดำเสียอีก
ด้วยวิธีนี้ นางพยายามทำตัวให้กลมกลืนกับถ้ำสีเทาให้มากที่สุด เพื่อลดความรู้สึกว่านางอยู่ในถ้ำในยามนี้
หลังจากปกปิดตนเองแล้ว มู่จื่อหลิงก็ก้าวเดินไปที่กองซากค้างคาวเืแดงอย่างระมัดระวัง
เพียง่เวลาสั้นๆ จากการสังเกตโดยรอบ นอกเหนือที่มู่จื่อหลิงจะพบว่าค้างคาวเืแดงกลุ่มนี้ชอบน้ำยาหลิงอวิ้นมากแล้ว
นางยังสังเกตอย่างระมัดระวัง จนพบว่าพวกมันยังไวต่อเสียงอื่นนอกเหนือจากเสียง ‘น้ำตก’ ที่ไหลเชี่ยวเป็อย่างมาก แม้แต่เสียงลมและหญ้าเพียงเล็กน้อยก็อาจดึงดูดความสนใจของพวกมันได้
ในขณะนั้น มู่จื่อหลิงพยายามใช้ก้าวเล็กๆ ไร้เสียง เดินเข้ามาใกล้อย่างเงียบๆ ส่งเสียงให้น้อยที่สุด
ก่อนหน้านี้ เหตุที่มู่จื่อหลิงราดน้ำยาหลิงอวิ้นลงบนศพของเด็กหนุ่มทั้งสองก็เพื่อใช้วิธีนี้เป็เหยื่อล่อค้างคาวเืแดง
เนื่องจากยามนี้นางกำหนดได้แล้วว่าจะต้องกำจัดศพที่เป็ต้นเหตุของโรคระบาดให้สิ้น อีกทั้งยาตัวสุดท้ายคือเืพิษของค้างคาวเืแดง เมืองหลงอันมีผู้คนหลายแสน ย่อมต้องใช้เืค้างคาวจำนวนมากในการทำยา
วิธีที่มู่จื่อหลิงคิดจะใช้จัดการกับเ้าตัวบ้าๆ เหล่านี้ ก็คือการทำให้ฝูงค้างคาวเืแดงรวมตัวกันกองเป็ูเาอย่างที่เป็อยู่ยามนี้
ดังในเวลานี้ที่ค้างคาวเืแดงรวมตัวกันอยู่
จากนั้นสิ่งที่มู่จื่อหลิง้าคือ ‘จับพวกมันทั้งหมดพร้อมกัน’ นำพวกมันทั้งหมดใส่ในระบบซิงเฉิน นี่เป็เหตุผลที่มู่จื่อหลิงไม่ให้กุ่ยเม่ยตามมา
ต้องรู้ว่า แม้ว่ายามนี้นางจะปกปิดตนเองเป็อย่างดี แต่ยามการเข้าใกล้ค้างคาวเืแดงจำนวนมาก ก็ยังถือว่ามีความเสี่ยงสูง
ในยามนี้ไม่อาจเร่งรีบหรือเชื่องช้าจนเกินไป ต้องจับจังหวะเวลาอย่างเหมาะสมไม่อาจปล่อยให้คลาดเคลื่อนได้แม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม การคำนวณของมู่จื่อหลิงค่อนข้างแม่นยำ นางคำนวณ่เวลาที่นางเข้าใกล้กลุ่มเมฆดำ ตามเวลาที่คำนวณไว้ว่าผลการดึงดูดของน้ำยาหลิงอวิ้นจะสิ้นสุดลง
ยามนี้นางอยู่ห่างจากฝูงค้างคาวเืแดงกว่าสองมี่ มันเป็ระยะอันตรายที่เข้าใกล้เส้นความเป็และความตาย
อย่างไรก็ตาม เป็เวลานานก่อนที่ค้างคาวเืแดงจะพบนาง มู่จื่อหลิงกลั้นหายใจ จัดการอย่างรวดเร็ว โบกแขนเสื้อของนางขึ้น
ในชั่วพริบตาค้างคาวเืแดงที่กองอยู่บนเนินเขาสองลูกตรงหน้าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย พวกมันทั้งหมดถูกมู่จื่อหลิงส่งไปยังพื้นที่เลี้ยงพิษของระบบซิงเฉิน
กระบวนการนี้ดูเหมือนจะยาวนานน่าตื่นตา แต่มันเกิดขึ้นเพียงแวบเดียวเท่านั้น
ไม่มีอันตรายใดๆ ภารกิจเสร็จสิ้นในคราวเดียว เสร็จสิ้นอย่างราบรื่น
ยามมองไปที่สถานที่เดิมอีกครั้ง ตรงนี้เหลือเพียงศพเปื้อนเืสองศพ แม้แต่พื้นดินตรงจุดที่เทน้ำยาหลิงอวิ้นก็ยังถูกกลุ่มค้างคาวเืแดงที่ทรงพลังขุดเป็หลุมลึก
มู่จื่อหลิงหลับตา ทะลวงเข้าไปในระบบซิงเฉินอย่างมีสติ มองดูผลงานชิ้นเอกของนางด้วยความพึงพอใจ
ค้างคาวเืแดงที่แต่เดิมน่ากลัว ยามนี้นางเก็บไว้ในระบบซิงเฉินทั้งหมด พวกมันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป
แม้ว่าพิษในตัวค้างคาวเืแดงจะยังไม่อาจตรวจสอบได้ แต่ขอแค่เป็ยาพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิษที่ไม่รู้จักและยากเช่นนี้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็สมบัติสำหรับมู่จื่อหลิง
มู่จื่อหลิงเฝ้าดูมันอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงออกจากระบบซิงเฉิน กลับสู่ความเป็จริง
......
ั้แ่กุ่ยเม่ยเห็นมู่จื่อหลิงเข้าไปในถ้ำเพียงลำพัง หัวใจของเขาก็ไม่เคยสงบสุขเลย
แม้มู่จื่อหลิงจะบอกว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เขาก็ยังกลัวจนแทบเสียสติ
เขารู้ดีกว่าใครว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นในถ้ำ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้ใจหวางเฟย แต่ข้างในนั้นอันตรายมากจริงๆ!
นางเป็เพียงสตรีที่ไม่มีแรงแม้แต่จะมัดไก่จะรับมือได้อย่างไร?
ดังนั้นหลังจากมู่จื่อหลิงใช้ผงเส้นเอ็นกับเขา กุ่ยเม่ยจึงได้รวบรวมพลังของตน พยายามอย่างหนักที่จะคลายผงเส้นเอ็นบนร่างออก
หากเป็ผงเส้นเอ็นธรรมดา ย่อมไม่อาจยับยั้งกุ่ยเม่ยได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้กุ่ยเม่ยโกรธมากที่สุดก็คือสิ่งที่มู่จื่อหลิงใช้กับเขานั้นไม่ใช่ผงเส้นเอ็นธรรมดา เขาใช้ความพยายามอย่างมากแต่เขาก็ยังติดอยู่ที่เดิม ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ
เนื่องจากมู่จื่อหลิงเคยตรวจสอบร่างกายที่ดื้อรั้นและไม่ยอมแพ้ของกุ่ยเม่ยมาก่อน อีกทั้งมู่จื่อหลิงจะไม่ใช้ยาที่ด้อยคุณภาพ เนื่องจากนางไม่ชอบ
ยาที่จะนำมาใช้ จะต้องทำให้คนเชื่องได้เท่านั้น พิษของมู่จื่อหลิงไม่เคยมีสิ่งที่ธรรมดา มีเพียงคุณภาพสูงเท่านั้น
ในยามนี้กุ่ยเม่ยกระวนกระวายราวมดบนกระทะร้อน
ยามกุ่ยเม่ยกำลังจะใช้พลังเฮือกสุดท้ายของเขาเพื่อปลดปล่อยผลกระทบของผงเส้นเอ็นบนร่าง ทันใดนั้นเงาดำก็ปกคลุมใบหน้าของเขา
แม้ว่าเขาจะถูกผงเส้นเอ็นโจมตี แต่จิติญญาจากการระวังอันตรายก็ไม่ได้อ่อนแอลงเลย
เนื่องจากผงเส้นเอ็น เขาจึงขยับไม่ได้ แม้กระทั่งหัวก็ยกไม่ขึ้น จึงมองไม่เห็น แต่ในชั่วพริบตา ั์ตาปีศาจฉายแววอาฆาต
กลิ่นอายของผู้นี้แปลก ทั้งยังอันตรายมาก...จากสัญชาตญาณ บอกกุ่ยเม่ยว่าเงาดำนี้มาจากคนไม่ดี
แต่กุ่ยเม่ยผู้น่าสงสารจะรู้ได้อย่างไรว่าคนผู้นี้เป็คนไม่ดี ด้วยคนผู้นี้...
เพียงไม่นาน กุ่ยเม่ยก็รู้สึกถึงลมกระโชกพร้อมกับกลิ่นหอมของยาที่พัดมาตรงหน้าเขา จากนั้นเส้นเอ็นทั้งร่างกายของเขาก็คลายลง
อย่างไรก็ตาม กุ่ยเม่ยไม่ได้คิดอะไรมาก
ยามกุ่ยเม่ยกำลังจะยืนขึ้น มือที่แข็งแรงตบหัวเขาทันที
ในฐานะองครักษ์ของฉีอ๋อง แม้ว่าจะไม่ได้เหนือกว่าพระองค์ แต่เขาก็มีความสง่างามเช่นกัน เขาจะทนถูกตบหัวอย่างไร้ประโยชน์ได้อย่างไร?
นี่เป็เื่เหลือเชื่อ
กลิ่นอายสังหารในดวงตาของกุ่ยเม่ยแข็งแกร่งขึ้น ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น จ้องไปที่ผู้ร้ายด้วยสายตาอาฆาต
แต่กลับเห็น คนชุดดำ!
ในเวลาเดียวกัน มู่จื่อหลิงวางมือบนสะโพก เอ่ยด้วยเสียงน่ากลัว “กุ่ยเม่ย ความกล้าของเ้าเพิ่มขึ้นอีกแล้ว กล้าดีอย่างไรมาจ้องเปิ่นหวางเฟยเช่นนี้? อยากฆ่าเปิ่นหวางเฟยหรือ หืม?”
สังหารหวางเฟย? แม้ว่าจะได้รับความกล้าหาญมากเพียงใด...เขาก็ไม่กล้า!
“ท่าน...” แม้จะได้ยินเสียงคุ้นเคย แต่กุ่ยเม่ยก็ยังไม่เชื่อ เขาถามอย่างระแวดระวัง “ท่านคือหวางเฟยหรือไม่?”
“นี่เป็ตัวปลอมหรือไร!” มู่จื่อหลิงมองเขาด้วยความโกรธ
รูปลักษณ์นี้ดูเหมือนหวางเฟยของเขามาก ไม่ใช่แค่เหมือน นี่คือหวางเฟย...กุ่ยเม่ยรู้สึกว่าน้ำตาไหลลงมาบนใบหน้าของเขา
ในเวลาต่อมา เจตนาฆ่าที่น่าสะพรึงกลัวของกุ่ยเม่ยก็กลายเป็ความว่านอนสอนง่ายราวกับแมวต่อหน้ามู่จื่อหลิง