“ช่างเถอะ” หลินเฟิงไม่อยากจะคิดมาก ดูเหมือนว่าสถานะของหลิ่วเฟยในกลุ่มคนเหล่านี้จะสูงมากและไม่ใช่สถานะธรรมดาแน่
“ข้าไม่มีขุมอำนาจแข็งแกร่งที่สามารถพึ่งพาได้ ก็มีเพียงแค่ตัวเองเท่านั้น” หลินเฟิงมองเงาด้านหลังของกลุ่มนั้นด้วยสายตาที่แน่วแน่ กลับมาคราวนี้เขาเตรียมที่จะเข้าร่วมการประลองของนิกาย เพื่อก้าวเข้าสู่การเป็ศิษย์สายใน
หลินเฟิงควบม้าขึ้นไปบนหุบเขา ศีรษะของยามเฝ้าประตูนิกายได้ก้มต่ำลงมาก เพราะครั้งล่าสุดที่เจอยามสองคนนั้น หลินเฟิงได้มอบบทเรียนให้แก่พวกเขา
บรรยากาศของนิกายหยุนไห่ยังคงเต็มไปด้วยความคึกคัก ทุกคนล้วนบ่มเพาะพลังอย่างหนักเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะหลังปีใหม่ของทุกปีจะมีการจัดงานประลองของนิกายขึ้น ในการประลองครั้งนี้เหล่าศิษย์สายนอกที่มีความแข็งแกร่งจะมีโอกาสได้แสดงพลังเพื่อก้าวเข้าไปเป็ศิษย์สายใน และกลายเป็ศิษย์ของนิกายหยุนไห่อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ยังได้ยินมาว่าศิษย์สายในที่มีพร์อันโดดเด่น หากสามารถแสดงฝีมือออกมาได้ดีเยี่ยม ก็จะถูกพิจารณาให้รับเลือกเป็ศิษย์หลัก ถ้าหากผ่านการพิจารณาก็สามารถกลายเป็ศิษย์หลักของนิกายหยุนไห่ได้ นี่ถือว่าเป็เกียรติอย่างยิ่ง
ควรรู้ว่านิกายหยุนไห่เป็นิกายที่แข็งแกร่งนิกายหนึ่งในอาณาจักรเสวี่ยเยว่ ศิษย์หลักที่ออกเดินทางไปหาประสบการณ์ล้วนเป็คนหนุ่มที่แข็งแกร่ง ทุกที่ที่ไปล้วนได้รับความเคารพ อย่างเมืองหยางโจวที่เล็กเท่าสระน้ำ ถ้าหากท่านเ้าเมืองเห็นศิษย์หลักของนิกายหยุนไห่ ก็ยังต้องแสดงท่าทางสุภาพอ่อนน้อมกับพวกเขา
ที่เหล่าผู้าุโอันทรงเกียรติของตระกูลหลินและอีกหลายๆ คน ล้วน้าให้หลินป้าต้าวมีตำแหน่งที่สูงขึ้นก็เนื่องมาจากพลังของหลินเชียน พวกเขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งหลินเชียนจะต้องกลายเป็ศิษย์หลักของนิกายเฮ่าเยว่ ซึ่งสำหรับตระกูลหลินแล้ว นี่นับว่าเป็เกียรติอย่างยิ่ง ถ้าหากหลินเชียนได้ประสบความสำเร็จไปอีกขั้น ในอนาคตอาจจะมีโอกาสได้กลายเป็ผู้าุโของนิกายเฮ่าเยว่ ถ้าหากเป็แบบนั้นตระกูลหลินก็จะยิ่งมีอิทธิพลมากขึ้น
แต่น่าเสียดายที่การปรากฏตัวของหลินเฟิง ทำให้คนของตระกูลหลินในตอนนี้อยู่ในสถานการณ์ที่ทุกข์ทรมาน
เมื่อหลินเฟิงกลับมาถึงนิกายหยุนไห่ ก็อาบน้ำชำระสิ่งสกปรกจากการเดินทาง และเปลี่ยนเป็ชุดของศิษย์นิกายหยุนไห่ จากนั้นก็เดินออกจากที่พักของตัวเองเพื่อไปยังหอแห่งดวงดาว
หลินเฟิงบรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาแล้ว เขาจำเป็ต้องมีเคล็ดวิชาและเทคนิคระดับสูง ถึงจะปลดปล่อยพลังโจมตีที่แข็งแกร่งกว่านี้ออกมาได้
“คารวะผู้าุโเป่ย” เมื่อก้าวเข้าสู่หอแห่งดวงดาว หลินเฟิงก็ทักทายผู้าุโเป่ยเหมือนคราวก่อน ท่านผู้าุโก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมด้วยท่าทางเกียจคร้านราวกับเป็ไม้ใกล้ฝั่ง
เมื่อหลินเฟิงได้เห็นผู้าุโเป่ยก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา เขารู้ว่าชายชราที่อยู่ตรงหน้านั้นแข็งแกร่งมาก หากไม่เห็นกับตาหลินเฟิงเองก็คงยากที่จะเชื่อว่าชายชราที่ดูเกียจคร้านคนนี้ กับชายชราผู้ทรงพลังจะเป็คนคนเดียวกัน
แววตาเกียจคร้านของผู้าุโเป่ยพลันเปล่งประกาย และเงยหน้าขึ้นมองด้วยรอยยิ้มที่หาได้ยาก “เ้ากลับมาแล้ว”
“ขอรับ ข้ามาเพื่อหาเคล็ดวิชาและเทคนิค” หลินเฟิงยิ้มและพยักหน้า
“ไปที่ชั้นสอง” ผู้าุโเป่ยกล่าว
“ขอบคุณท่านผู้าุโเป่ย ต้องรบกวนเวลาของท่านแล้ว” เป้าหมายของเขาในครั้งนี้ก็คือชั้นที่สอง ที่นิกายหยุนไห่มีกฎว่ามีเพียงแค่ผู้บ่มเพาะขอบเขตแห่งจิติญญาและศิษย์สายในเท่านั้นถึงจะสามารถขึ้นไปยังชั้นที่สองได้ และถ้าหากยังไม่ได้กลายเป็ศิษย์สายใน แม้จะเป็ผู้บ่มเพาะที่อยู่ในระดับขอบเขตแห่งจิติญญาก็ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปที่ชั้นสองได้แค่หนึ่งก้านธูป พูดได้ว่าพวกเขาจำเป็ต้องเลือกเคล็ดวิชาที่เหมาะสมกับตัวเองภายในระยะเวลาหนึ่งก้านธูปให้ได้
เวลาหนึ่งก้านธูป สำหรับการเลือกเคล็ดวิชาและเทคนิคนั้นมันสั้นเกินไป เพราะเคล็ดวิชาและเทคนิคของหอแห่งดวงดาวมีมหาศาล มันไม่ง่ายเลยที่จะหาเคล็ดวิชาที่เหมาะสมกับตัวเองได้เร็วขนาดนี้ แต่กฎก็คือกฎไม่มีใครกล้าฝ่าฝืน ดังนั้นศิษย์ของนิกายหยุนไห่ส่วนมากจึงอยากจะเป็ศิษย์สายใน จะได้อยู่ที่ชั้นสองนานแค่ไหนก็ได้ เพื่อหาเคล็ดวิชาและเทคนิคที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด
“ไม่ต้องหรอก แค่อย่าขึ้นไปที่ชั้นสามก็พอ เ้าอยู่นานแค่ไหนก็ได้ตราบที่เ้า้า” ผู้าุโเป่ยกล่าว
หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจ ก่อนจะยิ้มที่มุมปากอย่างยินดี ไม่ว่าที่ไหนๆ จะต้องมีประตูหลังให้เดินเสมอ
“ขอบคุณผู้าุโเป่ยอีกครั้ง”
หลินเฟิงไม่เกรงใจ เขารีบก้าวเข้าไปในหอแห่งดวงดาว และมุ่งหน้าขึ้นไปยังชั้นสอง
“ไอ้เด็กบ้านี่ ข้าล่ะกังวลแทบแย่ว่าการบ่มเพาะของเ้าจะไม่คืบหน้า อย่าว่าแต่ชั้นที่สองเลย แม้แต่ชั้นที่สามถ้าเ้าอยากขึ้น ข้าก็จะให้ขึ้น” ผู้าุโเป่ยกล่าวขณะที่มองเงาร่างของหลินเฟิงเดินจากไป แล้วยิ้มออกมา “หน้าผาจงกู่ กลองแปดใบ เมื่อเ้าสามารถทำลายประวัติศาสตร์ของนิกายหยุนไห่ที่เงียบเหงาจนฝุ่นเขรอะได้ ไม่ว่าจะที่ไหนๆ ในหอแห่งดวงดาว เ้าก็สามารถไปได้”
ผู้าุโเป่ยคิดเช่นนั้น แต่ศิษย์สายนอกของนิกายหยุนไห่หลายคนกลับไม่คิดอย่างนั้น เมื่อเห็นหลินเฟิงสวมเครื่องแบบของศิษย์สายนอก เดินดุ่มๆ ขึ้นไปที่ชั้นสอง เหล่าศิษย์สายนอกที่อยู่ชั้นหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะมองหลินเฟิงเป็ตาเดียว
“ไอ้หมอนี่เป็ใคร? ทำไมถึงกล้าขึ้นไปที่ชั้นสอง?”
“ไม่รู้สิ แต่ต้องเป็ศิษย์สายนอกอย่างแน่นอน หรือว่าเขาจะอยู่ในระดับขอบเขตแห่งจิติญญา”
สายตาของผู้คนที่อยู่ชั้นหนึ่งเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา เคล็ดวิชาที่ดีไม่เพียงแต่จะทำให้การบ่มเพาะพลังเพิ่มขึ้นในชั่วพริบตา แต่ยังสามารถทะลวงไปยังระดับสูงได้ และสามารถทำให้พลังโจมตีของผู้บ่มเพาะแข็งแกร่งขึ้น ยิ่งระดับเคล็ดวิชาสูงเท่าไร ก็ยิ่งโดดเด่นในการต่อสู้มากขึ้น แล้วแบบนี้จะไม่ให้คนอื่นคิดอิจฉาได้อย่างไร?
เคล็ดวิชาและเทคนิคล้วนแบ่งออกเป็ 4 ระดับ เรียงจากสูงไปต่ำก็คือ ระดับเวหา ระดับพิภพ ระดับลี้ลับ ระดับเหลือง และแต่ละระดับจะแบ่งออกเป็สามขั้น ชั้นแรกของหอแห่งดวงดาวล้วนเป็เคล็ดวิชาและเทคนิคระดับเหลือง ส่วนชั้นที่สองจะเป็เคล็ดวิชาและเทคนิคระดับลี้ลับที่ทรงพลังเป็อย่างมาก
ชั้นที่สองของหอแห่งดวงดาวเงียบสงบกว่าชั้นแรกมาก เพราะชั้นนี้มีคนน้อยกว่าและส่วนใหญ่ก็มองหาเคล็ดวิชาหรือเทคนิคที่ตัวเองชอบอย่างเงียบๆ
ในขณะนั้นมีศิษย์คนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ บันไดเห็นหลินเฟิงเดินขึ้นมา แววตาพลันปรากฏร่องรอยเหยียดหยามออกมา ก่อนจะก้มหน้าหาเคล็ดวิชาต่อไปโดยไม่สนใจหลินเฟิง
“เมื่อเทียบกันแล้ว เคล็ดวิชาและเทคนิคของชั้นที่สองมีน้อยกว่าชั้นแรกมาก” หลินเฟิงกวาดสายตามองทั่วชั้นที่สอง ไม่ว่าจะเป็เคล็ดวิชาหรือเทคนิคล้วนเป็ระดับที่หายากและล้ำค่ามาก ไม่แปลกที่เคล็ดวิชาและเทคนิคในชั้นนี้จะน้อยกว่าชั้นที่หนึ่ง เนื่องจากโอกาสที่จะได้รับของเหล่านี้ล้วนหายาก
“เริ่มเลือกเคล็ดวิชากันเถอะ” หลินเฟิงหาเคล็ดวิชาที่อยู่บนชั้นและเริ่มเปิดตำราดูทันที
“เคล็ดวิชาฉุนหยวน เป็เคล็ดวิชาระดับลี้ลับขั้นกลาง สามารถดูดซับหยวนชี่ฟ้าดินได้ แล้วกลั่นให้กลายเป็หยวนชี่บริสุทธิ์ ทำให้เืที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายอุดมสมบูรณ์และชีพจรขยายตัวขึ้น เมื่อฝึกฝนไปจนถึงระดับสูงจะทำให้เจินหยวนบริสุทธิ์และแข็งแกร่งมาก”
“หมายเหตุ : เคล็ดวิชานี้เหมาะกับผู้ฝึกยุทธ์ที่จิติญญาประเภทใดก็ได้ แต่ไม่สามารถเพิ่มพลังในการต่อสู้โดยตรงได้ และเป็การฝึกฝนที่ยากอย่างยิ่ง ขั้นตอนแต่ละขั้นจำเป็ต้องมีเอ็น กระดูก ชีพจรที่แข็งแกร่ง และร่างกายที่สมบูรณ์แบบ ผู้ที่มีพร์ไม่เพียงพอนอกจากจะไม่ทำให้การบ่มเพาะเร็วขึ้น กลับจะทำให้ได้รับผลกระทบแทน”
นี่เป็อีกหนึ่งเคล็ดวิชาที่หลินเฟิงอ่านเจอในตำรา ้ามีหมายเหตุที่คนรุ่นก่อนเขียนไว้ เพื่อให้คนรุ่นหลังเก็บไปพิจารณาในการเลือกเคล็ดวิชา
“ข้าเลือกเ้า” หลินเฟิงกล่าว ราวกับมองไม่เห็นหมายเหตุที่เตือนไว้ในตำรา และถือตำราเคล็ดวิชาไว้
หลินเฟิงไม่แม้แต่จะมองเคล็ดวิชาอื่นๆ อีก จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้หลินเฟิงรู้ว่าควรให้ความสำคัญกับรากฐานเป็หลัก เส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลังก็เหมือนกับการสร้างหอคอยสูง ถ้าหากพื้นฐานไม่แน่นพออาจจะเกิดหายนะขึ้นได้ แต่ในทางกลับกัน ถ้ารากฐานแข็งแกร่ง แม้แต่พายุที่บ้าคลั่งก็ไม่สามารถทำลายได้
เคล็ดวิชาฉุนหยวนดูเผินๆ เหมือนจะไร้ประโยชน์ แต่หลินเฟิงกลับไม่มองเช่นนั้น เพราะนี่เป็เคล็ดวิชาที่ยอดเยี่ยมมาก
“ต่อไปก็เลือกเคล็ดวิชาต่อสู้อีกสองสามเล่ม” หลินเฟิงเดินมาถึงตู้เก็บเคล็ดวิชาสำหรับต่อสู้ แล้วพลิกหน้าอ่านอย่างต่อเนื่อง
“ดัชนีมรณะ”
“อัคคีเพลิง”
“ฝ่ามือเยือกแข็ง”
หลินเฟิงยังคงพลิกดูอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่เจอเคล็ดวิชาที่เขาพอใจ
“แปดฝ่ามือพิฆาต เป็เคล็ดวิชาระดับลี้ลับ หากฝึกจนถึงระดับสูงสุดของแปดฝ่ามือพิฆาต จะสามารถกวาดศัตรูในคราวเดียวได้ รอยประทับฝ่ามือจะเต็มไปทั่วท้องฟ้า ไร้ซึ่งทางหลบหนี”
ตอนนี้เองหลินเฟิงก็ได้หยุดฝีเท้า และเลือกเคล็ดวิชาหมัดออกมา
“เล่มนี้ด้วย” หลินเฟิงหยิบแปดฝ่ามือพิฆาตขึ้นมาแต่ก็ยังไม่ไปไหน ด้วยพร์ของเขาทำให้ใช้เวลาในการฝึกฝนไม่นานก็สามารถเข้าใจเนื้อหาได้ ด้วยเหตุนี้เขาจำเป็ต้องเลือกเคล็ดวิชาต่อสู้อีกสักสองเล่ม
ในขณะที่หาเคล็ดวิชาอื่นอยู่นั้น หลินเฟิงก็บังเอิญไปเห็นเคล็ดวิชาดาบที่มีพลังโจมตีที่ร้ายกาจ และเป็เคล็ดวิชาระดับลี้ลับขั้นกลาง แต่เงื่อนไขของมันสูงเกินไป ผู้ที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชาเล่มนี้ได้จะต้องมีจิติญญาแห่งดาบ นอกจากนี้ยังต้องมีพร์ที่สูงเทียมฟ้าและมีความเข้าใจในดาบอย่างลึกซึ้ง
ด้วยเงื่อนไขที่โเี้เช่นนี้ มันก็เพียงพอที่จะดับจินตนาการของใครหลายๆ คนได้
“ข้าเลือกเ้า” สายตาของหลินเฟิงเป็ประกายตื่นเต้นออกมา เคล็ดวิชาดาบมรณะนี้เหมือนกับถูกเตรียมมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ หากเขาเข้าใจเคล็ดวิชานี้ จะไม่มีอะไรสามารถมาหยุดเขาได้
เคล็ดวิชานี้ราวกับสร้างมาเพื่อเขา
สำหรับหมายเหตุที่เขียนว่า ผู้ฝึกจำเป็ต้องมีจิติญญาแห่งดาบถึงจะสามารถฝึกฝนได้นั้น หลินเฟิงไม่สนใจ ตลกจริงๆ ผู้ที่มีจิติญญาแห่งดาบสามารถเข้าใจในดาบได้ดีกว่าเขาอย่างนั้นเหรอ!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้