ในวันที่การแสดงศิลปะการต่อสู้ของ เมียงปล๊ะ และเพื่อนๆ ไม่ค่อยมีคนดูแล้ว พวกเขาจึงต้องออกไปหาของป่าประทังชีพ เมียงปล๊ะและเพื่อนๆ เดินทางผ่านป่าลึกที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่และเสียงนกร้องที่ก้องกังวาน
ป่าเขาที่ เมียงปล๊ะ และเพื่อนๆ เดินทางไปนั้นเป็ป่าลึกที่เต็มไปด้วยความงดงามและความลึกลับ ต้นไม้สูงใหญ่ยืนต้นเรียงรายกันอย่างหนาแน่น ใบไม้สีเขียวสดใสปกคลุมทั่วทั้งป่า ทำให้แสงแดดที่ส่องลงมาผ่านใบไม้กลายเป็แสงสว่างอ่อนๆ ที่สร้างบรรยากาศเย็นสบาย
เสียงนกร้องก้องกังวานไปทั่วป่า สร้างความรู้สึกสงบและเป็ธรรมชาติ ขณะที่พวกเขาเดินผ่านทางเดินที่เต็มไปด้วยโคลนและหินเล็กๆ พวกเขาได้ยินเสียงน้ำไหลจากลำธารใสที่ไหลผ่านกลางป่า น้ำในลำธารใสจนสามารถมองเห็นก้อนหินและปลาตัวเล็กๆ ที่ว่ายน้ำอยู่
ดอกไม้ป่าหลากสีสันบานสะพรั่งอยู่ตามทางเดิน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ลอยมาตามลม ทำให้การเดินทางของพวกเขาเต็มไปด้วยความสดชื่นและความสุขพอจะลืมความเหนื่อยยากและความทุกข์ในการทำมาหากินไปได้ชั่วขณะหนึ่งเหมือนกัน
ในป่าลึกนี้ยังมีสัตว์ป่าหลากหลายชนิด ทั้งกวาง กระต่าย และนกนานาชนิดที่ออกมาหาอาหารและเล่นน้ำในลำธาร พวกเขาเดินทางไปเรื่อยๆ ผ่านเนินเขาและหุบเขาที่เต็มไปด้วยความงดงามของธรรมชาติพวกเขาเดินทางไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงหุบเขาลึกที่มีลำธารใสไหลผ่าน พวกเขาได้รู้ถึงความ้าของพวกพ่อค้าของป่า และรู้ว่าจะต้องเสาะหา สิ่งที่มีค่าในป่า เช่น รังผึ้ง รวมถึงสมุนไพรหายากที่มีสรรพคุณทางยาต่างๆ ซึ่งพวกนี้นั้นสามารถรวบรวมไปขายให้กับพ่อค้าต่างชาติที่แวะมาซื้อขายสินค้าประเภทของป่าเป็บางครั้ง ซึ่งปริมาณของสิ่งของที่หาได้นั้น ถ้าเป็ของที่หายากก็จะสามารถทำราคาให้พวกเขาสามารถอยู่ได้เป็เดือนๆ โดยไม่ต้องทำสิ่งใดเพิ่มเติมเลยก็มี
อย่างไรก็ตาม ขณะที่พวกเขาเดินทาง พวกเขาต้องระวังสัตว์ป่าที่เป็อันตราย เช่น เสือและหมี ทาง เมียงปล๊ะ และเพื่อนจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมในการเผชิญหน้ากับสัตว์เหล่านี้ เพราะว่าพวกเขานั้น ก็เป็เฉกเช่นเดียวกับชาวบ้านคนอื่นๆ คือมีแต่หัวใจ กำลังใจ และกำลังกายเท่านั้น ไม่มีอาวุธอะไรที่ดีไปกว่า ท่อนไม้ และหอกที่มีปลายเป็หินก้อนๆ ทำให้เป็ทรงแหลมๆเอาไว้ ซึ่งอาจจะพอใช้ในการต่อสู้กับสัตว์ร้ายตัวเล็กๆ เช่น งู หรือ ตะขาบได้ แต่ถ้าเจอสัตว์นักล่าที่น่ากลัวกว่านั้น อย่างเสือหรือหมี ก็แทบจะไม่มีประโยชน์เลย อย่างไรก็ตามสัตว์พวกนี้นั้น ถ้าไม่อยู่ใน่คับขันจวนตัว หรือมีลูกอ่อน หรือไม่ก็แก่จนไม่สามารถจะจับสัตว์ป่าอื่นกินได้ สัตว์ร้ายขนาดใหญ่ อย่างพวกเสือ หรือหมีนั้นมักจะหลบเลี่ยงจากผู้คน แต่ก็มีสัตว์อีกหลายชนิด ที่พร้อมจะทำร้ายคนได้เสมอ แม้จะกินพืชเป็อาหารหลักๆ ไม่ว่าจะเป็หมูป่า , กระทิง , กูปรี หรือแม้กระทั่งช้าง ซึ่งปีหนึ่งๆ นั้นคนที่เข้าไปหาของป่านั้นต่างสาบสูญและล้มตายไปปีละไม่ใช่น้อยๆ นั่นก็ทำให้ เมียงปล๊ะ และเพื่อนๆ ก็ไม่ได้อยากจะเข้าป่าเสียเท่าไหร่ นอกจากจะมีความจำเป็จริงๆ เช่นสถานการณ์ในตอนนี้เป็ต้น
การเดินทางเป็ไปอย่างยากลำบากพวกเขาได้เดินผ่านทางเดินที่เต็มไปด้วยโคลนและหินเล็กๆ เมียงปล๊ะ ต้องระวังพืชมีพิษที่อาจทำให้เกิดอันตรายได้ ซึ่งเขามีความรู้ในการแยกแยะพืชที่ปลอดภัยและพืชที่มีพิษ ทำให้เขาสามารถหลีกเลี่ยงอันตรายจากพืชบางชนิดที่อาจจะทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนได้เพียงแค่เอาตัวไปััเท่านั้น...
แต่ในขณะที่ เมียงปล๊ะ กำลังเดินอยู่บนทางที่ลื่นและเต็มไปด้วยโคลน เขาก็ลื่นไถลลงไปที่หุบเขา เพื่อนๆ ของเขาใและพยายามจะช่วย แต่เมียงปล๊ะลื่นไถลลงไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเขาหยุดลงที่ก้นหุบเขา
“โอ๊ยยยย............”
เมียงปล๊ะ รู้สึกถึงความหวาดกลัวที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ขณะที่เขาลื่นไถลลงไปอย่างรวดเร็ว เขาพยายามจะจับกิ่งไม้หรือหินเพื่อหยุดการลื่นไถล แต่ทุกอย่างดูเหมือนจะลื่นและไม่สามารถยึดเกาะได้ ความรู้สึกหวาดกลัวและความไม่แน่นอนทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง
เมื่อ เมียงปล๊ะ หยุดลงที่ก้นเหว เขารู้สึกถึงความเ็ปที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย แต่ความหวาดกลัวนั้นยังคงอยู่ เขามองไปรอบๆ และพบว่าตัวเองอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย ความมืดและความเงียบสงบของเหวทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวและหวาดกลัว
“นี่เราตกลงมาที่ไหนกันเนี่ย...แย่จริงๆ...ลำบากแล้วเราคราวนี้”
เมียงปล๊ะ พยายามหาทางขึ้นจากเหว แต่ทุกครั้งที่เขาพยายามปีนขึ้นไป เขาก็ลื่นไถลลงมาอีก ซึ่งมันก็ทำให้ความหวาดกลัวของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็ความสิ้นหวัง อย่างไรก็ตามเมียงปล๊ะไม่ยอมแพ้ เขารู้ว่าต้องหาทางขึ้นไปจากใต้หุบเหวนี้ให้ได้เพื่อที่จะได้กลับไปหาเพื่อนๆของเขา
ขณะที่ เมียงปล๊ะ พยายามหาทางขึ้นจากเหว เขาได้ยินเสียงเพื่อนๆ ที่กำลังเรียกหาเขา เสียงนั้นทำให้เขารู้สึกถึงความหวังและกำลังใจ เมียงปล๊ะะโตอบกลับไปและพยายามปีนขึ้นไปอีกครั้ง
เขามองไปรอบๆ หวังว่าจะพบอะไรที่สามารถช่วยให้เขาปีนขึ้นไปได้ แต่ทุกอย่างดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่สามารถใช้ได้เลยในขณะนั้น เพราะในบริเวณนั้นเป็หุบเหวที่ลึกพอประมาณและไม่มีต้นไม้ที่เขาจะพยายามหักมาทำเป็หลาวแหลมเพื่อที่จะใช้จิ้มไปยังพื้นดินเพื่อไต่ขึ้นไป้าได้
“ลำบากแล้วล่ะซิเรา...แต่ที่นี่ก็เป็ป่า มันต้องมีโอกาศที่จะหาอะไรที่ช่วยให้เราปีนขึ้นไปได้ซิ...เราต้องไม่ท้อ !!!”
เมียงปล๊ะ พยายามเดินทาท่อนไม้หรือ เถาวัลย์ ที่อาจจะช่วยให้เขานั้นสามารถปีนกลับขึ้นไปบนยอดของหุบเขาเบื้องบนได้ แต่ในขณะที่ เมียงปล๊ะ กำลังสำรวจพื้นที่รอบๆ สายตาของเขา ก็ได้พบเข้ากับสิ่งแปลกๆอยู่สิ่งหนึ่งที่ถูกดินกลบทับไปครึ่งหนึ่งแต่มันก็พอที่จะทำให้เขานั้นรู้สึกมีความหวังขึ้นมาในหัวใจได้เลยทีเดียว
“เฮ้ย...มีของแบบนี้ตกอยู่ที่นี่ได้ยังไง...โชคดีแล้วเรา...ถ้ามีเ้านี่เราคงจะสามารถปีนขึ้นกลับขึ้นไป้าได้ง่ายขึ้นแน่ๆ...”
ใช่แล้ว....เมียงปล๊ะ...ได้พบกับดาบเก่าๆ อันหนึ่งที่ปักอยู่ในดิน ดาบนั้นดูเหมือนจะถูกทิ้งไว้นานแล้ว มีคราบของดินที่เกาะอยู่ทั่วไปบนใบดาบ แต่เป็เื่ที่น่าแปลกที่ตัวของดาบนั้นกลับไม่มีสนิมหรืออะไรที่ทำให้ดูดาบนั้นจะเสื่อมสภาพเลย แล้วก็ไม่รู้ว่า เขานั้นรู้สึกหรือคิดไปเองหรือเปล่าเมียงปล๊ะรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่แผ่ออกมาจากดาบนั้น ซึ่งไม่เหมือนกับดาบธรรมดาๆที่เขาเคยลองจับถือเล่น เวลาที่ไปเดินตลาดแล้วมีพ่อค้าดาบมาขายเลย ดาบพวกนั้นตอนที่เขาได้ถือนั้น เขาไม่รู้สึกถึงอะไรที่ผิดแปลกไปจากปกติเลย แต่สำหรับดาบเล่มนี้นั้น พอเขาได้จับดาบแล้วกับรู้สึกมีพละกำลังและกำลังใจที่ดีขึ้นมาจากในสภาพที่ค่อนข้างอ่อนล้าอย่างน่าแปลก ตอนนี้เขาจึงตัดสินใจที่จะใช้ดาบเล่มนี้ในการเป็อุปกรณ์ปีนขึ้นจากหุบเหวแห่งนี้ให้ได้
“ดาบอันนี้จะเป็ของใครยังไงก็ไม่รู้ล่ะนะ...แต่ถือว่าเป็โชคดีของเราเหลือเกินในการที่ได้เจอกับเ้าดาบเล่มนี้...เอาล่ะ...สหายเอ๋ย...ในยามยาก เ้ากับข้า ต่างก็ตกมาอยู่ที่ก้นเหวนี้กันทั้งคู่ ข้าขอถือเ้านั้นเป็สหายร่วมตายไปกับข้าก็แล้วกัน...ไปด้วยกันเถอะ...เพื่อนเอ๋ย...กลับไปที่บ้าน ข้าขอสัญญาว่าจะดูแลเ้าอย่างดีเลยทีเดียว...เพื่อนในยามยากของข้าเอ๋ย....ถ้าเ้าพาข้าขึ้นไปได้...ข้ารับรองว่าข้าจะทำความสะอาดเ้าให้เหมือนดาบที่เพิ่งตีใหม่ๆเลยทีเดียว....”
เมียงปล๊ะ จับดาบแน่นและเริ่มใช้ดาบนั้นเป็เครื่องมือในการปีนขึ้นไป เขาใช้ดาบแทงเข้าไปในดินและหินอย่างช้าๆ แต่มั่นคงเพื่อสร้างที่ยึดเกาะ ในขณะที่เขาก็ค่อยๆใช้กำลังปีนป่ายก้อนหินขึ้นไปทีละนิดๆ ความหวาดกลัวและความสิ้นหวังต่างๆค่อยเริ่มเปลี่ยนเป็ความหวังและความมุ่งมั่นที่แรงกล้าเพื่อที่จะรอดชีวิตออกไปจากสถานที่แห่งนี้ให้ได้
แล้วมันก็เป็เื่ที่น่าแปลกมากๆที่ในทุกครั้งๆที่ เมียงปล๊ะ ใช้ดาบแทงเข้าไปในดิน เขากลับรู้สึกได้ถึงพลังแปลกๆที่ได้ไหลเข้าสู่ร่างกายของเขา ทำให้เขามีแรงและความมั่นใจมากขึ้น เขาปีนขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดเขาก็ได้ปีนมาจนถึง้าของเหวตื้นๆอันนั้นจนได้
เมื่อ เมียงปล๊ะ ปีนขึ้นมาถึงปากหุบเหวได้สำเร็จ เขารู้สึกถึงความดีใจ ที่สามารถเอาชนะความยากลำบากได้ เขามองเห็นเพื่อนๆ ที่กำลังรอเขาอยู่ เพื่อนๆ ของเขาต่างก็ประหลาดใจแต่ก็ดีใจที่ได้เห็นเขาปลอดภัย และในเวลาต่อมาเหล่าเพื่อนๆของเขา ก็ต้องช่วยกันทำเปลธรรมชาติแบบง่ายๆ หามตัวของ เมียงปล๊ะ ที่ตอนนี้แทบจะหมดสิ้นเรี่ยวแรง หลังจากพยายามใช้กำลังทั้งหมดของตัวเองปีนขึ้นมาบนปากหุบเหวได้อีกครั้ง แต่ก่อนที่เขาจะสลบไปบนเปลที่เพื่อนๆเขาทำให้นั้น เขาก็ได้ใช้พละกำลังที่เหลืออยู่น้อยนิด เกาะกุมดาบเล่มเล็กๆที่เขาพบเจอในหุบเหวแห่งนั้นเอาไว้ในกำมือของเขาอย่างเหนียวแน่น เขานอนสลบไสลไปจนกระทั่งถึงเพิงพักของตัวเองและของเพื่อนๆ ในหมู่บ้านของเขา ที่ต่างก็ปลูกห่างกันอยู่ไม่ไกลนัก เพื่อที่จะพยายามรวมตัวกันให้เป็ชุมชนเพื่อป้องกันสัตว์ร้ายต่างๆ ตามประสาชาวบ้านท้องถิ่นที่อยู่ใกล้กับบริเวณป่าดิบนั่นเอง ที่ไม่รู้ว่าจะเจอภัยร้ายเมื่อใด ไม่ว่าจะเป็กับโจรผู้ร้ายต่างๆ หรือกระทั่งเหล่าสัตว์ป่าดุร้าย อย่าง เสือ,ช้าง และหมูป่าเป็ต้น
เหล่าเพื่อนๆของ เมียงปล๊ะ ได้ช่วยกันเอาเศษผ้ามาชุบน้ำเย็นๆ จากลำธารใกล้ๆกับหมู่บ้าน เอามาชุบที่ใบหน้าของ เมียงปล๊ะ จนในที่สุดเขาก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาจนได้ และหลังจากที่ เมียงปล๊ะ ได้รู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว เขาก็ได้แสดงความขอบคุณเพื่อนๆของเขาที่ได้ช่วยเหลือกันจนเขานั้นได้ฟื้นขึ้นมา และเขากับเพื่อนๆก็ได้แบ่งปันของป่าที่หากันมาได้ กันตามสมควร อันไหนขาดแคลนก็เก็บเอาไว้ใช้กันเอง ส่วนที่เหลือก็จะเก็บรวบรวมเพื่อเตรียมเอาไว้ขายในตลาดชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆกับปราสาทหินใหญ่อีกที
“โอ้...ชะเอิง...เอย....ท่านพี่ เมียงปล๊ะ รอดมาได้ครั้งนี้ก็ดีหนักหนา...อันตัวข้านั้นพอได้สดับรับเื่ราว...ก็พาลคิดเป็ห่วงว่าท่านพี่นั้น จักด่าวดิ้นสิ้นชีวาไปเสียแล้วในกาลครั้งนี้...เอย...คิดแล้วตัวข้าก็อดโศกาอาดูรไปมิได้...ชะเอิงเงยยย.....”
“เอ็งก็คิดมากเกินไป...ราตนะ...อ๊ะ...ชื่อใหม่ของเ้าชื่ออะไรนะ ?....ชื่อ ราม อะไรซักอย่างใช่ไหม ?...แล้วน้องของเ้าก็ชื่อ ลักษณ์ ข้าจำได้ถูกต้องหรือไม่ ?”
“ชะเอิงเอย...ท่านพี่ เมียงปล๊ะ กล่าวได้ถูกต้องแล้ว....ท่านพี่นี่ความจำช่างดียิ่งนัก...นับว่าเป็โชคอันดี ที่ท่านพี่นั้นถึงแม้จะตกลงไปในหุบเขา แต่แล้วท่านพี่ก็มิเป็อะไรมาก...ไม่งั้นพวกข้าคงได้ขนพลพยุหยาตราไปจัดสร้างพระเมรุมาศ....เพื่อส่งเสด็จท่านพี่ขึ้นสู่สรวง์นภาลัยเสียในค่ำคืนเป็แน่แท้....ชะเอิงเงย...”
ราม พูดขึ้นมาแล้วก็ร่ายรำไปด้วย พร้อมกับบรรดาเพื่อนๆในกลุ่มนักแสดง ก็เคาะไม้เป็จังหวะกันไปอย่างสนุกสนาน
“เอ้อ...ขอบใจ...ข้านั้นยังดวงแข็งไม่ตายๆง่ายๆดอก...เ้านั้นจงวางใจเถอะ...ชะเอิงเงย...อ้าวทำไปพูดไปพูดมาข้านี่ชักติดภาษายี่เกแบบเ้าเสียแล้วซิ...”
“ท่านพี่ เมียงปล๊ะ นั้นตรัสผิดพลาดไปซะแล้ว...งานที่พวกข้านั้นทุ่มเทชีวิตจิตใจเพื่อการเข้าถึงการเป็ศิลปินที่แท้จริงอันนี้นั้น...เขาเรียกว่า “ละครโขน” ต่างหาก พวกชาวเสียมนั้นเอามาเผยแพร่ในดินแดนแห่งนี้ แล้วมันก็ช่างงดงามจับจิตจับใจของข้าและเพื่อนๆยิ่งนัก....ซักวันข้าจะต่อเรือและล่องไปจากทะเลสาบและออกทะเลเพื่อไปยังดินแดนของชาวเสียมที่ชำนาญในการแสดง “ละครโขน” นี้ให้ได้ แล้วท่านพี่นั้นเล่าสนใจจะเดินทางไปกับพวกข้าหรือไม่....ชะเอิงเอย...”
ราม...พูดไปก็ร่ายรำไปเป็กระบวนท่าการรำต่างๆ แบบงูๆปลาๆ...เท่าที่ได้แอบครูพักลักจำเอามาหัดรำเอาเองจากการไปชมการแสดงที่นานๆจะมีการแสดงให้ดูเสียที แต่ก็ทำให้สายเืของความเป็ศิลปินของตัวเองนั้นถึงกับร่ำร้องว่าจะต้องไปหัดเรียนยังดินแดนของชาว เสียม ให้สมใจให้ได้...ถ้าเป็ในปัจจุบันนั้น ก็คงเหมือนกับว่า ใครอยากจะไปเรียนการแสดงที่ประเทศไหน ก็จะบินไปเรียน ไปฝึก เผื่อจะได้เดบิวต์เป็ศิลปินในสังกัดค่ายการแสดงของประเทศแต่ละประเทศนั่นเอง...ดังนั้นความปรารถนาของพวก ราม นั้นก็ไม่ได้ต่างกันกับผู้คนในปัจจุบันนี้เลย
“เอาเถอะ...ถ้าเ้าตั้งใจจะไปร่ำไปเรียนศิลปะการแสดงในดินแดนของชาว เสียม ก็จงตั้งใจเก็บเงินเก็บทองแลเบี้ยอัฐทั้งหลายเอาไว้ให้ได้เยอะๆก็แล้วกัน ข้าก็เพิ่งเคยเห็นพวกเ้านี่แหล่ะที่คิดจะขวนขวายไปเรียนงานศิลปะการแสดงในดินแดนที่ไกลจากที่ๆพวกเราอยู่ถึงประมาณนั้น...ไม่รู้ต่อไปในอนาคตมันจะมีผู้คนที่เขาสนใจเรียนศิลปะการแสดงอะไรแบบพวกเ้านี่ ที่ตั้งใจเดินทางไปเรียนไกลในต่างดินแดนเฉกเช่นเดียวกับพวกเ้ามั่งหรือเปล่า...เพราะว่าการเดินทางทางเรือนี่ก็อันตรายมิใช่ย่อยนะ...ถ้ายังไงพวกเ้าลองตรองดูให้ดีก่อนเถิด...ชะเอิงเงย....เอ้า...เผลอพูดท่อนสร้อยติดปากไปอีกแล้ว....นี่ถ้าได้คุยกับพวกเ้าบ่อยๆนี่ ข้าจะบ้า...เอ๊ย...ข้าจะพลอยกลายเป็พวกช่างเพ้อช่างฝันเหมือนกับพวกเ้าไปด้วยอีกคนหรือเปล่านะ...”
“ชะเอิงเงย...พวกข้านั้นหาได้ทำอะไรเพ้อฝันหรือหาจะมีสติไม่ดีไม่...ถ้าอยากศึกษาศิลปะวิทยาการ ณ ดินแดนใดที่เราฝันใฝ่ เราก็ควรที่จะต้องบากบั่นเดินทางไป มันถึงจะได้ชื่อว่า มิเสียชาติเกิดเป็ชายชาตรี แต่มิคิดทำอะไรเพื่อความฝันของตัวเองนะท่านพี่...”
“อืมส์....ในอนาคตจากนี้ไปอีกเป็ร้อยๆปี...คนเรานั้นจะเดินทางไปไหนมาไหนได้โดยสะดวกกว่านี้หรือเปล่านะ...ถ้าเป็ไปได้ ข้าเองก็อยากจะออกท่องเที่ยวไปดูโลกกว้างเหมือนกัน แต่ยังไงก็คงต้องเก็บเงินเก็บเบี้ยให้มีมากๆก่อนละนะ...ลำพังเท่าที่มีอยู่ตรงนี้ สงสัยจะไปได้แค่ปากอ่าว ไปหาปู หาปลาแล้วกลับบ้าน...ฮ่าๆๆ”
ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี แล้วเขากับเพื่อนๆคนอื่นในหมู่บ้านต่างก็แยกกันไปพักผ่อนเพื่อเตรียมเรี่ยวแรงเอาไว้ทำงานในวันพรุ่งนี้ต่อไป
ในค่ำคืนนั้นหลังจากที่ เมียงปล๊ะ เข้าไปพักผ่อนหลับนอนในกระท่อมตามปกติแล้ว เขาก็ได้หยิบเอาดาบโลหะที่เขาเก็บได้มาจากในป่า มาพิงเอาไว้ที่ข้างฝาของกระท่อมข้างๆที่นอนของเ้าตัวเอง ก่อนที่สายลมเย็นๆในยามค่ำคืนของคืนวันนั้น จะทำให้เขานั้นหลับไหลลงไปได้อย่างรวดเร็ว....
แต่ทันใดนั้นดาบเก่าๆอันที่เขาได้มาจากในหุบเหวลึกแห่งนั้น ก็ค่อยๆเรืองแสงสีฟ้าสว่างขึ้น ก่อนที่ฉับพลันนั้นจะมีลำแสงสุกสว่างขึ้นมาสองดวง ก่อนที่จะกลายร่างมาเป็แมวลายสลิด 1 ตัว และก็แมวลายวัว อีก 1 ตัว ปรากฏขึ้นมาในกระท่อมน้อยของชายหนุ่ม
“เหมียว....อืมส์...เ้าหนุ่มนี่น่ะหรือ...ที่ท่านเทพ มฤคยือฮือ บอกว่าเขามีชะตากรรมที่จะมาเป็ผู้เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของดินแดนแห่งนี้กัน ?”
“ก็น่าจะใช่นะ...พี่ หนึ่ง ดูท่าดูทางจะมีความองอาจอยู่มากโขอยู่...ยังไงเราก็ต้องช่วยเขาให้ทำให้สำเร็จให้ได้...ไม่งั้นคำสาปของเทพ มฤคยือฮือ ในอนาคตกาลที่พวกเรานั้นโดนมา คงไม่โดนลบล้างไปแน่ๆเลยนิ...”
“มันก็เป็เพราะเอ็งนั่นแหล่ะ...ไอ้ สอง ที่ชวนข้าอึที่ใหนไม่อึ ไปขุดดินอึ อีตรงที่มีดาบศักดิ์สิทธิ์ของท่านเทพ มฤคยือฮือ นั้นฝังอยู่ ข้าเองก็ปวดหนักอยู่ด้วย เลยจัดหนักทั้งน้ำ ทั้งของเหลว แบบเต็มสูบ...แล้วเป็ไงล่ะ...ซวยเลย โดนท่านเทพสาปให้มาช่วยงานในยุคนี้เลย ย้อนอดีตกลับมาตั้งไม่รู้กี่ร้อยปี แล้วพวกเราจะไปหาอาหารเปียกกินจากไหนเนี่ย ลำบากแท้ๆ....แต่เห็นท่านเทพบอกว่าได้ให้พรแก่พวกเรานั้นสามารถที่จะคุยกับพวกมนุษย์ได้อยู่นะ...คงต้องพึ่งพาไอ้หมอนี่แล้วล่ะ...ให้มันช่วยหาอาหารให้พวกเราทานในระหว่างที่พวกเรานั้นอยู่ที่นี่...”
เ้าแมวลายสลิด ที่เหมือนจะชื่อว่า เ้าหนึ่ง พูดขึ้นมากับแมวลายวัวอีกตัวอย่างเซ็งๆ เหมือนกับว่าจะไม่มีทางเลือกอื่นๆให้เลือกอีกแล้ว ก็คือต้องเชื่อใจและเชื่อฝีมือของชายหนุ่มคนที่นอนแผ่หลาหลับสนิทอยู่ที่ตรงนี้ต่อไปในอนาคตเท่านั้น...
“เหมียว...ข้าดูๆแล้ว...แถวๆนี้หนูนา...กบ...เขียด ก็ดูจะเยอะอยู่...เราคงพอหาอาหารกินรอได้อยู่ล่ะมั้งพี่ หนึ่ง คงไม่ต้องรอเ้ามนุษย์คนนี้มาหาเลี้ยงหรอกนิ แลจะว่าไปแล้วข้าก็เริ่มจะหิวแล้วด้วย เราออกไปหาจับอะไรกินในทุ่งแถวๆนี้กันดีไหมนิพี่...”
“เอ้อ...ก็ดีเหมือนกัน งั้นรีบไปเถอะ...เ้ามนุษย์ผู้นี้คงนอนหลับอยู่อีกนาน รอมันตื่นก็คงเสียเวลา ทำให้พวกเราหิวท้องกิ่วเปล่าๆ....”
“เหมือนข้าจะได้ยินเสียงฟ้าร้องอยู่ใกลๆด้วยนิ...แถมข้างนอกเหมือนพวก กบ,เขียด จะร้องกันระงม หวกหนูนาก็น่าจะออกมาเพ่นพ่านกันบ้างตามประสา ข้าว่าเรารีบไปหาจับอะไรกินกันก่อนให้อิ่มเถอะ แล้วค่อยมาหลับนอนกันที่นี่อีกที เพื่อรอเ้าหนุ่มนี่ตื่นขึ้นมา...”
เ้าแมวลายวัว เอ่ยชวนเ้าแมวลายสลิดอย่างกระตือลือร้น แล้วทั้งสองตัวก็รีบผลุบออกไปจากกระท่อมของชายหนุ่มที่ปลูกยกพื้นสูงขึ้นมาจากพื้นดินอยู่สองสามเมตรไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะผลุบหายกันไปในดงหญ้าสูงของป่าในบริเวณนั้นไปอย่างรวดเร็ว
และหลังจากที่แมวทั้งสองนั้นวิ่งออกไปเรียบร้อยแล้ว...ดาบเก่าๆที่ เมียงปล๊ะ ไปพบเจอมาจากในใต้หุบผานั้น ก็เกิดลำแสงสว่างเรืองขึ้นมา แล้วดาบนั้นก็ลอยละล่องขึ้นมาอยู่บนเหนือตัวของชายหนุ่มที่กำลังหลับไหล ฉันพลันนั้นก็เกิดลำแสงสว่างครอบคลุมไปยังร่างของชายหนุ่มที่กำลังนิทราอย่างมีความสุขอยู่เป็ระยะเวลานานเลยทีเดียว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้