หมอกหนากำลังก่อตัวขึ้นในดวงตาของหลงเซี่ยวเจ๋อ แต่ยังมีความสุขลึกล้ำในดวงตาของเขา
ในยามที่หลงเซี่ยวเจ๋อเห็นมู่จื่อหลิง ราวกับว่าเขาเห็นรุ่งอรุณที่รอคอยมานาน
หลงเซี่ยวเจ๋อมองขึ้นไปที่มู่จื่อหลิงอย่างกระตือรือร้น แล้วกล่าวด้วยความเสียใจว่า “พี่สะใภ้สาม ข้าหิวมาก บนร่างข้าไม่มีเงินเลย”
“พอแล้ว…เ้า…” มู่จื่อหลิงชี้ไปที่หลงเซี่ยวเจ๋อด้วยความหวังว่าเขาจะกลับมาเป็ปกติ แต่ไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาจริงๆ
หลงเซี่ยวเจ๋อเด็กที่โชคร้ายผู้นี้ เขาจะยังมีลักษณะที่สะอาดและสดชื่นเหมือนปกติที่ผ่านมาได้อย่างไร? มันแตกต่างกันจริงๆ
จากเดิมเป็องค์ชายผู้สูงศักดิ์ ในเวลาเพียงไม่กี่วัน เขาก็เข้าตาจน ไม่ต่างไปจากขอทาน เลวร้ายยิ่งกว่าความสิ้นหวังที่มาจากสลัม
หากฮ่องเต้เหวินอิ้นทรงรับรู้ว่าโอรสของพระองค์กลายเป็เช่นนี้ พระองค์คงจะทรงพิโรธมากจนอาเจียนเป็เื
“พี่สะใภ้สาม ข้า…” หลงเซี่ยวเจ๋อกำลังจะพูด แต่ก็กลืนคำพูดนั้นลงไปในทันที
เพราะพี่สะใภ้สามจ้องมาที่เขาด้วยแววตาที่ดุร้ายมาก...ร่างกายของหลงเซี่ยวเจ๋อสั่นเทาเล็กน้อย
แม้ว่านางจะไม่ได้รักความสะอาดล้ำลึกเหมือนผู้อื่น แต่มู่จื่อหลิงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเมื่อได้กลิ่นเหม็นบนร่างกายของหลงเซี่ยวเจ๋อ
เด็กที่โชคร้ายผู้นี้ผ่านอะไรมาบ้างใน่ที่ผ่านมา? ทำให้ตัวเองอับอายขายหน้า นี่มันเลวร้ายยิ่งกว่าขอทานเสียอีก
มู่จื่อหลิงจ้องไปทางหลงเซี่ยวเจ๋ออย่างเหยียดหยาม แสร้งทำเป็เอ่ยตำหนิด้วยความโกรธ “ไม่มีเงินแล้วเหตุใดถึงยังไม่รู้จักกลับวัง เ้าโตถึงเพียงนี้แล้ว ยังทำให้ตนเองดูน่ารังเกียจเช่นนี้อีก หากเมื่อครู่ข้าไม่สังเกตเห็น เ้าจะไม่อดตายอยู่บนถนนหรอกหรือ?”
ในยามนี้มู่จื่อหลิงดุร้ายเหมือนกับผู้ปกครองที่ดุเด็กที่หนีออกจากบ้านแล้วประสบปัญหา
ไม่รู้ว่าเป็เพราะหลงเซี่ยวเจ๋อเรียกนางว่า ‘พี่สะใภ้สาม’ หรือไม่ แต่ในยามนี้ นางอยากจะสอนบทเรียนให้กับเด็กผู้โชคร้ายผู้นี้จริงๆ
ไม่กี่วันก่อน ยังคุยกับนางอย่างมีความสุขเพื่อหาเื่สนุกทำ แต่ยามนี้ กำลังหลอกตนเองว่ามันสนุก
เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มหล่อเหลาผู้สะอาดอยู่เสมอกลับมาเลอะเทอะ รุงรังและยุ่งเหยิง อีกทั้งยังผ่ายผอมลงไปมาก นอกจากความโกรธแล้ว มู่จื่อหลิงยังรู้สึกเป็ทุกข์เล็กน้อย
หลงเซี่ยวเจ๋อสะดุ้งเบาๆ ขดตัวลงด้วยความกลัว ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ
เมื่อเผชิญหน้ากับการดุด่าของมู่จื่อหลิง ของเหลวในดวงตาของหลงเซี่ยวเจ๋อก็เอ่อล้นออกมาในที่สุด
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่ในยามนี้หลงเซี่ยวเจ๋อรู้สึกขมขื่นและเสียใจเป็อย่างมาก
นานมากแล้วที่ไม่มีใครตำหนิเขาเช่นนั้น
ในอดีตเมื่อหลงเซี่ยวเจ๋อทำผิดพลาด หลงเซี่ยวอวี่ก็จะโยนเขาเข้าไปในอวี่กงเพื่อสั่งสอนเขาโดยตรงโดยไม่พูดอะไรให้มากความ
และเสด็จพ่อของเขาซึ่งก็เป็ฮ่องเต้ เว้นแต่ถ้อยคำที่จู้จี้เป็ครั้งคราว ก็ไม่มีเวลาที่จะมาดูแล
เมื่อได้ยินคำตำหนิของมู่จื่อหลิง หลงเซี่ยวเจ๋อก็รู้สึกอบอุ่นในใจเล็กน้อย...มันเป็ความอบอุ่นจากเครือญาติของเขา ความอบอุ่นที่หายไปนานเข้ามาเติมเต็มหัวใจของเขาในทันที
หลงเซี่ยวเจ๋อหลั่งน้ำตา มองไปทางมู่จื่อหลิงอย่างน่าสงสาร นางเม้มปาก ไม่กล้าพูดอะไรอีก
เมื่อมองดูท่าทางที่น่าสงสารและเศร้าใจของหลงเซี่ยวเจ๋อ มู่จื่อหลิงก็ค่อยๆ หายใจออกอย่างขุ่นมัว ปรับอารมณ์ของตน แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “ยังไม่ลุกขึ้นอีก”
“ลุก…ลุกไม่ได้ ขา…” หลงเซี่ยวเจ๋อลังเลอยู่นาน และไม่สามารถพูดประโยคที่สมบูรณ์ได้
มู่จื่อหลิงอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกเล็กน้อย ถามอย่างกังวลว่า “ขาของเ้าเป็อะไร?”
จากนั้นนางก็ตระหนักว่า นอกเหนือจากการมองขึ้นมาที่นางแล้ว หลงเซี่ยวเจ๋อยังคงอยู่ในท่าเดิม นั่นคือวางมือไว้บนเข่า ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
“มันชา” หลงเซี่ยวเจ๋อพ่นน้ำลายออกมาสองคำด้วยความไม่พอใจ ยกมือขึ้นเพื่อเช็ดน้ำตาจากหางตา ทันทีที่เช็ดใบหน้าของเขาก็ยิ่งดำมากยิ่งขึ้น
มู่จื่อหลิงรู้สึกหงุดหงิด
หากวันนี้นางไม่ออกมา และไม่มีสายตาที่เฉียบแหลมพอที่จะสังเกตเห็น คาดเดาจากรูปร่างของหลงเซี่ยวเจ๋อแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะทำให้ตนเองเป็เหมือนรูปปั้น แล้วมายืนรออยู่ที่นี่หรือไม่
แม้ว่ามู่จื่อหลิงจะสอนบทเรียนให้กับหลงเซี่ยวเจ๋อ แต่นางก็ยังก้มลงเก็บเศษหญ้าที่ติดอยู่ตามเส้นผมออกให้ทีละเส้น แล้วถามด้วยความเป็ห่วงว่า “ั้แ่วันที่เ้าออกมาในวันนั้น เ้าก็ยังไม่ได้กลับไปหรือ?”
หลงเซี่ยวเจ๋อพยักหน้าอย่างซื่อสัตย์
แม้ว่านางจะคาดไว้แล้ว แต่เมื่อเห็นหลงเซี่ยวเจ๋อยอมรับเื่นี้อย่างง่ายดาย มู่จื่อหลิงก็ยังคงสำลักออกมา นางอยากจะพูดคำสองคำนี้จริงๆ สมควร
มู่จื่อหลิงช่วยประคองหลงเซี่ยวเจ๋อขึ้นมา แล้วถามอย่างสับสนว่า “แล้วเหตุใดเ้าถึงไม่กลับไป?”
เมื่อหลงเซี่ยวเจ๋อเห็นปากที่ดุร้ายของมู่จื่อหลิง ที่ยังแฝงไว้ซึ่งความห่วงใย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงกระแสน้ำอุ่นที่ไหลผ่านหัวใจของตน รู้สึกดีมากที่ได้รับการดูแลจากพี่สะใภ้สาม!
เขาดูค่อนข้างเศร้าใจ แล้วพูดช้าๆ ว่า “หากกลับไป จะออกมาไม่ได้อีก พอคิดแบบนั้นแล้ว จะกลับไปคงไม่ได้”
มู่จื่อหลิงยกมือขึ้นกุมหน้าผากของนางอย่างอดไม่ได้ บรรพบุรุษตัวน้อยผู้นี้นี่มันจริงๆ เลย!
ในยามนี้หากหลงเซี่ยวเจ๋อไม่เป็เช่นนี้ มู่จื่อหลิงก็อยากจะตบหัวเขาแรงๆ
นางเข้าใจแล้ว!
เดิมทีชายผู้นี้ถูกคุมขังอยู่ในวังหลวง
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เมื่อครั้งที่แล้วเขาจะปฏิบัติต่อนางแปลกไปจากเดิม กลับกลายเป็ว่าใช้ความโดดเด่นของนางเพื่อแอบออกไปเที่ยวเล่น
ก่อนหน้านี้กลับได้ก็ไม่กล้ากลับ เพราะกลัวเข้าไปแล้วจะออกมาไม่ได้อีก
อีกทั้งเงินทั้งหมดของเขาที่มีอยู่ก็ถูกใช้ไปหมดแล้ว และเมื่อเขา้าจะกลับไปก็สกปรกมากจนบิดามารดายังจำไม่ได้ เกรงว่าเขาจะเข้าใกล้ประตูวังไม่ได้ด้วยซ้ำ
“เ้าไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อนใช่ไหม? ไม่มีที่อื่นให้ไปแล้วหรือ?” มู่จื่อหลิงถามอีกครั้ง
“นี่เป็ครั้งแรก ข้าเคยไปหาท่านอาเล็กของข้ามาก่อน แต่ใครจะรู้ว่าคราวนี้ท่านอาเล็กของข้าจะไม่ยอมรับข้า” หลงเซี่ยวเจ๋อพูดและรู้สึกเสียใจขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร เขาก็คิดไม่ออก ท่านอาเล็กที่รักเขามากในยามปกติ คราวนี้แม้แต่ประตูก็ไม่ยอมให้เขาเข้าไป เป็เื่ที่น่าเศร้า
มู่จื่อหลิงรู้สึกหดหู่ใจจนอยากจะทุบกำแพง
นางรู้ว่าท่านอาเล็กที่ออกมาจากปากของหลงเซี่ยวเจ๋อก็คือองค์หญิงใหญ่ นางเคยได้ยินคนเขาพูดกันว่าองค์หญิงใหญ่รักเขามาก แต่ยามนี้กลับถูกทอดทิ้ง นี่หมายความว่าเขาได้รับโชคร้ายใช่หรือไม่?
เป็เพียงครั้งแรกแน่หรือ? เหตุใดเขาไม่พูดตรงๆ ว่านี่เป็ครั้งแรกที่เขาถูกท่านอาเล็กของเขาปฏิเสธ
เมื่อเขาหมดสภาพแล้ว เขาจึงมาที่นี่เป็ครั้งแรกหลังจากที่เขาถูกปฏิเสธ แล้วจะได้ไม่ต้องอดอาหารอีก
คนผู้นี้บอกว่าตนน่าสงสาร ทุกสิ่งล้วนเป็สิ่งที่เขาทำมันด้วยตนเอง และมันทำให้คนรู้สึกสมเพช
จะบอกว่าเขาไม่ได้น่าสงสารหรือ เขามักจะสวมเสื้อผ้าที่ดีและทานอาหารชั้นเลิศ เพียงแค่เหยียดมือออกไปหยิบอาหาร แล้วเปิดปากของเขาออกก็เท่านั้น แต่จู่ๆ เขาก็ยากจน ตกจาก์สู่นรก เมื่อมองเช่นนี้ก็น่าสงสารจริงๆ
มู่จื่อหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามด้วยความสงสัย “เ้ามาอยู่ตรงนี้เพื่อรอข้าหรือ?”
หลงเซี่ยวเจ๋อพยักหน้า “ใช่”
“เ้าจะทำอย่างไรหากข้าไม่ออกมา? หรือหากข้าเห็นเ้า แต่ข้ากลับไม่สนใจเ้าล่ะ” มู่จื่อหลิงงุนงง คนผู้นี้กล้าที่จะรอจริงๆ
“เป็ไปไม่ได้” หลงเซี่ยวเจ๋อพูดอย่างมั่นใจโดยไม่ต้องคิด
“เ้าเชื่อข้าขนาดนั้นเลยหรือ?” มู่จื่อหลิงถามอย่างจริงจัง
หากหลงเซี่ยวเจ๋อเชื่อนาง เช่นนั้นนางไม่สมควรได้รับความไว้วางใจจากเขาจริงๆ!
ไม่ ยังไม่เห็นหน้าเขา ก็สามารถจำได้เพียงแค่ดูจากรูปลักษณ์
แต่…
หลงเซี่ยวเจ๋อเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วยิ้มเผยเขี้ยวน้อยน่ารักด้วยท่าทางโง่เขลาและไร้เดียงสา “เพราะข้าเชื่อในพี่สามและท่านเป็พี่สะใภ้สามดังนั้นข้าจึงเชื่อในตัวท่าน”
ในความเป็จริง หลงเซี่ยวเจ๋อ้าพูดว่า นอกจากพี่สามแล้ว ข้าเชื่อเพียงท่านผู้เดียว
แต่หลังจากที่เขาไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็รู้สึกว่าอย่างหลังนั้นตรงไปตรงมาเกินไป และมู่จื่อหลิงอาจไม่เชื่อเมื่อเขาพูดออกไป ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพูดเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม ในใจของหลงเซี่ยวเจ๋อมันก็มีความหมายไม่ต่างกัน แต่มู่จื่อหลิงที่ได้ฟังกลับไม่ชอบมัน
การเชื่อพี่สามของเขา ดังนั้นจึงเชื่อใจนางผู้เป็พี่สะใภ้สามนี่มันหมายความว่าอย่างไร?
ตรรกะอะไร? นี่อาจเป็ความไว้วางใจ รักใครก็รักคนหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับเขาด้วยใช่หรือไม่?
เส้นสีดำสามเส้นปรากฏขึ้นบนหน้าผากของมู่จื่อหลิง
ความไว้ใจในตัวนางของเด็กโง่ผู้นี้ มันกลับกลายเป็ว่ามีพื้นฐานมาจากหลงเซี่ยวอวี่ ทำไมมันฟังดูไม่สบายใจนักนะ?
มู่จื่อหลิงอยากถามว่า หากนางไม่ใช่พี่สะใภ้สาม เขาจะยังเชื่อใจนางมากอยู่หรือไม่?
แต่เมื่อมองไปที่หลงเซี่ยวเจ๋อที่กำลังยิ้มให้ด้วยใบหน้าที่โง่เขลาแล้ว นางก็ตัดสินใจที่จะไม่ถามหาเื่ที่ไม่น่าสนใจ ไม่ว่าเขาจะเชื่อใจหรือไม่ก็ตาม ความเชื่อใจก็ไม่อาจกินได้
“เ้านั่งอยู่ตรงนี้มานานเพียงใดแล้ว?” มู่จื่อหลิงถามขณะประคองหลงเซี่ยวเจ๋อ
หลงเซี่ยวเจ๋อลืมตาขึ้น คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดอย่างไม่แน่ใจว่า “สอง...สองวัน”
“เ้าไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว?” มู่จื่อหลิงเหลือบมองไปที่หลงเซี่ยวเจ๋อผู้ซึ่งสูงกว่านางครึ่งหัวด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างไร้ความปรานี
หลงเซี่ยวเจ๋อเหยียดมือที่เรียวยาวสีดำสนิทของตนออกมาอย่างน่าสมเพช แสดงสามนิ้วอย่างน่าสงสาร “สาม...สามวัน”
หิวแทบตายแล้วสินะเ้า มู่จื่อหลิงพูดไม่ออก “แล้วเหตุใดเ้าถึงไม่เข้าไปในจวนฉีอ๋องเล่า?”
หลงเซี่ยวเจ๋อส่ายหัว แล้วพูดด้วยเสียงสั่นๆ ด้วยคำที่เกินจริงว่า “หากพี่สามรู้ว่าข้าเป็เช่นนี้ ยังจะไม่หักกระดูกข้าเอาหรอกหรือ”
ในยามที่หลงเซี่ยวเจ๋อพูดออกมา มันมีความรู้สึกอยากจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตาอยู่ด้วย
์รู้ดีว่าเขาทุกข์ทรมานเพียงใดใน่สองสามวันที่ผ่านมานี้ ต้องใช้ท้องฟ้าเป็ผ้าห่ม ใช้พื้นดินเป็เตียง ไม่ต้องพูดถึงอาหาร เพราะเขาไม่ได้ดื่มน้ำเลยแม้แต่นิดเดียว
ไม่เพียงแต่ต้องรออย่างระมัดระวังอยู่ใกล้ๆ จวนฉีอ๋องเท่านั้น แต่ยังต้องระมัดระวังตลอดเวลา หากถูกทหารยามพบตัวก็เท่ากับถูกหลงเซี่ยวอวี่หาพบแล้ว
หลงเซี่ยวเจ๋อตระหนักในตนเองจริงๆ ว่าหากหลงเซี่ยวอวี่เห็นเขาเป็เช่นนี้ด้วยตาของตนเอง มันจะไม่ใช่เพียงแค่หักกระดูก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลงเซี่ยวอวี่จะไม่ได้เห็นด้วยตาของเขาเอง แต่เขาย่อมรู้มานานแล้ว ไม่อย่างนั้น หลงเซี่ยวเจ๋อจะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ มู่จื่อหลิงคิดในใจอย่างขบขัน
มุมปากของมู่จื่อหลิงกระตุกเล็กน้อย นางมองดูหลงเซี่ยวเจ๋ออย่างไม่พอใจ “เ้าคิดว่าตราบใดที่เ้าไม่เข้าไป เขาจะไม่รู้หรือ?”
นางยังคาดเดาได้ว่า หลงเซี่ยวเจ๋อผู้นี้ยอมอดตายดีกว่า ขอนั่งอยู่ตรงมุมนี้ดีกว่าเข้าไปในจวนฉีอ๋อง เขากลัวหลงเซี่ยวอวี่ และในยามนี้มันก็ดูเป็เช่นนี้
อย่างไรก็ตาม หลงเซี่ยวเจ๋อเป็เด็กที่ไร้เดียงสา!
ั้แ่ครั้งล่าสุดที่มือสังหารบุกเข้ามา เหล่าทหารองครักษ์ของจวนฉีอ๋องและองครักษ์เงาก็เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
จวนฉีอ๋องในยามนี้สามารถกล่าวได้ว่าได้รับการปกป้องโดยองครักษ์ที่กล้าหาญและมีความสามารถ ข้างในมีสามชั้น ข้างนอกอีกสามชั้น เป็การป้องกันที่หนาแน่นมาก แม้แต่แมลงวันก็บินเข้ามาไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง แม้แต่คนที่ไม่ทราบที่มาก็ไม่สามารถเข้าใกล้จวนฉีอ๋องได้
กล่าวได้ว่าทหารองครักษ์ในวังหลวงจำคนได้ไม่ชัด แต่ทหารองครักษ์ของจวนฉีอ๋องนั้นต่างกัน
แม้ว่าจวนฉีอ๋องจะเข้าถึงได้ยากกว่าวังหลวง แต่ทหารองครักษ์ในจวนล้วนเป็ปรมาจารย์ที่เฉลียวฉลาด ทุกคนล้วนผ่านการฝึกฝนอย่างหนักและเข้มงวด การจดจำบุคคลนั้นจึงไม่ใช่เื่ยาก
องครักษ์เ่าั้ต้องตระหนักว่า หลงเซี่ยวเจ๋ออยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่อนุญาตให้ขอทานมานั่งอยู่ตรงมุมใกล้กับจวนฉีอ๋อง
นางบอกไปแล้วว่าหากปราศจากคำสั่งของหลงเซี่ยวอวี่ จะมีขอทานมานั่งอยู่ที่มุมของจวนฉีอ๋องได้อย่างไร หลงเซี่ยวเจ๋ออาจไม่สามารถนั่งพิงผนังอยู่เช่นนี้ได้
“เป็ไปไม่ได้ ข้าหลบซ่อนอย่างดีใน่สองวันที่ผ่านมา พี่สามจะรู้ได้อย่างไร” หลงเซี่ยวเจ๋อส่ายหัวและคัดค้านโดยไม่คิด
และจากนั้น......
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้