Chapter 3
“เฮเซล… คุณจูบผมอีกครั้งได้ไหม”
เอเดน กริฟฟินมีแต่เื่ที่ทำให้เขาประหลาดใจจริง ๆ โจไซอาคิด แม้แต่ชื่อปลอม ๆ ที่ตัวเองเพิ่งตั้งขึ้นอย่างสิ้นคิดจากสีตาทรงเสน่ห์ของอีกฝ่ายก็ไพเราะขึ้นมา ยามที่เอเดนเรียกด้วยเสียงทุ้มพร้อมแววตาออดอ้อน เขายกยิ้มอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่ หมดคราบเทพผู้เก็บงำความรู้สึกของตนเองได้ดีอย่างสิ้นเชิง ราวกับโจไซอาย้อนเวลากลับไปเมื่อตอนมีรักใสซื่อกับมนุษย์ครั้งแรก
รักใสซื่อที่โหยหากันอย่างไม่รู้จบ ทำเื่งี่เง่าราวไม่ได้ใช้สมองคิดเพียงเพื่ออยากทำตามหัวใจ ความรักอันบริสุทธิ์โดยไม่มีสิ่งใดขั้นกลาง หรือการวางตัวเหนือกว่า โจไซอาไม่อยากลองเชิงกับมนุษย์คนนี้เพื่อความสนุกสนานอีกแล้ว เพราะอดกลั้นความรู้สึกของตนเองไม่ได้ เพียงแค่ดวงตาออดอ้อนกับเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยขออย่างสุภาพก็ทำให้เชิดใบหน้าเพื่อมอบจุมพิตให้เอเดนอีกครั้งอย่างง่าย ด้วยความ้าััริมฝีปากบางของเอเดนที่มากล้นในหัวใจ
ต้องเป็คืนนี้แน่ คืนที่เอเดน กริฟฟินจะมีอายุขัยยืนยาวไปอีกหลายปี คืนนี้ต้องเป็คืนของพวกเขาอย่างแน่นอน โจไซอาคิดเช่นนั้นเมื่อท่อนแขนแข็งแกร่งของเอเดนวาดกอดรอบเอวจนร่างกายแนบชิดกันขณะจูบดูดดึงเกี่ยวลิ้นในโพรงปาก ต้องเป็คืนนี้แน่ที่โจไซอาจะได้ร่วมหลับนอนกับมนุษย์ที่ถูกใจมากเป็พิเศษในรอบหลายปี
มือสวยโอบกอดเอเดน วาดแขนคล้องลำคอและนึกรำคาญปกเสื้อเชิ้ตสีขาวกับหูกระต่ายสีดำที่ผูกแน่นรัดคอแทบไม่มีช่องอากาศหายใจ แน่นอนว่าโจไซอาชอบเอเดนตอนสวมเสื้อเชิ้ตปลดกระดุมจนเห็นแผงอกมากกว่า เรียวนิ้วค่อย ๆ เลื่อนขึ้นวางที่สันกรามทั้งสองข้าง ใบหน้าของเอเดนคมชัด หล่อเหลาราวรูปสลักจากช่างฝีมือดี ยามอีกฝ่ายอ้าปากเพื่อให้โจไซอาสอดลิ้นเกี่ยวตวัดทักทายด้านในสันกรามยิ่งคมชัดและมีเสน่ห์ขึ้นทวีคูณ
ต้องเป็คืนนี้ไม่ผิดแน่ ที่โจไซอาจะได้รับััจากเอเดนอย่างที่ปรารถนา ยามที่ทั้งคู่จะได้ปลดปล่อยความ้าที่มีต่อกันและกัน
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าหนักแน่นของกลุ่มคนนับสิบก็ดังขึ้นด้านนอกกำแพงพุ่มไม้สูง ทั้งสองผละจูบจากกันเมื่อได้ยินเสียงะโเรียก ‘คุณเอเดน’ พวกเขาถูกขัดจังหวะอีกครั้งอย่างน่าหงุดหงิด คิ้วของเอเดนขมวดเข้าหากัน ลิ้นดุนกระพุ้งแก้มก่อนที่ดวงตาสีเฮเซลจะหันมองที่กำแพงพุ่มไม้ เห็นเงาสีดำวิ่งผ่านไปมา พวกคนอารักขากำลังตามหาเอเดน และอาจเดินลอดซุ้มประตูเถากุหลาบเข้ามาอีกไม่นาน
“มีคนขัดจังหวะเราอีกแล้วนะ” โจไซอาเอ่ยเสียงหวานอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“ผมต้องกลับเข้าไป ขอโทษนะเฮเซล” คิ้วเข้มของเขาขมวดเข้าหากัน มีรอยย่นตื้น ๆ ที่หน้าผาก เอเดนดูรู้สึกผิดสุดหัวใจ
“อืม ฉันรู้”
เอเดนยิ้มให้ชายรูปงาม แล้วปล่อยมือออกจากเอวคอดอ้อยอิ่ง พลางหันมองซุ้มประตูเถากุหลาบอย่างระแวดระวัง เขาก้าวเท้าออกไปจากศาลาแปดเสา แต่หันกลับมาอีกครั้ง
“คุณรอผมจนจบงานได้หรือเปล่า” เอเดนส่งสายตาแบบนั้นมาอีกครั้ง สายตาแบบเดียวกับตอนอ้อนขอจุมพิต
“ฉันไม่รับปาก” โจไซอายังคงไม่ทุกข์ร้อนกับการถูกขัดจังหวะเป็ครั้งที่สอง เขายกยิ้มอารมณ์ดีและไม่เอ่ยสัญญาที่ตนเองทำไม่ได้ เอเดนดูเสียใจที่ได้ยินเช่นนั้น แต่เขาจำเป็ต้องเดินออกไปจากสวนนี้ก่อนที่จะมีคนมาพบโจไซอา จึงจำใจเดินจากไป
โจไซอามองตามแผ่นหลังกว้างจนหายไปทางซุ้มประตูเถากุหลาบ รอยยิ้มยังคงวาดประดับบนใบหน้างดงาม แม้จะผิดจากที่คาดเดา แต่เขาย่อมไม่ปล่อยเอเดน กริฟฟินหลุดมือไปเพียงแค่ได้จุมพิต ความกระหายและโหยหาที่ทั้งคู่มีต่อกันรุนแรงจนเทพแห่งการร่วมประเวณีอย่างเขารู้สึกถึงมัน มีหรือที่เขาจะกดทับอดกลั้นมันเอาไว้และปล่อยให้มันดับหายไปเองเหมือนพวกมนุษย์โง่เขลา
“นี่เป็ครั้งสุดท้ายที่จะมีคนมาขัดเรา เอเดน...”
“คุณเอเดน!” ชายร่างใหญ่บึกบึนในชุดสูทสีดำที่มีท่าทีร้อนรนก้มหัวเคารพเอเดน กริฟฟินในทันทีเมื่อเขาเดินออกมาจากมุมมืดส่วนที่ลึกที่สุดของสวนในคฤหาสน์ ชายร่างใหญ่กดปุ่มเครื่องมือสื่อสารที่ข้างใบหูเพื่อบอกคนอื่น ๆ ว่าพบเอเดนแล้วและให้หยุดการตามหา
“นายท่านกำลังตามหาคุณอยู่ครับ”
“อือ ไปกันเถอะ” เอเดนไม่ขัดขืน เดินนำไปที่ห้องโถงสถานที่จัดงานเลี้ยงในทันที แต่ชายร่างใหญ่ในทีมอารักขายังจ้องมองไปทางมุมมืดที่เอเดนเดินออกมาด้วยแววตาสงสัย
“ฉันแค่ไปสูบบุหรี่ รีบไปได้แล้ว”
เอเดนโกหกอย่างที่เคยทำเสมอกับคนของพ่อ แต่ฝ่ายอารักขาที่เข้ามาทำงานได้ไม่กี่เดือนเชื่อคำพูดของเขาอย่างง่ายดาย และยอมละทิ้งความสงสัยนั้นเพื่อเดินตามเอเดน กริฟฟินกลับเข้างานเลี้ยงในห้องโถง
จุมพิตแสนหวานช่วยชีวิตของเอเดนเอาไว้จากความน่าเบื่อได้ดีเยี่ยม หากเขาไม่ได้ปลีกตัวออกไปเพื่อพบเฮเซล เขาอาจอาละวาดต่อหน้าแขกในงานเพราะทนปั้นยิ้มเสแสร้งไม่ได้อีกต่อไป และอึดอัดจนถึงขีดจำกัดความอดทน แต่ภายในใจของเอเดน กริฟฟินยังแห้งเหี่ยวและไม่กระตือรือร้นกับแขกในงานเช่นเดิม เขาเหม่อลอย มัวแต่มองรอบห้องโถงตลอดเวลา และเอาแต่คิดว่าเฮเซลจะอยู่รอเขาหรือไม่
“นี่เอเดน กริฟฟินครับ เอเดน นี่คือคุณวูดเฮาส์ และคุณนายวูดเฮาส์” ดูเหมือนว่าแขกสองคนนี้จะสำคัญเป็พิเศษ เพราะพ่อของเอเดนที่กำลังเริ่มเมาความสุขจากคนมีหน้ามีตามากมายรายล้อมเป็ผู้พาทั้งสองมาหาเขาด้วยตัวเอง
“สวัสดีครับคุณวูดเฮาส์ คุณนายวูดเฮาส์ ยินดีที่ได้พบครับ” เอเดนส่งมือขวาออกไปทักทายชายหญิงอายุราวใกล้ห้าสิบปีด้วยรอยยิ้มเสแสร้งอย่างที่ใช้มาตลอดทั้งงาน
“ยินดีจ้ะ ได้เจอกันเสียทีนะลูกชายของคุณกริฟฟิน” หญิงในชุดราตรีผ้าไหมอิตาลีสีเขียวเข้มยิ้มเต็มแก้มอย่างเก็บความดีอกดีใจเอาไว้ไม่อยู่ รอยย่นตามวัยจึงขึ้นเต็มร่องแก้ม
“เจนล่ะ” คุณวูดเฮาส์ดูกระสับกระส่ายหันซ้ายหันขวา และเอ่ยถามภรรยา เขาเป็ชายสองผมร่างท้วมที่เซตเก็บผมจนเรียบและแข็งเหมือนหิน รอยตีนผมของเขาแทบจะอยู่กลางศีรษะ หนวดของเขาที่เหนือริมฝีปากเป็สีดำแซมเทาไม่ต่างกับเส้นผม และยังจัดแต่งทรงหนวดอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อยราวกับเป็ของปลอม
“อ้อนั่นไง เจน! มานี่!” เธอหันซ้ายขวาตามสามีจนพบคนชื่อเจน และเอ่ยเรียกด้วยการแผดเสียงกระซิบพร้อมคิ้วขมวดเชิงบังคับและตำหนิ จากนั้นจึงคลายปมที่คิ้วเพื่อหันมายิ้มให้พ่อของเอเดน “ลูกสาวของพวกเราน่ะค่ะ”
“ขอแนะนำลูกสาวให้รู้จักครับคุณกริฟฟิน นี่คือลูกสาวคนเดียวของพวกเรา เจน วูดเฮาส์” ชายหนวดสีดำแซมเทายิ้มแย้มพร้อมแนะนำลูกสาวให้เอเดนกับพ่อ
“สวัสดีค่ะคุณกริฟฟิน และคุณกริฟฟิน… ผู้ลูก” เธอเอ่ยด้วยเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน และก้มหัวให้พ่อของเอเดนอย่างสุภาพ ก่อนจะแสดงความเขินอายไม่กล้าสบตาเอเดน และก้มหัวให้เช่นกัน
“เอเดนครับ” เขายื่นมือขวาให้เธอพร้อมปั้นรอยยิ้ม เธอเหลือบตามองเอเดนเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นแล้วก็หลุบมองพื้นอย่างเก่า ริมฝีปากทาลิปสติกสีชมพูส้มเม้มแน่นแล้วค่อย ๆ ยื่นมือข้างขวาที่สวมถุงมือสีขาวออกมา
“จ…เจนค่ะ”
เอเดนคิดว่าเธอยังเด็กเกินไป อายุคงไม่เกินสิบเก้าปี แต่ดูเหมือนว่าคุณหรือคุณนายวูดเฮาส์จับเธอใส่ชุดราตรีเปิดไหล่เห็นผิวกายและเนินอก เอเดนจึงกวาดสายตาผ่าน ๆ ไม่จ้องมองไปที่เธอนอกเหนือจากตอนทักทายกัน โดยปกติเอเดนไม่ชอบความไร้เดียงสา และพอจะคาดเดาเหตุผลของการพาลูกสาวมาแนะนำตัวกับเขาได้
บริกรถือถาดเครื่องดื่มเดินเข้ามา พ่อของเอเดนจัดแจงให้หยิบกันคนละแก้ว ยัดแก้วแชมเปญใส่มือของลูกชายแม้รู้ดีว่าเขาไม่ชอบมัน เพียงเพื่อเหตุผลเดียวคืออวดความร่ำรวยในการหาแชมเปญราคาแพงมาเสิร์ฟแขกไม่อั้น และเอาอกเอาใจคู่ค้าหวังผลประโยชน์ คืนนี้พ่อคงจะได้อะไรสักอย่างสมใจไม่น้อยถึงได้ยิ้มแย้มไม่หุบ
ขณะที่แขกยกเครื่องดื่มขึ้นจิบ เอเดนแค่แตะมันกับริมฝีปากแต่ไม่กลืนลงคอ ดวงตาของเขามองรอบห้องโถงเพื่อตามหาเฮเซลอีกครั้ง และเขาพบร่างเพรียวอันงดงามของอีกฝ่ายที่ไกลออกไปสาม่คน กำลังหยิบแก้วแชมเปญจากถาดสีทองเช่นกัน ดวงตากลมเฉี่ยวมองเอเดน รอยยิ้มสวยวาดที่ริมฝีปากส่งมาให้ มือหนาจึงยกแก้วแชมเปญขึ้น และมือสวยก็ยกตอบราวกับกำลังดื่มฉลองร่วมกับเฮเซลในระยะไกล หนนี้เอเดนจึงยอมกลืนเครื่องดื่มที่ตนเกลียดลงคออึกใหญ่
เก๊ง เก๊ง เก๊ง
เสียงใส ๆ ของช้อนสีทองที่กระทบกับแก้วแชมเปญทำให้เสียงพูดคุยของผู้คนและเสียงดนตรีค่อย ๆ เงียบลง เพราะผู้ที่ทำเสียงเช่นนั้นคือวิลเลียม กริฟฟิน ประธานของบริษัทกริฟฟิน ผู้ที่ดูแลอยู่เหนือบริษัทเครือย่อยทุกสาขาของตระกูลทั้งหมด หรือพ่อของเอเดน เมื่อได้รับสายตาสนอกสนใจของคนในงานแล้ว วิลเลียมจึงเริ่มพูด
“ขอขอบคุณแขกทุกท่านที่มาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดอายุ 25 ปีของเอเดน กริฟฟินในวันนี้ครับ” เสียงของเขาก้องกังวานดังชัดทั้งห้องโถง “ผมขอใช้โอกาสนี้ประกาศให้ทุกท่านทราบ”
ดวงตาสีดำสนิทเหลือบมองลูกชาย รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้าเหี่ยวย่นโดยเฉพาะหน้าผากและระหว่างคิ้ว ในที่นี้คงมีเพียงรอยยิ้มของวิลเลียม กริฟฟินเพียงคนเดียวที่ไม่มีการปั้นแต่งหรือเสแสร้ง เพราะความสุขของคนบ้าอำนาจอย่างพ่อของเอเดนคือผลประโยชน์มหาศาล ตรงกันข้ามกับเอเดนอย่างสิ้นเชิง เป็พ่อลูกกันแท้ ๆ แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ต่างกันถึงเพียงนี้
“สิ่งที่ผมจะบอกก็คือ… เอเดน กริฟฟิน จะขึ้นเป็รองประธานผู้บริหาร และเตรียมสืบทอดธุรกิจอย่างเป็ทางการครับ”
เอเดนหูอื้อไม่รับรู้เสียงอื่นใดหลังจากได้ยินคำว่าสืบทอดธุรกิจ เขาหนีคำคำนี้มาตลอด แต่ไม่อาจเตรียมใจรับมือกับมันได้แม้จะรู้ชะตาชีวิตตัวเองที่พ่อแม่กำหนดไว้ให้ั้แ่เกรดสี่ ผู้คนมีหน้ามีตาทั้งหลายที่วิลเลียมเชิญมาปรบมือพร้อมรอยยิ้มเคลือบด้วยความชั่วร้ายและบ้าอำนาจเหมือนกันทั้งหมด
“ขอเชิญทุกท่าน ดื่มแด่เอเดน กริฟฟิน”
แขกในงานหยิบแก้วแชมเปญ ชูมันขึ้นสูง และพูดคำว่า ‘แด่ เอเดน กริฟฟิน’ ตามวิลเลียมอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาดื่มเครื่องดื่มที่เขาไม่ชอบ และยกยิ้มเสแสร้งแบบที่เขาเกลียด เอเดนไม่ได้ดื่มมัน ยังคงยืนชะงักนิ่งด้วยแววตาสื่อความรู้สึกสิ้นหวังและไม่พอใจ เขาจ้องมองพ่อที่ตำหนิเขาทางสายตากับท่าทางไม่ยินดีของเขา
ท่ามกลางแขกที่กำลังดื่มฉลองให้กับทายาทสืบทอดธุรกิจคนต่อไป มีผู้หนึ่งไม่ได้ดื่มแชมเปญ ไม่ได้เฉลิมฉลอง และมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สังเกตเห็นสีหน้าไม่พอใจจากเอเดน คือโจไซอา
มือสวยวางแก้วแชมเปญที่ดื่มได้แค่หนึ่งอึกลงบนโต๊ะยาวปูผ้ากำมะหยี่สีแดงที่เสิร์ฟอาหารแบบค็อกเทล ดวงตากลมเฉี่ยวสีน้ำตาลจับจ้องเอเดน กริฟฟิน กับพ่อของเอเดนไม่วางตา ทั้งคู่กำลังมีปากเสียงกัน และอาจรุนแรงได้มากกว่านี้หากไม่มีแขกมองอยู่ ราวกับว่ามีแค่โจไซอาคนเดียวที่รับรู้ความไม่พอใจของเอเดน ราวกับว่าพวกคนน่ารำคาญเป็ร้อยคนในห้องโถงนี้ตาบอดไปแล้ว
หญิงวัยกลางคนที่เกล้าผมเก็บเรียบร้อยในชุดราตรีแขนยาวผ่าอกสีครีมเดินเข้ามาจับท่อนแขนของวิลเลียมแ่เบา โจไซอารู้ได้ในทันทีว่าเธอคือแม่ของเอเดนจากริมฝีปากบางมุมคว่ำเคลือบลิปสติกสีชมพู เธอพยายามห้ามสามีผ่านสีหน้า และห้ามเอเดนด้วยสายตาแบบเดียวกัน ร่างสูงกำยำใต้ชุดทักซีโดตามแบบแผนเดินถอยออกไปอย่างหัวเสีย แต่โจไซอาไม่ได้เดินตามเอเดนไป
เขาจะทำอย่างอื่นที่สำคัญมากกว่านั้น
ขาเพรียวยาวก้าวอย่างแน่วแน่ไปหาสามีภรรยาผู้เป็พ่อแม่ของเอเดน กริฟฟิน เสียงนักดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงใหม่แขกคนอื่นจึงหันไปสนุกกับงานเลี้ยงมากกว่าจะสนใจเขา กระทั่งโจไซอามายืนอยู่ด้านหลังทั้งคู่สำเร็จ เทพผู้งดงามเอ่ยเสียงกระซิบแ่เบา พร้อมพลังอำนาจที่ตนมี
“เลิกสนใจเอเดน”
เทพทุกองค์สามารถสะกดจิตได้ แม้พลังจะไม่ถาวรคงทนเท่ากับเทพแห่งการสะกดจิตโดยตรงแต่สามารถทำให้มนุษย์อยู่ใต้คำสั่งนั้นสักระยะหนึ่ง โจไซอายกยิ้มยามเห็นทั้งคู่ชะงักนิ่งเมื่อได้ยินเสียงของเขา ก่อนจะยิ้มทักทายพูดคุยกับแขกอย่างปกติราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น
โจไซอารู้ดีว่าการสะกดจิตมนุษย์เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวนั้นผิดกฎเทพ
โจไซอารู้ดีว่าเขาจะถูกเทพอารักษ์กฎตักเตือน
แต่ช่างปะไร โจไซอาทำได้ทุกอย่าง เพื่อไม่ให้ใครมาขัดขวางเขากับเอเดน
‘พ่อไม่เคยถามด้วยซ้ำว่าผม้าอะไร ผมไม่เคยคิดอยากจะทำไอ้งานบ้านี่สักนิด’
‘จะไปทำอะไรก็ไปซะ ฉันไม่สนใจแกอีกแล้ว’
เสียงทุ้มะโดังก้องโถงทางเดินยาวในคฤหาสน์กริฟฟินหลังจากงานเลี้ยงเลิกราและแขกเดินทางกลับจนหมด วิลเลียม กริฟฟินบอกกับลูกชายคนเดียวเช่นนั้นเมื่อเอเดนเข้ามาแสดงความไม่พอใจเื่การขึ้นเป็รองประธาน เอเดนแปลกใจกับประโยคเช่นนั้นของพ่อ แม่ที่ยืนควงแขนพ่อแสดงความคิดแบบเดียวกันด้วยดวงตาเฉยเมยไม่แยแสเอเดนอีก
เอเดน กริฟฟินจึงได้ััความสุขของชีวิตที่เป็อิสระ เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าจะมีสิ่งใดที่สุขได้มากเท่านี้
เขากำลังออกมาปลดปล่อยตัวตนของตัวเองหลังอยู่ในทักซีโดสีดำผูกหูกระต่ายจนแน่นอึดอัดที่ลำคอหลายชั่วโมงเมื่อคืนที่ผ่านมา และกำลังสุดเหวี่ยงอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
เอเดนสวมแจ็กเกตหนังสีดำกับกางเกงยีนสีเดียวกันพร้อมกับรองเท้าบูทหนังกลับสีเทาเข้ม มือสวมถุงมือหนังสีน้ำตาลแดงคู่โปรด สวมหมวกกันน็อกเต็มใบสีดำ และขี่รถจักรยานยนต์ Kawasaki Ninja รุ่น H2/R สีดำเงินด้วยความเร็วที่ทิวทัศน์โดยรอบเป็เพียงเส้นตรงแนวนอนหลากสีมองเป็ภาพไม่ชัดเจน
บนถนนเงียบสงบที่เอเดนรักแห่งนี้ไม่มีรถคันอื่น และจะไม่มีคำว่าตระกูลกริฟฟินคอยกำหนดทางเดินชีวิตของเขา บนถนนคอนกรีตที่คดเคี้ยวสูงต่ำตามเนินเขาแห่งนี้แทบจะเป็ของเอเดน เขาแล่นผ่านอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตาพร้อมกับกลิ่นหอมสดชื่นของอิสระ
เอเดนกำลังดื่มด่ำความสุขได้ไม่นาน เสียงเร่งเครื่องยนต์ก็ดังขึ้นด้านหลังจนต้องมองผ่านกระจก ภาพรถสปอร์ตสีขาวขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูงเข้ามาใกล้เอเดนอย่างรวดเร็ว เขาเบี่ยงไปฝั่งหนึ่งของถนน แต่รถสปอร์ตกลับไม่แซงไปข้างหน้าและเบี่ยงตาม เอเดนจึงรับรู้สัญญาณบางอย่างว่าคงไม่ใช่แค่คนแปลกหน้าบนท้องถนนที่ขับผ่านกัน
เขาเร่งความเร็วเพิ่มขึ้น เพ่งมองที่ท้องถนนโล่งแล่นผ่านโค้งที่คดเคี้ยวซึ่งโดยรอบเป็ต้นไม้อุดมสมบูรณ์ แต่เอเดนมองเห็นเพียงความเลือนรางสีเขียวสดเท่านั้น เสียงเครื่องยนต์จากรถสปอร์ตดังขึ้นเมื่อเอเดนทิ้ง่ห่างได้อีกระยะ จากนั้นก็เร่งความเร็วเข้ามาจ่อใกล้กับรถจักรยานยนต์อย่างน่าหวาดเสียว
เอเดนไม่เข้าใจ ใบหน้าภายใต้หมวกกันน็อกกำลังกังวล ขมวดคิ้วแน่น เหงื่อไหลซึมหน้าผาก รถจักรยานยนต์ที่เครื่องยนต์แรงแค่ไหนก็ไม่อาจสู้รถสปอร์ตได้ เว้นแต่ว่าคนขับจะไม่มีฝีมือในการควบคุมรถมากเพียงพอ เอเดนพยายามคิดในแง่นั้นและเร่งความเร็วเลี้ยวผ่านโค้งตามแนวเนินเขาต่อไป
รถสีขาวยังคงตามเอเดนอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยและยอมแพ้ ในขณะที่เอเดนเหนื่อยหอบเพราะขี่รถมานาน เขากลืนน้ำลายเหนียวเพราะขาดน้ำลงคออย่างยากลำบาก ความกังวลทำให้สมาธิของเขาลดต่ำในที่สุด ความเร็วลดลงจากเดิม พร้อมกับรถสปอร์ตสีขาวที่เร่งเครื่องสุดกำลังเพื่อแซงเอเดน และจอดรถขวางถนนจนเขาหลีกหนีไม่ได้อีก เศษหินและเศษฝุ่นบนท้องถนนฟุ้งในอากาศเพราะความเร็วของรถสองคัน
เอเดนจ้องมองรถสปอร์ตสีขาวตรงหน้าผ่านหมวกกันน็อกเต็มใบ เป็อย่างที่คิดว่าเป็ไปไม่ได้เลยที่รถจักรยานยนต์คันใหญ่จะเอาชนะรถแข่ง Bugatti Chiron Super Sport ที่มีกำลัง 1,578 แรงม้า เอเดนเตะขาตั้งเมื่อรถของตนเองจอดนิ่ง วาดขาลงจากรถคู่ใจและก้าวเท้าแน่วแน่เข้าหารถสีขาวอย่างไม่นึกเกรงกลัว พร้อมกับประตูรถฝั่งคนขับที่เปิดออกจากด้านใน
แต่ผู้ที่ก้าวขาออกมาจากรถทำให้เอเดนนิ่งงัน
เฮเซลปรากฏตัวตรงหน้าเอเดน เฮเซลคือเ้าของรถสปอร์ตสีขาวคันนี้ นับั้แ่รองเท้าโลฟเฟอร์หนังสีน้ำตาลก้าวลงถึงพื้นถนนก็สามารถสะกดสายตาของเอเดนเอาไว้ได้ ข้อเท้าเรียวบางกับผิวเนื้อที่โผล่พ้นจากรองเท้าและขากางเกงสีครีมมีแรงดึงดูดอย่างน่าอัศจรรย์ เฮเซลยังคงสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและปลดกระดุมสองเม็ดเห็นแผ่นอกบางอย่างที่เคยเห็นมาแล้วสองครั้ง ชายเสื้อด้านหน้าทับอยู่ด้านในกางเกงรัดด้วยเข็มขัดสีน้ำตาล ส่วนชายเสื้อด้านหลังปล่อยออกมาอย่างสบาย ๆ
และเฮเซลยิ้มให้เอเดน
เขาถอดหมวกกันน็อกออกจากหัว ขยี้เส้นผมด้วยรอยยิ้มเต็มแก้มอย่างดีอกดีใจ และประหลาดใจกับการปรากฏตัวในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เขาก้าวเท้าเข้าหาชายรูปงามอย่างไม่ลังเล เอียงคอมองพร้อมขมวดคิ้วสงสัยในความอัศจรรย์หลายอย่างที่อีกฝ่ายสร้างขึ้น
“คุณ… อีกแล้ว”
“ใช่”
“ไม่เห็นต้องไล่ตามกันขนาดนั้นเลยนี่เฮเซล”
โจไซอาแย้มยิ้มอารมณ์ดี การมาหาเอเดนเพียงเพื่อได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยชื่อปลอมก็ทำให้เขามีความสุขอย่างง่ายดาย เอเดนทำให้เขาชอบชื่อนี้แม้ว่ามันจะสิ้นคิดเพียงใดก็ตาม แต่มองลึกเข้าไปในดวงตาสีเฮเซลประกายสีเขียวและสีเทาที่ยิ่งเห็นชัดเจนในยามต้องกับแสงแดดเช่นนี้กลับทำให้เขาเปลี่ยนความคิด โจไซอาคิดว่าชื่อเฮเซลช่างไพเราะ และเหมาะสมกับน้ำเสียงทุ้มนุ่มของเอเดนเวลาอีกฝ่ายเรียกชื่อนี้ แล้วมองโจไซอาด้วยดวงตาสีเฮเซล
“สนุกดีไม่ใช่เหรอ” รอยยิ้มของโจไซอาเป็ดั่งดอกไม้ผลิบานท่ามกลางถนนที่ล้อมด้วยต้นไม้สีเขียวสด เอเดนยืนมองใบหน้าอันงดงามเต็มไปด้วยแรงดึงดูดและสร้างความโหยหาให้เขานึกถึงจุมพิตแสนหวานอีกครั้ง
“อยากสนุกอีกรอบไหมครับ ผมมีที่หนึ่งอย่างให้คุณไป” เอเดนถามอย่างท้าทาย
“เอาสิ” โจไซอารับคำท้าโดยไม่ลังเล จากนั้นมือหนาใต้ถุงมือหนังสีน้ำตาลจึงใส่หมวกกันน็อกเต็มใบอีกครั้ง และยกกระจกสีดำสนิทด้านหน้าขึ้นจนเห็นเพียงดวงตาสีเฮเซลกับจมูกปลายทู่
“หวังว่าครั้งนี้คุณจะไม่หายไปอีก” เสียงทุ้มอู้อี้เพราะถูกบดบังกล่าวทิ้งท้ายด้วยแววตาแสดงความโกรธเคืองเล็ก ๆ ที่โจไซอาหายตัวไปก่อนงานเลี้ยงวันเกิดจะเลิก จากนั้นจึงคร่อมรถจักรยานยนต์คันใหญ่สีดำเงิน
เสียงเร่งเครื่องของจักรยานยนต์คันใหญ่คู่ใจดังขึ้นอีกครั้ง เอเดนออกตัวด้วยความเร็ว และค่อย ๆ เร่งจนมองไม่เห็นรถสปอร์ตสีขาว แต่เพียงชั่วอึดใจเดียวเสียงเครื่องยนต์ก็ดังขึ้นด้านหลังตามมาด้วยรถที่โจไซอาเป็คนขับ เศษฝุ่นเศษหินก้อนเล็กบนท้องถนนลอยตัวสูงขึ้นฟุ้งกระจายในอากาศเมื่อทั้งคู่แล่นผ่านตามกันติด ๆ แม้แต่ต้นไม้ต้นเล็ก และกิ่งของต้นไม้ใหญ่ริมถนนยังไหวตามลมที่ทั้งสองสร้างขึ้น
เอเดนกำลังสนุก ไม่ต่างจากโจไซอาที่ห่างหายจากเื่น่าตื่นเต้นมานานและได้ััความรู้สึกที่หัวใจเต้นแรงอีกครั้ง ความเร็วที่มาคู่กับความอันตรายเป็เื่เร้าใจได้เสมอ แม้รู้ดีว่าตนไม่ถึงคราวตายง่าย ๆ และรู้ดีว่าอายุขัยของเอเดนจะอยู่ต่ออีกนาน ไม่ดับลงในวันนี้อย่างแน่นอน
โค้งด้านหน้ามีต้นไม้สูงบดบังเส้นทางทำให้ไม่เห็นจุดหมาย เอเดนเร่งความเร็วแล้วเข้าโค้งอย่างสมบูรณ์แบบโดยไม่ทำให้เสียจังหวะ เขายกยิ้มภายใต้หมวกกันน็อกเต็มใบ สูดกลิ่นสดชื่นของต้นไม้ที่เล็ดลอดผ่านเข้ามาในหมวกกันน็อก แต่เมื่อเหลือบมองกระจกด้านข้างกลับไม่พบรถสปอร์ตสีขาว ไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ ไม่ว่าจะแล่นต่อไปอีกก็ยังไม่เห็นโจไซอาตามมา
เอเดนเริ่มใจเสีย เขาหวาดระแวงว่าโจไซอาจะหายไปอีกั้แ่ที่เดินตามหาอีกฝ่ายทั่วห้องโถงที่จัดงานเลี้ยง และทั่วสวนของคฤหาสน์แต่ไม่พบโจไซอา เขากลัวว่าครั้งนี้จะเป็แบบเดิม แม้จะรู้ดีว่าชายผู้งดงามคนนี้เป็คนลึกลับน่าค้นหาที่สุดเท่าที่เคยพบ แต่ในยามที่ความโหยหาและความ้าล้นเต็มหัวใจเช่นนี้ เขาไม่อยากเสียเวลาตามหาโจไซอาอีกแล้ว
เอเดนชะลอความเร็วและหยุดรถในที่สุด เขาเปิดกระจกสีดำด้านหน้าหมวกกันน็อก หันมองถนนโล่งว่างเปล่าด้านหลังด้วยความรู้สึกที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ไม่มีอีกแล้วความสุขของอิสระและถนนเส้นโปรดที่เป็ของเขา มีแต่ความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาหากไม่มีโจไซอา
แต่แล้วเสียงเครื่องยนต์กับรถสปอร์ตสีขาวก็ปรากฏในสายตาของเอเดนอีกครั้ง มันชะลอความเร็วแล้วจอดสนิทข้างกัน เฮเซลเลื่อนกระจกด้านข้างลง
“ถึงแล้วเหรอ”
เฮเซลยังอยู่ ยังไม่หายตัวไป และพร้อมจะตามเขาไปในสถานที่โปรดเพียงเพราะเขาแค่เอ่ยชวนว่าอยากให้อีกฝ่ายไปด้วยกัน เพียงเท่านั้นก็ทำให้เอเดนยิ้มไม่หุบ พร้อมกับส่ายหน้าตอบ เอเดนเงยหน้ามองสีของท้องฟ้า เหลือเวลาอีกไม่มากก่อนที่พระอาทิตย์จะตก เขาจะพลาด่เวลานั้นไม่ได้ เอเดนจึงปิดกระจกหมวกกันน็อกสีดำ และออกเดินทางอีกครั้ง โดยมีรถสปอร์ตสีขาวของโจไซอาขับตามไม่ห่าง
tbc.
#เฮเซลอาย