พริบตาเดียววันที่สองก็มาถึง
อากาศท้องฟ้ายังคงปลอดโปร่ง เช้าตรู่ของหูเจินจูเริ่มต้นด้วยการหนีบจมูกเข้าห้องส้วม ทุกครั้ง่เวลานี้นางรู้สึกว่าความรู้สึกในการได้กลิ่นว่องไวเกินไปไม่ใช่เื่ดี มึนเมาคนเกินไปแล้วจริงๆ
เจินจูผ่อนคลายอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงเริ่มล้างหน้าแปรงฟันอย่างเชื่องช้า
แผนการหนึ่งวันอยู่ที่ตอนเช้า นางแปรงฟันด้วยความเอื่อยเฉื่อย คิดปลงอยู่ในใจว่านางเองแต่เดิมเป็คนที่ชอบนอนี้เีคนหนึ่ง ปัจจุบันนี้ได้หลอมรวมเข้ากับชีวิตของคนยุคโบราณ กลายเป็นอนเร็วตื่นเช้า เฮ้อ ชีวิตที่เคยนอนอืดอยู่บนเตียงได้จบลงแล้วตรงนี้
“ท่านพี่ ท่านมาดูเร็ว” เสียงกระฉับกระเฉงดีใจของผิงอันสะท้อนออกมาจากหลังบ้าน
“มีอันใด? แปรงฟันอยู่ เ้ารอเดี๋ยว” เจินจูตอบกลับไม่ค่อยชัดเจนนัก
“ท่านพี่ มีกระต่ายออกลูกอีกหนึ่งคอกแล้ว มีตั้งหลายตัวแน่ะ!” ผิงอันวิ่งเหยาะๆ เข้ามาตลอดทางบอกข่าวดี
“อื้ม... จริงหรือ กี่ตัว?”
“เหมือนว่ามีเจ็ดแปดตัว เบียดกันเป็กองหนึ่ง นับได้ไม่ค่อยชัดนัก แต่มากกว่าเมื่อก่อนแน่นอน”
“เจ็ดแปดตัว? อือ... นับว่าพอได้”
“ท่านพี่ มีกระต่ายตัวผู้หนึ่งตัวชอบกัดขนกระต่ายตัวเมีย ครั้งหน้าพวกเราเอามันไปขาย แล้วเหลือกระต่ายอีกตัวหนึ่งเก็บไว้เถิด”
“อื้ม ได้ เ้าดูว่ากระต่ายตัวผู้ตัวไหนที่ว่าง่ายหน่อย ก็เก็บตัวนั้นไว้แล้วกัน”
“…”
หลัวจิ่งยืนอยู่หน้าประตูมองสองพี่น้องหญิงชายด้วยเส้นดำเต็มหัว พี่สาวแปรงฟันเต็มปากพูดคุยปรึกษาปัญหากระต่ายตัวผู้ตัวเมียกับน้องชายอย่างไม่ชัดเจน แปรงฟันเสร็จแล้วค่อยพูดคุยมิได้หรือ
หางตาเจินจูกวาดผ่านหลัวจิ่งที่อยู่ไกลๆ ใช้ความสามารถในการมองที่เหมือนกล้องส่องทางไกลของนางในตอนนี้ ความรังเกียจที่ไม่ได้เอ่ยออกมาบนใบหน้าของหลัวจิ่งตราตรึงเข้ามาในดวงตาของนาง
เจินจูไม่เอามาใส่ใจ พอมองก็รู้ได้ว่าสายตาของท่านชายตระกูลขุนนางเช่นเขา ไม่อาจทนดูท่าทางตามอำเภอใจที่ไม่เป็ระเบียบของนางกับผิงอันได้
ชิ เจินจูคิดมองบนในใจ เจ้ยังทนดูใบหน้าแข็งทื่อเป็ท่อนไม้อันทุกข์ทรมานเช่นนั้นของเ้าไม่ได้เลย ใช้ชีวิตเหนื่อยเช่นนี้ ต่อไปเ้าจะทรมานและยากลำบาก
ลูกกระต่ายที่เกิดใหม่จำนวนมากจริงๆ เมื่อก่อนกระต่ายป่าที่พวกเขาจับมา หนึ่งคอกมีลูกกระต่ายมากที่สุดเพียงหกตัว ส่วนตอนนี้กระต่ายตัวเมียครั้งก่อนนั้นออกลูกเจ็ดตัว ครั้งนี้กระต่ายตัวนี้ออกลูกมาเต็มๆ แปดตัว ทำให้คนนับตัวเลขด้วยความเบิกบานจริงๆ
เจินจูรู้สึกไม่ชัดเจนนัก นี่น่าจะเป็ผลจากการที่นางหย่อนก้านข้าวโพดเลี้ยงอยู่บ่อยๆ ประสิทธิภาพที่เพียงพอจากผลผลิตในมิติช่องว่าง กลับมีประโยชน์ต่อการแพร่พันธุ์ของกระต่าย คิดไม่ถึงเลยว่าก้านข้าวโพดนี่ยังมีประสิทธิภาพเช่นนี้ นางยิ้มจนดวงตาโค้งอย่างมีความสุข
อาหารมื้อเช้าผ่านไป ชุ่ยจูจูงผิงซุ่นที่ไม่ค่อยเบิกบานเดินเข้ามา
ที่แท้หวังซื่อกับหูฉางหลินเตรียมเข้าเมืองไปซื้อเนื้อแต่เช้า ผิงซุ่นก่อกวนคิดจะตามไปด้วยอีกครั้ง กลับถูกหวังซื่อตำหนิอยู่พักหนึ่ง
“ผิงซุ่น ท่านย่าไปทำธุระจริงๆ อย่าเอาแต่คิดจะไปเที่ยวเล่น วันนี้ยังต้องเข้าเรียนนะ การบ้านของเ้าทำเสร็จหรือยัง?” ผิงซุ่นนิสัยติดเล่นนัก นิสัยถูกเหลียงซื่อโอ๋จนเจอเื่อะไรก็ไม่ใจเย็น แต่อุปนิสัยใจคอเช่นนี้ขัดเกลาให้มากๆ หน่อยก็ดีขึ้นได้
“เขียนเสร็จนานแล้ว” ผิงซุ่นก้มศีรษะตกลง เสียงยังคงเศร้าอยู่บ้างนิดหน่อย
“มีแค่เ้าที่สนุกที่สุด อย่างผิงอันโตขนาดนี้แล้วเพิ่งเคยได้เข้าเมืองครั้งเดียว เ้าไปมากี่ครั้งแล้วยังอยากตามไปอีก เ้าคิดว่าพวกท่านย่าไปเล่นหรือ สติปัญญาสมองล้วนไม่โตขึ้นเลย” ชุ่ยจูยื่นมือออกไปจิ้มศีรษะของเขาตรงๆ แล้วกล่าวอย่างโมโหจนหายใจไม่ทัน
“เช่นนั้นพี่สามมิใช่ว่าเข้าเมืองไปทั้งวันหรือ มีสิทธิอันใดไม่พาข้าไปด้วย?” ผิงซุ่นโต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้
“นั่นเป็เพราะพี่สามของเ้าสามารถเลี้ยงกระต่ายได้และทำลูกชิ้นได้อย่างไรเล่า สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องเข้าเมืองไปขายของหารายได้ เ้าเล่าทำอันใดได้? นอกจากทานได้ ดื่มได้ ทำตัวไร้ยางอายได้ แล้วทำอันใดได้อีก?” ชุ่ยจูยิ่งกล่าวก็ยิ่งโกรธ
“ให้เ้าเรียนหนังสือเขียนตัวอักษรเ้ายังไม่เต็มใจ เ้าอยากจะเป็ชาวนายากจนไปชั่วชีวิตมากหรืออย่างไร? เช่นนั้นั้แ่ตอนนี้เ้าก็ไม่ต้องเรียนไปเลยเล่า ไปทำงานเพาะปลูกกับท่านพ่อเสีย ต่อไปจะได้ไม่ต้องเปลืองเงินซื้อเครื่องเขียนให้เ้าอีก”
“ข้าไม่ได้คิดเช่นนี้เสียหน่อย” ผิงซุ่นก้มหน้าเบะปาก สองมือขยับเข้าหากันไม่นิ่ง
“เคยบอกเ้ากี่ครั้งแล้ว อย่าเอาแต่บอกเื่ในบ้านของท่านอารองแก่ท่านแม่ เ้ายังไม่ฟัง ท่านแม่มักเอาเื่ของที่บ้านไปเล่าให้ท่านยายฟัง ถึงเวลาท่านยายก็จะเอาเื่ป่าวประกาศไปทั่ว ก่อให้เกิดความขัดแย้งออกมา ที่ต้องลำบากใจมิใช่ว่าเป็บ้านเราหรอกหรือ” หวังซื่อเคยอธิบายกับชุ่ยจูและผิงซุ่นมาก่อนแล้วว่าอย่าเอาเื่ของบ้านหูฉางกุ้ยบอกเหลียงซื่อ หนึ่งเพราะตอนนี้เหลียงซื่อตั้งครรภ์อยู่ และเพื่อทำให้นางทุกข์ใจน้อยลงหน่อย สองคือเหลียงซื่อปิดซ่อนคำพูดกับท่านยายไว้ไม่อยู่ เื่อะไรที่ให้นางได้รู้ก็แทบจะเท่ากับบ้านของมารดานางรู้ด้วย
ชุ่ยจูเข้าใจเหตุผลในนั้น การไต่ถามที่ท่านแม่ถามตนก็จะตอบอย่างระมัดระวัง แต่ผิงซุ่นเป็คนสำคัญของเหลียงซื่อมาโดยตลอด ได้รับความชื่นชอบอย่างมาก เป็ธรรมดานักที่ผิงซุ่นยังต้องได้รับการดูแลจากเหลียงซื่ออยู่มาก แม้หวังซื่อเคยบอกชัดเจนแล้ว แต่การสอบถามส่วนใหญ่เขาก็ตอบความจริงต่อเหลียงซื่อ
เหลียงซื่อสืบออกมาจากปากของผิงซุ่น บ้านท่านอารองปลูกกระท่อมกระต่ายใหญ่มากขึ้นหนึ่งหลัง มีกระต่ายเล็กโตหนึ่งกองในกระท่อมกระต่าย แล้วยังมีกระต่ายตัวเมียไม่น้อยที่เตรียมจะออกลูกมาอีก ในใจเหลียงซื่อจึงเกิดความไม่พอใจออกมา มีสิทธิ์อะไรให้กระต่ายทั้งหมดเลี้ยงอยู่ที่บ้านอารอง แต่ที่บ้านเก่ากลับไม่มีเลยสักตัว แม้ปากจะบอกว่าสองพี่น้องมีสิทธิ์ร่วมกัน แต่ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาจะไม่แอบเอาส่วนหนึ่งไปขายเอง ใจของแม่สามีอย่างหวังซื่อเอนเอียงไปทางบ้านพวกเขามาโดยตลอด หูฉางหลินกลับเป็คนที่กตัญญูอีก แม้ว่าตนเองจะถูกเอาเปรียบก็ไม่ออกเสียง
เหลียงซื่อยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าตนเองเดาได้ถูกต้อง จึงเอ่ยถึงเื่นี้ขึ้นต่อหน้าหูฉางหลินอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ ผลสุดท้ายกลับถูกหูฉางหลินดุกลับพักหนึ่ง ให้นางอย่าคิดอะไรเหลวไหลและก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่เลี้ยงกระต่ายไว้ที่บ้านเก่าเป็เพราะฤดูหนาวหนาวมาก ทุกวันในกระท่อมกระต่ายต้องเผาไฟถ่านจึงจะทำให้มีอุณหภูมิที่เหมาะสมได้ ที่บ้านเก่าไม่ได้สร้างกระท่อมกระต่าย ไม่เหมาะที่จะเลี้ยงชั่วคราว
เหลียงซื่อที่โดนดุไม่กล้าออกเสียงต่อหน้าหูฉางหลินอีก หันหลังมาเล่าความทุกข์ใจที่ได้รับกับผิงซุ่น เอาเื่ที่นางคาดเดาลำเลียงใส่ในหัวของผิงซุ่น ผิงซุ่นจึงเริ่มมีความรู้สึกไม่พอใจและสับสนบางอย่าง
เมื่อเช้านี้ผิงซุ่นกวนใจหูฉางหลินไม่หยุด คิดอยากจะตามเข้าเมืองไปด้วย แต่หูฉางหลินไม่อนุญาต ผิงซุ่นก็โกรธเป็ฟืนเป็ไฟไม่ทำการไตร่ตรอง แล้วเอาคำพูดที่เหลียงซื่อกล่าวกับเขาในยามปกติระบายออกมา ความหมายในคำพูดเหล่านี้ประจักษ์ออกมาต่อหน้าหวังซื่อ ในเวลานั้นหวังซื่อโกรธมาก ตำหนิเขาอยู่พักหนึ่งและยังด่ากระทบเหลียงซื่อที่อยู่ทางห้องฝั่งตะวันตกอย่างเจ็บแสบหนึ่งรอบอีกด้วย แล้วจึงเข้าเมืองกับหูฉางหลินไปด้วยในหน้าแข็งทื่อ
“ท่านแม่ถามอยู่ตลอด ข้าก็ไม่สามารถไม่ตอบได้” ผิงซุ่นถูกตำหนิพักหนึ่ง รู้ว่าตนเองก่อเื่วุ่นวายเพราะขาดความยั้งคิดจึงกล่าวอย่างหดหู่ใจ
“หากเ้ายังปากไม่มีสลักประตูอีก ต่อไปก็ไม่ต้องมาบ้านท่านอารองแล้ว เล่นอยู่บ้านกับตัวเองเถิด” ชุ่ยจูจ้องมองผิงซุ่นด้วยความขุ่นเคือง
“โธ่ ท่านพี่ ข้าผิดไปแล้วยังไม่พออีกหรือ? ต่อไปจะไม่พูดจาตามอำเภอใจอีก” ผิงซุ่นดึงแขนเสื้อเจินจูไว้แล้วกล่าวยอมรับผิดทันที อยู่ในบ้านท่านอารองสามารถป้อนอาหารกระต่ายกับผิงอันได้ เรียนรู้ตัวอักษรด้วยกันได้ แม้เขาชอบเล่นมากกว่า แต่ก็เข้าใจได้ว่าสำหรับเด็กในหมู่บ้านแล้ว หาได้ยากมากเพียงใดที่จะมีโอกาสรู้ตัวอักษร
ที่สำคัญที่สุดคือ ของอร่อยในบ้านท่านอารองมีมาก เมื่อพี่สามว่างงานก็มักจะทำพวกอาหารอร่อยๆ พักอยู่บ้านท่านอารองก็สามารถทานของได้ทันที
“เอาล่ะ ผิงซุ่น ผ่านปีนี้ไปเ้าก็เก้าขวบแล้ว และเด็กที่โตเช่นนี้พูดจาต้องคำไหนคำนั้นถึงจะถูก ไม่เช่นนั้นต่อไปทุกคนต่างก็จะไม่เชื่อคำพูดของเ้า ทราบแล้วหรือไม่?” เจินจูทำหน้าที่เป็ผู้ไกล่เกลี่ย ให้ผิงซุ่นลงขั้นบันไดหนึ่งขั้น [1]
ผิงซุ่นพยักหน้าทันที สัญญาโดยมิรอช้า
หลังเหตุการณ์เล็กๆ ผ่านพ้นไป ห้องเรียนเล็กจึงเข้าเรียนตามปกติ หลัวจิ่งตรวจสอบกระดานเขียนตัวอักษรของสี่คนทีละอันๆ ยังคงเป็ผิงอันที่เขียนได้จริงจังและประณีตเรียบร้อยที่สุด รองลงมาชุ่ยจูก็เขียนได้ไม่เลว อย่างน้อยที่สุดไม่มีตัวอักษรที่เขียนผิด มองออกได้ว่าเคยเขียนอยู่หลายรอบด้วยความตั้งใจ
ลายเส้นตัวอักษรของผิงซุ่นค่อนข้างบิดเบี้ยว ระยะห่างของแถวเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ดูเหมือนค่อนข้างยุ่งเหยิง
เจินจูกวาดสายตาผ่านแผ่นหินเล็กๆ ของไม่กี่คนแวบหนึ่ง ลายเส้นของนักเรียนชั้นประถมก็ไม่เกินไปจากนี้ นางแอบยิ้มเยาะจากก้นบึ้งของหัวใจ แน่นอนว่าตนเองไม่สามารถโดดเด่นเกินไปได้ ดังนั้นตัวอักษรของนางเขียนอย่างพอใช้ได้ อย่างไรเสียเหตุผลที่สำคัญคือสามารถอ่านหนังสือได้ก็พอ
หลัวจิ่งมองเจินจูด้วยสายตาประดับรอยยิ้ม ราวกับรู้ว่าเขากำลังมองนางอยู่ เจินจูเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มหวานส่งไปทางเขา คิ้วและตาโค้งๆ ริมฝีปากแดงฟันขาว มุมปากประคองยกขึ้นได้มุมสวยงาม
หลัวจิ่งอดมองอย่างใจลอยไม่ได้ จนกระทั่งรอยยิ้มเจินจูจางไป สายตาเกิดความสงสัยแสดงออกมา หลัวจิ่งจึงดึงสติกลับมาทันทีทันใด
“แค่ก” ยกมือขึ้นปิดปาก แสร้งไอ ค้ำไม้เท้าหมุนกายช้าๆ หันกลับมาที่หน้าแผ่นหินผืนใหญ่และเริ่มวิชาของวันนี้
เที่ยงวัน แสงอาทิตย์สวยวิจิตรตระการตามากนัก พาให้อากาศในบ้านยิ่งหนาวและแห้งขึ้น
หน้าประตูบ้าน เจินจูกับหลัวจิ่งหนึ่งกลุ่ม ผิงอันกับหูฉางกุ้ยหนึ่งกลุ่ม กำลังกรอกชิ้นเนื้อที่หมักไว้แล้วของเมื่อวาน
“ยู่เซิง ปลายอันนั้นจับให้แน่นหน่อย มันจะร่วงลงมาแล้ว” เจินจูคว้าปลายไส้เล็กไว้แน่นแล้วยกขึ้น
“…มันลื่นมากนัก” หลัวจิ่งก็คิดจะจับให้แน่น แต่จะทำอย่างไรเล่าไส้เล็กนี้เปียกน้ำ ลื่นเป็มัน จับไว้ไม่มั่นคงจริงๆ
“ฮ่าๆ พี่ชายยู่เซิง นั่นเป็เพราะว่ามือของท่านเกลี้ยงเกลาเกินไปน่ะ ไม่มีความหยาบด้าน ท่านดู ท่านพ่อข้าจับได้มั่นคงนัก” ผิงอันจับไส้เล็กขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจแล้วเอามือรูดเนื้อลงไป เป็ไปอย่างที่คิดไว้ หูฉางกุ้ยเอามือรองจับไว้ได้มั่นคง
“…” หลัวจิ่งมองหนึ่งที จนปัญญาอยู่พักหนึ่ง
“ฮ่าๆ” เจินจูมองจนหัวเราะออกมาตรงๆ ที่แท้บนมือหลัวจิ่งเรียบเนียนไม่หยาบด้าน คว้าไส้เล็กที่เกลี้ยงเกลาขึ้นมาช่างเปลืองแรงจริงๆ
“มา ข้าจับอันนี้เอง เ้ากรอกเนื้อเข้าไปข้างใน” เจินจูยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง แล้วให้สองคนเปลี่ยนสลับกัน
แต่มุ่งมั่นอยู่ได้ไม่นาน ไส้เล็กที่กรอกชิ้นเนื้อจนเต็มก็ไม่สามารถรูดลงมาได้เพราะยังลื่นอยู่ดี
“ฮ่าๆ” ผิงอันที่อยู่ด้านข้างมองจนหัวเราะเสียงดัง “ท่านพี่ ท่านยังว่าผู้อื่นอีก ท่านดู ท่านเองก็เหมือนกัน”
หูฉางกุ้ยที่เห็นอดหัวเราะไม่ได้ จึงหัวเราะเยาะออกมา
“ไอ๊หยา ไม่ได้ พวกเราสองคนต่างก็จับให้แน่นไม่ได้ ลื่นเกินไปแล้ว รอจนพวกท่านลุงกลับมาดีกว่า” เจินจูเอาไส้เล็กวางกลับลงไปในกะละมังด้วยความผิดหวัง “ยู่เซิง เ้ามาล้างมือเถอะ แล้วตากแดดสักหน่อยก็ดี ข้าจะไปช่วยทำอาหารในครัว งานนี้รอท่านลุงกลับมาค่อยทำเถิด”
หลัวจิ่งมองเจินจูที่คำพูดมีความขุ่นเคืองซ่อนอยู่ ในตาแสดงรอยยิ้มขึ้นมา ไม่พูดจาอีกเพียงหยิบไส้เล็กขึ้น ค่อยๆ กรอกลงไปเอง
เจินจูหันไปมองเขาหนึ่งที และไม่ให้ความสนใจอีก แล้วล้างมือไปช่วยทำอาหารกลางวันในครัว
ถ้วยกับตะเกียบเพิ่งจัดวางเรียบร้อย หูฉางหลินก็เร่งเกวียนวัวกลับมาแล้ว ทันใดนั้นทุกคนจึงยุ่งอยู่กับการย้ายของบนเกวียนลงมา ไปกลับครั้งแล้วครั้งเล่า เจินจูพบว่าหวังซื่อซื้อผ้ากับผ้าฝ้ายมามากมายอีกแล้ว น่าจะเตรียมเพิ่มชุดเสื้อนวมให้คนในบ้านอีกครั้งกระมัง
คิดว่ายังมีเนื้อที่ต้องจัดการอีกสองร้อยชั่ง ทุกคนจึงทานอาหารเที่ยงหมดอย่างกลืนกินพุทราทั้งลูกโดยไม่เคี้ยว [2] ทันทีหลังจากนั้นก็เริ่มแบ่งหน้าที่ร่วมกันทำ หวังซื่อ หลี่ซื่อ และเจินจูสามคนหั่นเนื้อ หูฉางหลินกรอกกุนเชียงกับหลัวจิ่ง หูฉางกุ้ยยังคงจับคู่กับผิงอันทำการกรอกกุนเชียงต่อไป
สภาพอากาศปลอดโปร่ง แสงแดดสดชื่น ไส้เล็กที่กรอกเรียบร้อยดีแล้วก็เอาไปแขวนไว้บนราวไม้ให้รับแสงแดดยามบ่าย พอถึงตอนเย็นจะได้แห้งมากหน่อย
ผ่านการยุ่งอยู่กับงานตลอดทั้งบ่าย ก่อนที่ฟ้าจะมืด ในที่สุดขั้นตอนการผลิตทั้งหมดก็สมบูรณ์ ท้ายสุดทุกคนก็ถอนหายใจโล่งอก พรุ่งนี้เพียงเอาเนื้อกรอกให้เรียบร้อย อาหารหมักชุดนี้ก็นับว่าจัดการเสร็จสิ้น
เชิงอรรถ
[1] ลงขั้นบันไดหนึ่งขั้น หมายความว่า ตั้งใจไว้หน้าเป็พิเศษ ป้องกันไม่ให้เกิดความเก้อเขิน วางตัวไม่ถูก กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
[2] กลืนกินพุทราทั้งลูกโดยไม่เคี้ยว เปรียบว่า ทำอย่างลวกๆ