วันเวลาผ่านไปไว ไม่ทันไรก็ถึงวันที่ยี่สิบเอ็ดกรกฎาคมซะแล้ว
สวี่ฮุ่ยทนร้อนทนหนาวจับปลาไหลขาย เพียงสิบกว่าวันนี้ก็หาเงินได้ห้าสิบกว่าหยวนแล้ว
หักค่าเดินทางและค่าอาหารเช้าออกแล้ว ยังเหลือประมาณสี่สิบหยวน สวี่ฮุ่ยดีใจมาก
เช้าตรู่วันที่ยี่สิบเอ็ดกรกฎาคม สวี่ฮุ่ยถือถังใส่ปลาไหลจะออกไปข้างนอกเหมือนทุกวัน
แต่ถูกกู่ซิ่วเรียกไว้ด้วยใบหน้าบึ้งตึง “วันนี้เป็วันสอบเข้าทำงานที่โรงงาน แกไม่เตรียมตัวแถมยังจะออกไปข้างนอกอีกหรือไง”
สวี่ฮุ่ยตอบอย่างขอไปที “ตั้งสิบโมงกว่าจะเริ่มสอบ หนูขายปลาไหลเสร็จไม่ถึงเก้าโมงก็กลับมาแล้ว ไม่เสียเวลาหาเงินเอาไปรักษาน้อง แถมไม่เสียเวลาสอบเข้าทำงานด้วยค่ะ”
เดิมทีเธอเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปสอบเข้าทำงานอยู่แล้ว ที่พูดแบบนี้ไปก็แค่ถ่วงเวลาเท่านั้น
กู่ซิ่วกำลังจะตอบตกลง สวี่เยว่กลับถามกล้า ๆ กลัว ๆ ว่า
“พี่ขายปลาไหลมาหลายวันแล้ว ทำไมไม่เห็นพี่เอาเงินให้แม่เลยล่ะ?”
สวี่ฮุ่ยแค่นเสียงเอ่ย “เธอกลัวฉันไม่เอาเงินให้แม่หรือไง? ปกติฉันก็ให้ทุกสิ้นเดือน ไม่เชื่อถามแม่ดูก็ได้ ฉันลำบากเพื่อเธอขนาดนี้ ไม่ขอบคุณไม่พอ ยังระแวงอีก ช่างน่าเสียใจจริง ๆ !” พูดจบ ดวงตาก็แดงก่ำ
กู่ซิ่วมองตาขวาง แล้วตวาดทันที “น้องแกไม่รู้เื่ แกยังหาเื่น้องอีก!”
สวี่ต้าซานเข้ามาไกล่เกลี่ย “ถึงเยว่เยว่จะไม่รู้เื่ ลูกก็ไม่ควรพูดจาแบบนั้นกับพี่เขานะ!”
สวี่เยว่กล่าวอย่างหวาดหวั่น“หนูแค่กลัวว่าพี่พกเงินติดตัวแล้วจะทำหาย เลยถามไปแบบนั้น ฉันไม่มีเจตนาร้ายจริง ๆ นะ~”
สวี่ฮุ่ยเหล่ตาถาม “เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันพกเงินติดตัว? เธอค้นห้องฉันเหรอ?”
ดวงตาสวี่เยว่ฉายแววตื่นตระหนก “เปล่า…เปล่านะ…ฉันก็แค่เดาเอา…”
สวี่ฮุ่ยใช้โอกาสนี้เปลี่ยนท่าทีและพูดว่า “ไม่ว่าเธอจะค้นห้องฉันหรือไม่ก็ตาม แต่ฉันทุ่มเทเพื่อเธอขนาดนี้ กลับไม่ได้รับคำขอบคุณ แถมยังโดนระแวงอีก เธอมีสิทธิ์อะไร! สอบเข้าทำงานวันนี้ ฉันไม่ไปแล้ว!”
กู่ซิ่วจับแขนสวี่ฮุ่ย ลากออกจากบ้าน “คิดว่าไม่ไปสอบเข้าทำงานแล้วฉันจะทำอะไรแกไม่ได้หรือไง? ยังไงวันนี้แกก็ต้องไป ไม่ไปก็ต้องไป!”
สวี่ต้าซานพยายามขัดขวาง แต่ถูกกู่ซิ่วสวนกลับ “ฉันทำเพื่อเธอนะ!”
สวี่ต้าซานก็คิดว่าการสอบเข้าทำงานเป็ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับลูกสาวคนโตเหมือนกัน
ไม่มีงาน แล้วในอนาคตเธอจะทำอย่างไร?
สวี่ฮุ่ยร้องไห้โวยวาย “หนูไม่ไป หนูจะเรียนมหาวิทยาลัย!”
เพื่อนบ้านหลายคนมามุงดู ถามกู่ซิ่วว่าเกิดอะไรขึ้น
กู่ซิ่วชี้ไปที่สวี่ฮุ่ย “ยัยเด็กคนนี้ สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ติด ให้ไปสอบเข้าทำงานมีกินมีใช้ก็ไม่ยอม!”
เพื่อนบ้านหลายคนตำหนิสวี่ฮุ่ยว่าไม่เชื่อฟัง ี้เีสันหลังยาว และอีกหลาย ๆ เื่
เมื่อมีแรงสนับสนุนจากมวลชน กู่ซิ่วก็มีความมั่นใจมากขึ้นที่จะลากสวี่ฮุ่ยไปโรงงานผลิตอาหาร
สวี่ฮุ่ยดิ้นรนสุดกำลังพลางะโ “แม่ ปีนี้หนูสามารถสอบติดมหาวิทยาลัยได้จริง ๆ นะ อีกสองวันผลก็ออกแล้ว ให้หนูไปสอบเข้าทำงานตอนนี้ ไม่ได้ช่วยหนู จะทำร้ายหนูต่างหาก!”
สวี่เยว่พูดขึ้นแ่เบา “พี่ ไม่ใช่ว่าแม่ไม่อยากรอ แต่พี่เลือกคณะที่เกินเอื้อมไปหน่อย พี่จะสอบติดมหาวิทยาลัยแพทย์โหย่วเหอได้ยังไง? นั่นมันมหาวิทยาลัยระดับท็อป ฉันยังไม่กล้าคิดเลย~”
สวี่ฮุ่ยสวนกลับ “เธอไม่กล้าคิด ก็เพราะเธอโง่ สอบไม่ติดยังไงล่ะ!”
คำพูดนี้ทำให้กู่ซิ่วเดือดดาล “น้องแกไม่มีความสามารถ แล้วแกมีหรือไง? ไปสอบเข้าทำงานเดี๋ยวนี้!”
ในที่สุดสวี่ต้าซานก็ทนดูไม่ไหว ตะคอกเสียงดัง “พอได้แล้ว! จะให้คนอื่นหัวเราะเยาะหรือไง? ฮุ่ยฮุ่ย ลูกไม่อยากไปสอบเข้าทำงานขนาดนั้นเลยเหรอ?”
น้ำตาสวี่ฮุ่ยคลอเบ้า ถามอย่างผิดหวัง “พ่อ แม้แต่พ่อเองก็ไม่เชื่อว่าหนูจะสอบติดหรือ?”
สวี่ต้าซานพูดไม่ออก “ปกติผลการเรียนลูกก็ไม่ดี จะสอบติดมหาวิทยาลัยได้ยังไง? ”
“ถ้าหนูบอกว่าปกติฉันเรียนเก่ง พ่อจะเชื่อไหม?”
สวี่ต้าซานส่ายหน้า “จะเป็ไปได้ยังไงกัน! แม่เธอบอกว่าลูกเรียนไม่เก่ง~”
“พ่อเชื่อแม่ ไม่เชื่อหนูใช่ไหม?”
“แน่นอนสิ!”
หัวใจสวี่ฮุ่ยจมดิ่งลงทีละน้อย
กู่ซิ่วถือโอกาสนี้คว้าตัวสวี่ฮุ่ยไว้แน่น กระชากสวี่ฮุ่ยจนเธอเซถลา
ขณะที่สวี่ฮุ่ยกำลังจะถูกลากไป ทันใดนั้นก็มีเสียงกลองดังสนั่นหวั่นไหวมาจากนอกเขตบ้านพัก
พวกเพื่อนบ้านต่างชะเง้อคอมองไปยังประตูเขตบ้านพักด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ใครเคาะระฆังและตีกลองแต่เช้ากันนะ?
คนกลุ่มหนึ่งที่ดูเหมือนปัญญาชนพาขบวนกลองเข้ามา
ชายวัยกลางคนหัวล้านคนหนึ่งะโอย่างยินดีทันทีที่เข้ามาในเขตบ้านพัก“คุณหนูจ้วงหยวน[1] รีบออกมารับข่าวดี!”
[1] จ้วงหยวน หมายถึง ตำแหน่งของผู้ที่สอบไล่ได้อันดับหนึ่งในสนามสอบขุนนางสมัยจีนโบราณ ปัจจุบันคำว่า “จ้วงหยวน” ใช้เรียกผู้ได้อันดับหนึ่งในการสอบแต่ละประเภท หรือใช้เรียกผู้เป็หัวกะทิในสาขาวิชาใดวิชาหนึ่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้