ไม่มีใครรู้จักบุตรดีไปกว่ามารดา เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและเยวี่ยเจาหรานคิ้วกระตุกอย่างเข้าใจกันโดยไม่ต้องเอ่ย สุดท้ายก็ไม่กล้ารับคำเร็วนัก บรรยากาศรอบตัวของฮูหยินเยี่ยนช่างแข็งแกร่งยิ่ง เพียงคำพูดสั้นๆ ก็สามารถสยบทั้งสองคนได้
สุดท้ายเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็รวบรวมความกล้า เล่าเื่คำชมเชยและวันหยุดที่อาจารย์อวี้มอบให้ตนแก่ฮูหยินเยี่ยน เมื่อฮูหยินเยี่ยนได้ยินว่า ‘ลูกชาย’ เริ่มมีความรู้ในเื่บทประพันธ์ก็ประหลาดใจยิ่ง สีหน้าอารมณ์ก็เริ่มดีขึ้นมาไม่น้อย เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรีบตีเหล็กตอนร้อน นางอธิบายเื่ที่อยากจะไป ‘ขอเครื่องรางคุ้มภัย’ ด้วยกันกับเยวี่ยเจาหรานอีกครั้ง และรอคอยการอนุญาตของฮูหยินเยี่ยน
“ลูกคิดว่าเก็บตัวอยู่ที่บ้านมานานคงจะรู้สึกอุดอู้แย่แล้ว บังเอิญได้ยินว่าพระภิกษุของวัดจินติ่ง... ไม่สิๆ ท่านเ้าอาวาสวัดจินติ่งตบะแก่กล้า จึงอยากจะไปขอเครื่องรางดูขอรับ...”
ยามเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพูดยังเผยความขลาดกลัว ทำให้เยวี่ยเจาหรานอดขำไม่ได้ แต่ฮูหยินเยี่ยนอยู่ในที่นี้ด้วย เขาจึงต้องอดกลั้นเอาไว้ ไม่ได้แสดงออกตรงๆ
“เหตุใดจู่ๆ จึงนึกอยากจะไปวัดจินติ่งได้ล่ะ?” ฮูหยินเยี่ยนเลิกคิ้วเล็กน้อย มองไปยังเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและเยวี่ยเจาหราน บนสีหน้านั้นไม่ปรากฏอารมณ์ความรู้สึกชัดเจน ทั้งมองไม่ออกว่ายินดีหรือยินร้าย
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพลันลนลานขึ้นมาเล็กน้อย แม้ตนจะเป็คนออกความคิดบ้าบอนี้ขึ้นมาเอง ทว่าั้แ่เล็กจนโตตนก็เคยไปวัดวาอารามเพียงไม่กี่ครั้ง แม้แต่ประตูของวัดจินติ่งนั้นเปิดออกไปทิศใดก็ยังไม่รู้เลย ยามนี้นางไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว สุดท้ายก็เป็เยวี่ยเจาหรานที่ตอบสนองได้เร็ว ตอบรับคำของฮูหยินเยี่ยน
“เป็เพราะเขามีเวลาว่างพอดี ตอนที่ข้าอยู่บ้านก็ไปจุดธูปอธิษฐานขอพรที่วัดอยู่เป็นิจ ยามนี้ก็นับว่าประจวบเหมาะ...”
โดยไม่คาดคิด เมื่อเยวี่ยเจาหรานพูดจบ ฮูหยินเยี่ยนยังไม่ได้ต่อคำ สวี่ชิวเยวี่ยที่อยู่อีกด้านก็เอ่ยขึ้น “เื่นี้ช่างประจวบเหมาะยิ่งนัก ว่ากันว่าหากไม่มีความบังเอิญก็ไร้เื่ราว ก่อนหน้านี้ข้าก็ยังไม่เชื่อเลยเ้าค่ะ”
การพูดยอกย้อนเช่นนั้นของสวี่ชิวเยวี่ย ไม่รู้ว่าอยากจะพูดอะไรกันแน่ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วฟังจนสับสนมึนงง ขมวดคิ้วมองไปยังนางอย่างไม่ตั้งใจ
หลังจากรอให้สวี่ชิวเยวี่ยพูดกลับเข้าเื่อย่างยากเย็น ก็ได้ยินเพียงนางพูดร่ำรี้ร่ำไร “เครื่องรางของข้าเองก็ถึงยามที่ควรจะให้ท่านเ้าอาวาสดูให้สักหน่อยเช่นกัน ถือโอกาสที่เปี่ยวเกอและพี่สะใภ้ไปวัดจินติ่งคราวนี้ พาข้าไปด้วยได้หรือไม่เ้าคะ”
อาจเพราะรู้สึกว่าลำพังเพียงคำพูดของตนคงมีกำลังไม่มากพอ ไม่อาจยืนยันความจริงใจที่้าไปวัดจินติ่งเพื่อขอให้พระอาจารย์ช่วยปลุกเสกเครื่องราง สวี่ชิวเยวี่ยจึงหยิบเครื่องรางที่สอดไว้ในเสื้อออกมาโดยไม่มีใครคาดถึง และถือไว้ในมือให้ฮูหยินเยี่ยนดู...
ฉับพลันก็กลายเป็บรรยากาศน่าอึดอัด เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรีบเอ่ยอย่างร้อนรน “การเดินทางนั้นโคลงเคลง เปี่ยวเม่ยร่างกายอ่อนแอ เกรงว่าจะไม่...”
“มีอะไรไม่สะดวกกัน?” ฮูหยินเยี่ยนตัดบทสนทนา เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพลันไม่กล้าพูดอะไรอื่นอีก “ก็ดีเหมือนกัน เ้าไปคนเดียวป้าก็วางใจไม่ลง วันนี้พวกเ้าสามคนเดินทางไปด้วยกัน ข้าค่อยสบายใจ”
ดั่งฝุ่นผงร่วงหล่นลงจนหมด [1] นอกจากบรรยากาศน่าอึดอัดในอากาศแล้ว ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงการกล่าวโทษและคร่ำครวญต่อวันหยุดที่ได้มาแสนยากเย็น แต่กลับร่วงหล่นหายไปอย่างเงียบงันในใจของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและเยวี่ยเจาหราน สนามม้าเอย ล่าสัตว์เอย ยามนี้มันห่างไกลออกไปเสียแล้ว...
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอ้าปาก ดูท่าจะอยากสู้เพื่อวันหยุดอันสมบูรณ์ของตนสักสองสามคำ แต่ก็ถูกเยวี่ยเจาหรานดึงเอาไว้ “หากเปี่ยวเม่ยสามารถไปได้ย่อมเป็เื่ดี ทว่าการเดินทางครั้งนี้ลำบากและหนทางยาวไกล พวกเรากลัวว่าเปี่ยวเม่ยจะรับไม่ไหว... ในเมื่อเพียงเพื่อปลุกเสกเครื่องราง ให้เราช่วยจัดการให้มิดีกว่าหรือ อย่างไรก็เหมือนกัน...”
มุมปากของเยวี่ยเจาหรานหยักโค้งเล็กน้อยเป็รอยยิ้มอบอุ่นอย่างพอเหมาะพอดี แล้วเอ่ยขึ้นเช่นนั้น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรู้สึกว่าสมเหตุสมผล นางพยักหน้าอย่างแน่วแน่แล้วเอ่ยเกลี้ยกล่อมด้วยกัน “ใช่แล้วๆ เปี่ยวเม่ยร่างกายอ่อนแอ หากมีการกระแทกกระเทือนระหว่างทาง ในใจข้าคงรู้สึกผิดที่ทำให้ต้องลำบากจ...”
ในแววตาของสวี่ชิวเยวี่ยปรากฏความอ้างว้างขึ้นมาชั่วขณะ เมื่อเห็นว่าฮูหยินเยี่ยนไม่เอ่ยปาก ตนจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “แต่ว่าไหว้พระขอพรนั้นสำคัญที่ความจริงใจ สมัยโบราณผู้นับถือพุทธ จะไหว้พระต้องเดินหนึ่งก้าวกราบหนึ่งครั้ง [2] หากข้าแม้แต่ความโคลงเคลงแค่นี้ยังทนไม่ได้ แล้วคู่ควรจะเรียกว่าเป็ผู้ศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธได้อย่างไร?”
คำพูดนางทำให้ไม่อาจคัดค้านได้เลยจริงๆ รอยยิ้มของเยวี่ยเจาหรานเองก็ชะงักแข็งค้าง ไม่รู้ว่าควรจะรับมืออย่างไร สุดท้ายฮูหยินเยี่ยนที่นั่งอยู่บนที่นั่งก็เอ่ยปากขึ้น พูดกับสองสามคนข้างล่างนั้นอย่างไม่อ้อมค้อม
“พอแล้ว แค่เื่จะไปวัดวาอาราม มีอะไรให้เถียงกันนัก? ข้าเข้าใจ พวกเ้าสามีภรรยาก็แค่อยากจะไปด้วยกันลำพัง หากพวกเ้าไม่มีเวลาว่างจะสนใจดูแลเื่ของสวี่ชิวเยวี่ย เช่นนั้นให้ข้าไปด้วยกันกับชิวเยวี่ยเป็อย่างไร?”
ขณะที่เอ่ยคำพูดนั้น สายตาของฮูหยินเยี่ยนเหมือนกับปราดมองไปยังเยวี่ยเจาหรานและเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่กำลังวิตกกังวลเล็กน้อย เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้ยินเช่นนั้นก็โบกมือเอ่ยอย่างลนลาน “ท่านแม่พูดอะไรเช่นนั้น! ข้าไม่กล้ามีความคิดเช่นนั้นหรอก ในเมื่อเปี่ยวเม่ยมีความจริงใจ ข้ากับเยียนหรานเองก็ไม่อาจทำตัวเป็คนชั่วมารศาสนา...”
พูดจบ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็อดถอนหายใจยาวอยู่ในใจไม่ได้ กระนั้นก็ยังไม่อาจปิดซ่อน ทว่าอย่างไรสวี่ชิวเยวี่ยก็เป็เพียงตัวประกอบ จะไปก็ไปเถอะ แต่หากให้ฮูหยินเยี่ยนไปวัดจินติ่งด้วยกัน นั่นต่างหากจึงจะเป็หายนะวันสิ้นโลก!
“เ้าพูดเช่นนี้ก็นับว่ามีเหตุมีผล” ฮูหยินเยี่ยนมือสองข้างทับซ้อนกันไว้ที่หน้าตัก เอ่ยกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างไม่คิดอะไร ก่อนจะดึงมือของสวี่ชิวเยวี่ยมาอีกครั้ง แล้วตบเบาๆ “ไปกับพี่ชายพี่สะใภ้ของเ้า มีอะไรไม่สะดวกสบายก็ขอให้บอก เป็คนบ้านเดียวกันทั้งนั้น”
คำพูดนั้นทำให้สวี่ชิวเยวี่ยมั่นใจขึ้นมา บนใบหน้าของนางพลันแย้มยิ้ม มองแวบแรกราวกับดอกโบตั๋นทีเดียว
“ขอบคุณเ้าค่ะท่านป้า คิดดูแล้ว...” สายตาของสวี่ชิวเยวี่ยเลื่อนจากฮูหยินเยี่ยนไปยังเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอีกด้าน พลันละมุนหยาดเยิ้ม นางเอ่ยอย่างช้าๆ “คิดดูแล้วเปี่ยวเกอคงไม่ทำให้ข้าน้อยเนื้อต่ำใจแน่เ้าค่ะ”
แววตาที่ราวกับสายน้ำเช่นนั้น เมื่ออยู่ในสายตาของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ราวกับเป็เครื่องหมายแห่งความตายอย่างไรอย่างนั้น แม้ว่าเบื้องหน้าจะอดกลั้นเอาไว้ แต่ในใจของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้น การโจมตีเช่นนี้ของสวี่ชิวเยวี่ยมีพลังทำลายล้างอย่างยิ่ง
เยวี่ยเจาหรานอย่างไรก็ฝีมือดี เบื้องหน้ายังประดับรอยยิ้มจอมปลอมไว้ไม่สร่าง อีกทั้งยังพยายามแอบดึงชายเสื้อของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเพื่อเตือนสตินางให้ตอบรับอย่างเหมาะสม เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเม้มปาก แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง “ใช่แล้ว ข้าจะดูแลเ้าเปี่ยวเม่ยอย่างสุดความสามารถ... เช่นนั้นพวกเรา เตรียมตัวแล้วออกเดินทางกันเลยดีหรือไม่?”
แม้จะไม่มีความตื่นเต้นดีใจที่จะไปขี่ม้าแล้ว แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ไม่คิดที่จะอ้อยอิ่งมากมาย ถึงอย่างไรไปช้าก็ได้กลับช้า ทั้งยังไม่รู้ว่าระหว่างทางสวี่ชิวเยวี่ยจะทำอะไรแผลงๆ ขึ้นมาหรือไม่... ฉะนั้นรีบไปเร็วหน่อยจะดีกว่า
“ไปเถอะ อ้อ จริงสิ อีกไม่กี่วันพ่อของเ้าต้องเตรียมตัวไปออกศึก แม้ว่าจะเป็เพียงเื่เล็กน้อย แต่อุ่นใจไว้หน่อยก็ย่อมดีกว่า ไปวัดจินติ่งคราวนี้ก็ขอเครื่องรางมาให้เขาสักอันด้วยแล้วกัน”
ฮูหยินเยี่ยนลดถ้วยชาในมือลง แล้วส่งไปให้มือของสวี่ชิวเยวี่ยอีกที พยักพเยิดหน้าสื่อให้สวี่ชิวเยวี่ยตามไปกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและเยวี่ยเจาหราน สวี่ชิวเยวี่ยพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเอ่ยกับฮูหยินเยี่ยน “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ก็ขอมาให้ท่านป้าสักอันด้วยเป็อย่างไรเ้าคะ?”
ต้องบอกว่าสวี่ชิวเยวี่ยนั้นเป็ยอดสุนัขรับใช้เลยจริงๆ อันดับหนึ่งเื่การประจบสอพลอนี้ หากไม่ใช่นางจะเป็ใครได้อีก? เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรำพึงอยู่ในใจ แต่สุดท้ายก็ปิดปากเงียบ ไม่ได้เอ่ยอะไร
เชิงอรรถ
[1] ฝุ่นผงร่วงหล่นลงจนหมด (尘埃落定) เปรียบเทียบถึงเื่ราวได้สิ้นสุดลงแล้ว
[2] เดินหนึ่งก้าวกราบหนึ่งครั้ง (一步一磕头) เป็การแสดงความเคารพศรัทธาต่อพุทธศาสนา และแสดงตนเป็พุทธมามกะรูปแบบหนึ่งในประเทศจีนและทิเบต โดยจะกราบทุกหนึ่งหรือสามก้าวไปจนถึงอุโบสถ
