“ก็เป็การเอาแต่ละส่วนของหมูตัดออกมา อย่างหัว กระดูก ขาท่อนบนและหาง ที่เหลือก็เป็เนื้อหมูล้วนๆ เ้าค่ะ ” เจินจูยิ้มแล้วอธิบาย
“อ่า… ถ้าเป็เช่นนี้พวกเ้าก็ตัดหมูแยกเป็ส่วนๆ เถอะ แม่ครัวที่บ้านน่าจะไม่เคยเชือดหมูมาก่อนกระมัง รบกวนพวกเ้าแล้ว” แน่นอนว่าแยกเนื้อออกเป็ชิ้นส่วนจะดีกว่า หัวหมูกับหางหมูนั่น ปกติคุณชายก็ไม่มีทางทานอยู่แล้ว
“ไม่รบกวนเ้าค่ะ หัวหมูกับหางหมูและเครื่องในหมูเ่าั้ พวกท่านจะให้ข้าทำพะโล้หรือไม่?” อย่างไรเสียน้ำพะโล้ในบ้านยังมีไม่น้อย ใส่วัตถุดิบเพิ่มลงไปข้างในเล็กน้อยอีกครั้งก็พะโล้ได้แล้ว
“พะโล้? เหมือนกับพะโล้บนโต๊ะอาหารเมื่อครู่หรือ?” จิตใจเฉินเผิงเฟยมีความสนใจขึ้น และไต่ถามทันทีทันใด
“ใช่เ้าค่ะ นั่นเป็เนื้อพะโล้ที่ทำไว้สองสามวันก่อนของบ้านข้า องครักษ์เฉินคิดว่ารสชาติเป็เช่นไรเ้าคะ?” เจินจูยิ้มแล้วถามขึ้นอย่างมีความมั่นใจมากต่อพะโล้ของครอบครัวตนเอง
เฉินเผิงเฟยออกแรงพยักหน้า ตอบกลับโดยทันที “อร่อย ทั้งหอมทั้งเข้ารส รสชาติไม่ต้องกล่าว พะโล้ได้เข้ารสมากนัก”
“ฮ่าๆ นั่นน่ะ เป็ผลงานที่ศึกษาและปรับปรุงรสชาติขึ้นใหม่จากท่านย่าของข้าเองเ้าค่ะ รสอร่อยหอมเข้มข้น ทานแล้วยังอยากทานอีก…” เจินจูหัวเราะแล้วขยิบตาไปทางหวังซื่อ
หวังซื่อกำลังกรอกไส้อั่วเือยู่ไม่ไกล ทำได้เพียงยิ้มบางๆ อย่างจำใจกับเจินจูที่แสนซน
“อ่า… เป็การทานแล้วอยากทานอีกจริงๆ ท่านหญิงชราสกุลหูฝีมือครัวล้ำเลิศ ครอบครัวพวกเ้ามีลาภปากจริงๆ” เฉินเผิงเฟยกล่าวอย่างอิจฉา
“ดูท่านเอ่ยเข้าสิเ้าคะ อาหารของพวกท่านครอบครัวตระกูลใหญ่โตต้องยอดเยี่ยมกว่าของพวกข้ามากนัก ที่พวกข้าค้นหาวิธีพวกนี้ก็เพื่อหนทางเลี้ยงชีพและหาลู่ทางการหาเงิน” เจินจูหัวเราะแล้วกล่าว ระหว่างนั้นก็ชำเลืองมองหูฉางหลินที่อยู่ด้านข้างซึ่งตัดหัวหมูเรียบร้อยแล้ว “พวกท่าน้าให้ทำพะโล้หรือไม่เ้าคะ? หาก้าจะได้ถือโอกาสพะโล้หัวหมูไปด้วยเลย พะโล้หัวหมูก็อร่อยมากเช่นกัน”
“้าๆ คุณชายพวกข้าไม่ทานของพวกนี้ ก็ให้พวกข้าไม่กี่คนได้มีลาภปากเพิ่มเสียหน่อยเถิด” เฉินเผิงเฟยมองนางอย่างยิ้มประจบเล็กน้อย
“รสชาติพะโล้เหล่านี้ดีมาก แม้เครื่องเทศในพะโล้จะมีมากไปสักหน่อย แต่คุณชายของพวกท่านน่าจะทานได้เล็กน้อยเช่นกัน” เจินจูเลิกคิ้วและตอบด้วยรอยยิ้ม นางเติมน้ำแร่จิติญญาในน้ำพะโล้ เนื้อหมูก็เป็ที่บ้านตนเองเลี้ยง ทานได้อย่างแน่นอน
“นี่… ยังต้องกลับไปถามพ่อบ้านกู้ถึงจะสามารถให้ทานได้” ด้านการบริโภคของคุณชายเขาไม่กล้าตัดสินใจเองโดยพลการ
“แหะๆ…” เจินจูหัวเราะแล้วไม่กล่าวอะไร
เรียกหูฉางกุ้ยย้ายหัวหมูกับเครื่องในเข้าไปห้องครัว แล้วเจินจูก็ตามเข้าไปเพื่อก่อไฟและทำพะโล้เนื้อ
เคี่ยวพะโล้ต้องใช้เวลาเล็กน้อย เจินจูก่อไฟขึ้นสองเตา เครื่องในหมูสองสามอย่างล้วนต้องลวกน้ำทิ้งหนึ่งรอบ แช่น้ำเอากลิ่นคาวและเืออก
“เจินจู ให้ข้าทำเอง” ชุ่ยจูวิ่งเข้ามาในครัวเสียงตึงตัง ดึงเจินจูขึ้นโดยไม่เอ่ยวาจาใด เอาแต่ดันนางให้ออกไปข้างนอก น้ำเสียงมีความขลาดกลัวและกล่าวเสียงเบา “ที่นี่ข้าจัดการเอง เ้ารีบออกไปดูแลแขกเถิด”
“…” เอาเถอะ สมัยโบราณแบ่งแยกชนชั้น การเผชิญหน้ากับคุณชายที่ฐานะสูงศักดิ์ครอบครัวใหญ่โต ชาวบ้านทั่วไปส่วนใหญ่ล้วนมีความเคารพยำเกรงและขี้ขลาดต่อเขา
เจินจูตบฝุ่นบนร่างกายเบาๆ แล้วก้าวออกจากห้องครัวช้าๆ
“แม่นางหู แมวดำตัวนี้ของบ้านเ้าเก่งมากเลย ะโสองสามทีก็ปีนถึงบนคานเสานั่นแล้ว” พอหลิวผิงเห็นเจินจู ก็ชี้ไปที่คานใต้ชายคาอย่างตื่นเต้น เสี่ยวเฮยกำลังยืนอยู่้าด้วยท่วงท่าสง่างาม ดวงตาสองข้างมองลงมายังหลิวผิงที่ใช้มือชี้มัน ในตาทอความเหยียดหยามดูถูก
เจินจูมองเสี่ยวเฮยที่ทำท่าทางเย่อหยิ่งใส่ จึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เ้าของร้านหลิวเ้าคะ แมวล้วนเป็เช่นนี้ วิ่งเล่นและปีนป่ายไปทั่ว ปีนหลังคาบ้านมุดรูหนู ไม่แปลกเ้าค่ะ”
“ไม่นะ ในฝูอันถังพวกเราเคยเลี้ยงแมวเฝ้าร้านหลายตัว แต่ไม่มีสักตัวที่ะโเก่งมากเหมือนมันเช่นนี้” เพื่อป้องกันหนูทำลายเครื่องปรุงยาเสียหาย ฝูอันถังจึงเลี้ยงแมวสองตัวมาหลายปีแล้ว ไม่เคยเห็นว่าแมวตัวไหนที่สามารถะโได้เช่นนี้
“ฮ่าๆ แมวบ้านจะเก่งกว่าแมวป่าได้อย่างไรเ้าคะ เดิมทีเสี่ยวเฮยเป็แมวป่าในูเา ฝีเท้าคล่องแคล่วแข็งแรงเป็ความสามารถที่ชำนาญของมัน ปกติมากเ้าค่ะ” เจินจูหัวเราะ หลังจากนั้นก็กวักมือไปทางเสี่ยวเฮย “เสี่ยวเฮย ลงมา”
เสี่ยวเฮยร้องโวยวายเล็กน้อยแล้วะโมาอยู่ข้างกำแพง ทันทีหลังจากนั้นขาหลังก็ถีบลงมาอยู่บนพื้นอย่างมั่นคง
ความสามารถรวดเร็วและคล่องแคล่วทำเอาหลิวผิงที่มองอยู่จ้องสองตาเบิกกว้าง
“เหมียว” เสี่ยวเฮยเดินมาถึงใต้ขาเจินจูแล้วถูไถขึ้น
“มันเชื่อฟังคำเ้านัก” กู้ฉีมองฉากนี้อย่างค่อนข้างสนใจมาก
“นั่นเป็เพราะครอบครัวข้าช่วยชีวิตเสี่ยวเฮย มันเลยรู้จักบุญคุณ” เจินจูอุ้มเสี่ยวเฮยขึ้น ลูบขนอ่อนนุ่มของมัน
“โอ้ บอกได้หรือไม่ว่าเกิดอันใดขึ้น?” กู้ฉีถามอยากประหลาดใจ
หลิวผิงที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าสนใจเช่นกัน
เจินจูเกาลำคอของเสี่ยวเฮย มันสบายจนส่งเสียงร้องออกมา เจินจูยิ้มแล้วบอกเล่าเหตุการณ์ที่เก็บมันได้กับพวกเขา
เวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ ในหัวข้อของเสี่ยวเฮย ในระหว่างนั้นเสี่ยวหวงก็วิ่งออกมาด้วยความไม่เบิกบานเป็เพราะมันไม่ได้รับความสนใจ มันจึงเข้าไปหยอกเย้ากับเสี่ยวเฮย หนึ่งสุนัขหนึ่งแมวเย้าแหย่กันเต็มไปด้วยความสนุกสนาน
ยามบ่าย เฉิงเผิงเฟยจึงเร่งรถม้ากลับไปพร้อมกลิ่นเนื้อพะโล้หอมตลบอบอวล
“เฮอ ในที่สุดก็ไปแล้ว!” เจินจูยืดเอวี้เีโดยไม่มีภาพลักษณ์เหลืออยู่อีกแม้แต่น้อย แล้วจึงเดินกลับเข้าลานบ้าน
“ดูเ้ากล่าวเข้า หาได้ยากที่คุณชายกู้อู่จะวิ่งมาซื้อเนื้อด้วยตัวเอง อื้ม หาได้ยากจริงๆ ทำไมเ้ายังรำคาญได้” หวังซื่อใช้นิ้วจิ้มศีรษะของนางด้วยความไม่สบอารมณ์
“ฮิๆ ท่านย่า นี่ท่านไม่ทราบกระมังเ้าคะ ท่านดู กู้อู่ผู้นั้นพอมองก็รู้ว่าเป็คุณชายที่เลือกรับประทาน อาหารหลายอย่างก็ทานไม่ลง ที่เขาวิ่งมาถึงหมู่บ้านในเขตูเาเล็กๆ ของพวกเราด้วยตัวเอง ก็เป็เพราะอยากจะออกจากบ้านเพื่อมาเที่ยวผ่อนคลายใจเท่านั้น ข้าล้วนเก็บหมูที่อ้วนที่สุดของที่บ้านไว้ให้เขาแล้ว ยังจะคิดเป็อย่างไรได้อีกเ้าคะ” เจินจูแลบลิ้น หัวเราะแล้วดึงแขนหวังซื่อให้เดินเข้าไปในบ้านด้วยกัน
หวังซื่อปล่อยให้นางดึงกลับเข้าไปในห้องอย่างจนปัญญา
“ท่านย่า นี่เป็เงินขายเนื้อที่เ้าของร้านหลิวให้วันนี้” เจินจูควักเงินเปลือยหนึ่งก้อนออกมาจากในอ้อมอก
“นี่... เป็เงินสิบเหลียง? เจินจู พวกเขาให้มาเยอะเกินไปหรือไม่?” หวังซื่อกล่าวอย่างลังเลใจ
“หมูบ้านเราทั้งหมดหนักเกือบสามร้อยโล พวกเรายังเชือดให้เขาอีก ทั้งกรอกไส้อั่วเืทั้งพะโล้เนื้อ สุดท้ายยังมอบอาหารหมักให้เขาเยอะแยะอีกนะเ้าคะ ไม่เยอะๆ เลย สักนิดก็ไม่เยอะ…” เจินจูไม่ได้ให้ความสนใจ เงินค่าแรงงานคนนางยังไม่ได้เหมารวมไปด้วยเลย “อีกอย่างนะเ้าคะ เงินทองมากมายยากที่จะซื้อของที่้า คุณชายกู้้าเพียงทานเนื้อลงไปได้ ร่างกายจึงจะไม่แย่เช่นนี้ เนื้อของบ้านพวกเรานี่เป็เนื้อช่วยชีวิต สักนิดก็ไม่แพงเ้าค่ะ”
“… ยัยหนูนี่ ขายเนื้อหมูยังกล่าวว่าขายเนื้อช่วยชีวิตออกไปอีก ชิ ก็มีแค่เ้าแล้วที่กล้ากล่าวเช่นนี้” หวังซื่อยิ้มแล้วส่ายหน้า “เงินนี่ให้ท่านแม่ของเ้าเก็บไว้ บ้านเ้าเลี้ยงหมูมาครึ่งค่อนปี นี่ก็เป็เงินที่เหนื่อยยากจากการทำงานเช่นกัน”
เจินจูไม่ได้บ่ายเบี่ยง รับเงินไว้แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
สีท้องฟ้ามืดครึ้ม ลมฤดูหนาวค่อยๆ พัดผ่านมา
เฉินเผิงเฟยเคลื่อนรถม้าด้วยความระมัดระวัง อ้อมเส้นทางถนนที่ยุบเป็หลุม พยายามรักษาเสถียรภาพของรถม้าไว้ไม่ให้โคลงเคลงอย่างสุดความสามารถ
“คุณชาย อาหารการกินแต่ละอย่างของครอบครัวสกุลหูนี่ทำอร่อยอย่างยิ่ง ยังมีการร่วมมือกันระยะยาวกับโรงเตี๊ยมสือหลี่เซียงอีกด้วย เนื้อตากแห้งกับกุนเชียงบนรถเหล่านี้ ก็เป็เนื้อตากแห้งที่สกุลหูทำออกมาใหม่่นี้ คล้ายเนื้อรมควันของทางทิศใต้เล็กน้อย ครั้งก่อนเคยทานที่สือหลี่เซียงหนึ่งครั้ง รสชาติไม่เลวจริงๆ ขอรับ” หลิวผิงหวนนึกถึงการทานข้าวที่สือหลี่เซียงครั้งก่อนขึ้นมา เหนียนเสียงหลินแนะนำอาหารใหม่ให้เขา ที่แท้ก็เป็เนื้อที่ทำตากแห้งโดยครอบครัวสกุลหู
“อื้มๆ รสชาติของอาหารหมักอร่อยจริงๆ รสชาติเนื้อพะโล้ก็อร่อยมาก อาหารเนื้อที่ครอบครัวสกุลหูทำล้วนอร่อยทั้งหมด เนื้อกลิ่นหอมที่ได้กลิ่นในรถนี่ รู้สึกว่าท้องข้าจะหิวอีกแล้ว” กลิ่นเนื้อพะโล้เข้มข้นเป็พักๆ จากภายในเกวียนส่งกลิ่นหอมโชยมาเข้าจมูกเฉินเผิงเฟย ดมจนน้ำลายเอ่อล้นขึ้นมาและกลืนลงไปอย่างอดใจไม่ได้
“ทานสิๆๆ… กลางวันอาหารพะโล้เต็มโต๊ะ เ้าล้วนทานไปมากกว่าครึ่ง ท้องจวนจะกางแตกอยู่แล้ว ตอนนี้เพิ่งผ่านมานานเท่าไรเอง หิวอีกแล้วหรือ เ้าผีหิวโหยกลับชาติมาเกิด” หลิวผิงคลุกคลีกับเฉินเผิงเฟยจนสนิทกัน ตอนนี้เลยเหลือบมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์
“แหะแหะ ตอนนี้ท้องน่ะไม่หิว แต่เป็เพราะได้กลิ่นหอมแล้วปากอยากจะทานขึ้นน่ะ” เฉินเผิงเฟยไม่ได้สนใจอีก แล้วตอบกลับไปอย่างเฮฮา
กู้ฉีเอียงพิงอยู่มุมด้านหนึ่งในเกวียน ฟังที่สองคนปะทะฝีปากกัน มุมปากยิ้มตื้นขึ้นอย่างกลั้นไม่อยู่ แต่เดิมภายในเกวียนกว้างขวางสะดวกสบาย พรมขนสัตว์ด้านหน้าถูกม้วนขึ้น และมีตะกร้าไผ่สานใบใหญ่วางซ้อนกันอยู่สองใบ อีกด้านหนึ่งยังมีโถใบใหญ่ใส่เนื้อพะโล้อยู่เต็มอีกหนึ่งโถ เนื้อพะโล้เข้มข้นส่งกลิ่นออกมาไม่ขาดสาย
หนนี้พวกเขาบรรทุกข้าวของกลับมาเต็มลำเกวียนจริงๆ เนื้อหมูล้วนๆ เกือบสองร้อยชั่ง หากทานคนเดียวครึ่งปีก็ล้วนทานไม่หมดกระมัง
จะว่าไปแล้วก็แปลกประหลาด เดิมทีกู้ฉีละเอียดอ่อนต่อรสชาติหรือกลิ่นแรงทุกชนิดอย่างมาก เข้มเกินไปมีกลิ่นหอมเกินไปล้วนทำให้จมูกเกิดอาการแพ้ ยิ่งไปกว่านั้นจะปวดหัวและไอได้ ส่วนกลิ่นเนื้อพะโล้ที่เพิ่งทำเสร็จหนึ่งโถใหญ่นี้ กู้ฉีกลับดมแล้วไม่ได้มีความรู้สึกผิดปกติแต่อย่างใด
เดิมทีหลิวผิงคิดจะขับรถม้าไปหมู่บ้านวั้งหลินสองคัน รถม้าที่คุณชายใช้โดยเฉพาะจะเอามาใช้ขนส่งของจำพวกเนื้อหมูนี้ได้อย่างไร แต่คุณชายกลับกล่าวว่ารถม้าหนึ่งคันก็พอ หลิวผิงจึงทำได้เพียงยกเลิกไป
“เด็กผู้ชายที่รูปโฉมงดงามนั้นเป็ผู้ใด?” กู้ฉีถามออกมากะทันหัน
“กล่าวว่าเป็ญาติห่างๆ ของฮูหยินสกุลหู นามว่ายู่เซิงขอรับ ในบ้านประสบภัยพิบัติ บิดามารดาเสียชีวิตไปหมดแล้ว ขาได้รับาเ็ ครอบครัวสกุลหูเลยรับเขามาพักรักษาอาการาเ็ขอรับ” หลิวผิงตอบด้วยความเคารพนบนอบ
“อายุเท่าไร?”
“ดูแล้วน่าจะสิบสองสิบสามได้กระมังขอรับ ไม่ได้ถามให้ละเอียด หากคุณชายอยากทราบ เช่นนั้นข้าจะไปสอบถามอีกครั้งนะขอรับ”
“…ไม่ต้องแล้ว”
กู้ฉีที่อยู่ภายในเกวียนครุ่นคิดเล็กน้อย
ยามราตรีในคืนนั้น เกร็ดหิมะใสวิบวับปลิวว่อนร่วงลงมา
เจินจูนอนอยู่ในผ้านวมอันอบอุ่น ยื่นมือออกมาััอากาศภายในห้องเล็กน้อย ยังพอไหว จึงค่อยๆ ม้วนผ้านวมพร้อมกับตั้งใจฟังเสียงลมหายใจของทุกคนที่หลับสนิท เจินจูจึงหลบออกมาเงียบๆ เข้าไปในมิติช่องว่าง
ในมิติช่องว่าง พืชผลทุกชนิดยังคงแข็งแรงและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต ไม่กี่วันก่อนเจินจูปลูกธัญพืชตามอำเภอใจลงไปในที่นามากมาย ทั้งถั่วลิสง ถั่วเหลือง เผือก ขิง... ปัจจุบันธัญพืชเ่าั้สูงต่ำไม่เป็ระเบียบ ส่วนสีสันก็ล้วนแตกต่างกัน
่นี้ค่อนข้างยุ่งเล็กน้อย เจินจูเว้นสองสามวันจึงเข้ามารดน้ำหนึ่งรอบ
ต้นพุทราจีนไม่กี่ต้นเติบโตจนกิ่งก้านหนาใบงอกงามแล้ว เจินจูมองขนาดของต้นพุทรายิ่งนานไปก็ยิ่งปกคลุมมากขึ้นอย่างน่าปวดหัว พืชผลใต้ต้นยิ่งเตี้ยและเล็กลงเรื่อยๆ แต่ขณะนี้อยู่ใน่ฤดูหนาวที่หนาวที่สุดพอดี ต้นพุทราที่เต็มไปด้วยสีเขียวขจีเช่นนี้สะดุดตานัก นางจะกล้าย้ายออกไปปลูกได้อย่างไร
หยิบถังไม้ออกมาจากมุมกำแพง ครั้งก่อนเจินจูแอบซื้อของในเมืองไม่น้อย เลี่ยงอยู่หลังกลุ่มคนเก็บเข้ามาในมิติช่องว่าง ถังไม้นี้ซื้อมาเพื่อความสะดวกสบายในการรดน้ำโดยเฉพาะ
ตักน้ำแร่จิติญญาเต็มหนึ่งถัง ยกเดินออกมาถึงข้างที่นา จึงรดน้ำให้กับพืชผลอื่นๆ เจินจูเลี่ยงต้นพุทราอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้ต้นพุทราเติบโตมากเกินไป
หนึ่งถัง สองถัง สามถัง ไปๆ มาๆ อยู่หลายเที่ยว ในที่สุดก็รดที่นาผืนไม่ใหญ่นี่ทั่วถึงทั้งหมด
เจินจูนอนเอกขเนกอยู่บนหญ้าสงบจิตสีม่วงอ่อนด้วยจิตใจที่มีความสุข นอนหลับตาเงียบสงบอยู่ครู่หนึ่ง จึงออกมาจากมิติช่องว่างด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ เมื่อขึ้นเตียงแล้วก็ผล็อยหลับไปอย่างสงบ