บทที่ 47 จำศีลภาวนา
ลู่อวี่ไม่คิดที่จะปรุงยาต่อ ต่อให้ยังเหลือวัตถุดิบอยู่อีกมาก แต่ยาศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างเทียนเฟิงทั้งห้าเม็ดก็พอใช้แล้ว แม้ว่าจะแบ่งให้มู่ซิงเหอสองเม็ด จึงเหลือในมือเพียงสามเม็ดก็ตาม แต่เขาเชื่อมั่นว่ามันจะพอให้ลู่ไท่ชังฝึกฝนพลังยุทธ์จนถึง่ปลายขั้นเกิดเทพเ้าได้
หลังจากนี้อีกนาน ลู่อวี่ก็ทุ่มเทอยู่แต่กับการฝึกตน และทั้งตระกูลลู่นอกจากลู่หนานกับมู่เสวียนที่ชอบวิ่งไปก่อกวนลู่อวี่สุ่มสี่สุ่มห้า เป็ครั้งคราวโดยไม่คิดถึงผลกระทบที่ตามมาแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดกล้ามารบกวนเขาอีก บิดาอย่างลู่เหว่ยจุนและผู้เฒ่าทุกคนก็ไม่ยุ่งเกี่ยวการกระทำของลู่อวี่อีกต่อไป และไม่เร่งให้เขาปรุงโอสถใดๆ ให้อีก
ในทางกลับกัน ลู่หงิ และลู่เหว่ยเซิ่ง ก็มีงานยุ่งั้แ่ลู่อวี่ปรุงยาศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างเทียนเฟิงเสร็จแล้ว เพราะคำแนะนำเ่าั้ของลู่อวี่ ทั้งสองก็เอาแต่คลั่งไคล้อยู่แต่กับการรวบรวมสูตรยาเป็ร้อยชนิด และรวบรวมวัตถุดิบยา พร้อมทั้งเริ่มปรุงยาอายุวัฒนะกันเอง แม้ว่าจะไม่ใช่ยาอายุวัฒนะคุณภาพสูงอย่างที่ลู่อวี่ปรุงออกมา แต่เพราะความพยายามของทั้งสองคน ทำให้มียาอายุวัฒนะคุณภาพขั้นกลางและต่ำในตระกูลลู่เพิ่มอย่างเพียงพอ
และไม่เพียงแต่ความแข็งแกร่งโดยรวมของตระกูลลู่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ กิจการร้านยาของตระกูลลู่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากความจริงที่ว่า นายน้อยของตระกูลลู่เป็คนปรุงโอสถอัจฉริยะขั้นห้าปรากฏสู่สายตา จึงทำให้เกิดความฮือฮาไปทั่วโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรของเทียนตู และสถานการณ์ก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น
ไม่ว่าโลกภายนอกจะเป็อย่างไร ลู่อวี่ยังคงดำเนินแผนการฝึกซ้อมของเขาต่อทีละขั้นตอน แม้ว่าสติปัญญาของเขาในตอนนี้จะไม่สูงนัก แต่หลังจากได้ใช้ยาอายุวัฒนะปรับสภาพ และกินยาอายุวัฒนะเสริมกำลังไปจำนวนไม่น้อย ทำให้รากฐานความรู้ของเขายิ่งแข็งแกร่ง และมีเสถียรภาพมากขึ้น ระดับพลังยุทธ์จึงมีเพียงจุดเปลี่ยนผัน ราวกับพลิกฝ่ามือก็สามารถฝ่าก้าวสู่ขั้นฟันฝ่าได้ทันที
หลังจากที่ผู้ฝึกตนเข้าสู่ประตูแห่งธรรมก็จะถือว่าเข้าสู่ประตูใหญ่ของการบำเพ็ญเพียร ่ฝึกพลังปราณก่อนที่จะเข้าสู่ประตูแห่งธรรม ไม่ว่าจะบำเพ็ญเพียรมาถึงขั้นใด ก็ยังเป็เพียงปุถุชนคนธรรมดา
การเข้าสู่ประตูแห่งธรรม เป็ขั้นตอนหนึ่งของการพากเพียรพยายามและสิ่งที่มีมาโดยกำเนิด แต่หลังจากเข้าไปในที่แห่งนั้น แม้ว่าจะยังไม่อาจละจากความเป็ปุถุชนคนธรรมดาได้ แต่อายุขัยก็จะยืนยาวนานขึ้นเล็กน้อย คาดการณ์ว่าสักหนึ่งร้อยห้าสิบปี ก็นับว่าอายุยืนยาวกว่ามนุษย์ทั่วไปหลายขุม
หลังจากเข้าสู่ประตูแห่งธรรมจนถึงขั้นประสานพลังปราณ ซึ่งคือการหลอมรวมลมปราณและพลังเวท เป็กระบวนการทั้งหมดที่ต้องอาศัยความพยายามและการฝึกฝนที่ยาวนาน ดังนั้นลู่อวี่จึงใช้ยาอายุวัฒนะเข้ามาเป็ตัวช่วยเพื่อบรรลุขั้นพลังยุทธ์ขึ้น จนฝ่าระดับพลังยุทธ์ขั้นนี้ได้ และไม่ได้กังวลว่ามันจะส่งผลกระทบต่อพื้นฐานของตัวเองมากเกินไป
พลังเวทก็คือรากฐานของคาถาอาคม หากสามารถเสกยันต์สำคัญได้เท่าไร ก็ยิ่งใช้คาถาได้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม กระบวนการนี้ไม่จำเป็ต้องเสร็จสิ้นภายในขั้นพลังยุทธ์นี้ ขอเพียงมีลมปราณที่เพียงพอก็นับว่าดีแล้ว
ขั้นพลังจิตก็คือพลังเวทกับพลังจิต คาถาที่แตกต่างกันก็จะมียันต์สำคัญที่ต่างกันไป แต่อาศัยการผสมผสานพิเศษบางอย่าง จึงร่วมคาถาและยันต์สำคัญหลายอย่างมาอยู่ร่วมกัน ก็สามารถรวมเป็พลังเวทได้ และประโยชน์ของพลังเวทก็คือ ความทรงพลังและความสามารถในการใช้คาถาได้ดั่งใจ จึงเรียกว่า พลังจิตนั่นเอง
พลังเวทแยกออกเป็สองส่วน คือพลังเวทที่ติดตัวมาแต่กำเนิด และพลังเวทที่ได้มาจากพรแสวง
พลังเวทที่ติดตัวมาแต่เกิด เรียกอีกอย่างว่า ‘พลังเวทโดยกำเนิด’ พลังนั้นจะได้มาจากการฝึกฝน ความถนัด และความเข้าใจของผู้บำเพ็ญเพียรเอง ไม่ใช่การนึกปรุงแต่งไปเองว่า ้าสิ่งใดจะได้รับสิ่งนั้น
ข้อดีคือพลังเวทประเภทนี้ ไม่จำเป็ต้องอาศัยการฝึกฝนเพียงอย่างเดียว ขอเพียงพลังยุทธ์เพิ่มขึ้น พลังเวทโดยกำเนิดก็จะบรรลุขั้นขึ้นเองโดยธรรมชาติ และพลังก็จะมากขึ้นตามไปด้วย แต่ทักษะที่สามารถสร้างพลังเหนือธรรมชาติโดยกำเนิดได้นั้นมีน้อยยิ่ง แม้ว่าจะได้รับพลังเวทโดยกำเนิดก็ตาม เป็เพราะข้อจำกัดของทักษะโดยกำเนิด พลังเวทที่มีมาโดยกำเนิดจึงจะแตกต่างกันออกไป
สำหรับพลังเวทที่ได้จากพรแสวงนั้น ขึ้นอยู่กับการเลือกของผู้ฝึกตน ความยากเพียงอย่างเดียว คือทุกขั้นตอนล้วนเต็มไปด้วยขวากหนามที่ชื่อว่าความลำบาก ยิ่งพลังเวทแข็งแกร่งมาก ก็จะยิ่งฝึกฝนยากมากขึ้นเท่านั้น
และไม่ว่าจะเป็พลังเวทโดยกำเนิดหรือพลังเวทที่ได้มาจากพรแสวง ล้วนมีความแตกต่างกัน อย่างเช่น พลังเวทขนาดเล็ก พลังเวท พลังเวทใหญ่และพลังเวทขั้นสูงสุด ขึ้นอยู่กับบุคคล
เหตุผลที่ลู่อวี่หยุดอยู่ในขั้นพลังจิตนานเพียงนี้ ไม่ใช่เพียงกำลังวางรากฐานให้มั่นคงและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ร่างกายเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน เขากำลัง ‘รวบรัด’ เอายันต์สำคัญไว้ให้ได้มากที่สุด เพื่อยกระดับความแข็งแกร่งของตัวเอง
ขั้นตอนนี้หากเป็นักพรตอื่น คงไม่ราบรื่นเหมือนกับลู่อวี่ เพราะสำหรับคนเ่าั้แล้ว ทุกคาถาที่พวกเขาฝึกฝนมาล้วนแล้วแต่เป็การทดสอบใหม่ คงยากมากที่จะรวบรัดยันต์มาได้ เมื่อใดที่เกิดล้มเหลว ลมปราณที่ใช้ไปทั้งหมดจะสูญเปล่า แต่สำหรับลู่อวี่แล้ว คาถาเหล่านี้เขาคุ้นเคยกับมันมาั้แ่ในชาติก่อนหน้านี้ จึงไม่จำเป็ต้องสิ้นเปลืองเวลาให้มาก ก็สามารถเสกออกมาได้อย่างง่ายดาย
แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เขาจนใจ คือลมปราณที่มีอยู่น้อยนิด หลังจากเสกเอายันต์สำคัญมาได้สองสามอัน ลมปราณที่มีก็คงหมด แต่ลู่อวี่ในฐานะปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของขั้นหวนสู่สัจธรรมเมื่อชาติก่อน ดันมารู้คาถาและพลังเวทมากเสียอย่างนั้น และแต่ละชนิดก็มีความจำเป็มาก จึงละทิ้งไปไม่ได้ นับว่าติดพันกันอยู่หลายส่วน มันจึงทำให้เขาหยุดอยู่ในขั้นพลังจิตนานเช่นนี้
ครึ่งปีให้หลัง ใช้เวลาฝึกฝนไปหนึ่งปีกว่า ในที่สุดลู่อวี่ก็ฝึกฝนยันต์สำคัญที่ตัวเองคิดว่าจำเป็สำเร็จ นี่เป็เพียงยันต์พื้นฐานเบื้องต้นเท่านั้น ในพลังเวททั้งเก้าระดับ สิ่งพวกนี้เป็เพียงระดับเก้าที่ต่ำที่สุดเท่านั้น คาถาส่วนใหญ่ยังต้องให้เขาค่อยๆ ฝึกฝนไป และเหตุผลที่ต้องเร่งฝึกฝนยันต์สำคัญเหล่านี้ออกมา ก็เพราะระดับพลังยุทธ์ที่สูงขึ้น ตัวยันต์เองก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
ยิ่งฝึกฝนเร็วเท่าไรในภายภาคหน้า ก็จะยิ่งมีพลังมากขึ้นและง่ายต่อการเพิ่มพลังยุทธ์ยิ่งขึ้น
หลังจากที่ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ลู่อวี่ก็เริ่มเข้าสู่ห้วงการฝึกฝนบำเพ็ญเพียร และจำศีลภาวนาเพื่อฝ่าขั้นพลังยุทธ์ทันที!
พลังยุทธ์ขั้นพลังจิตไปจนถึงขั้นฟันฝ่า ไม่เพียงแต่ทะลวงฝ่าขั้นพลังยุทธ์เท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันยังต้องฝ่าภัยพิบัติของทัณฑ์์แรกด้วย เพราะทัณฑ์์เองก็มีถึงเก้าศาสตร์แห่งเทพเ้า ดังนั้นจึงถูกเรียกอีกชื่อว่า ‘สิบเก้าทัณฑ์์’ และเรียกอีกอย่างว่า ‘ฟันฝ่าทัณฑ์์!’ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับทักษะการฝึกฝนของแต่ละคนที่แตกต่างกัน
ทัณฑ์์ก็แตกต่างกันไปคนละแบบ จากการประมาณการของลู่อวี่ เคล็ดวิชาไท่ซั่งฮุ่นหวันเจินฝ่าที่เขาฝึกฝนมา ถือเป็วิถีที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ดังนั้นทัณฑ์์ของ์ที่ผ่าฟาดลงมาจะมุ่งเป้าไปที่สิ่งนี้อย่างแน่นอน
ลู่อวี่ในเวลานี้ ถือว่าได้ผ่านความยากลำบากมามาก เมื่อเริ่มจำศีลภาวนาได้ไม่ถึงครึ่งเดือนดี ก็ประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ขั้นฟันฝ่าได้อย่างราบรื่น ทุกย่างก้าวเล็ก ๆ ก็มักจะยากกว่าอดีตสิบเท่าหรือร้อยเท่า มิฉะนั้นลู่เหว่ยจุนในฐานะประมุขตระกูลระดับสูง คงไม่แช่แข็งพลังยุทธ์ของตนเองไว้ใน่ปลายขั้นฟันฝ่า
ลู่อวี่ที่เพิ่งฝ่าขั้นพลังยุทธ์บรรลุขึ้นมาอยู่ในขั้นฟันฝ่า อยู่ในถ้ำจำศีลภาวนาที่ตระกูลลู่สร้างขึ้นเป็พิเศษ กำลังใช้พลังทั้งหมดหมุนเวียนลมปราณ และปรับสมดุลของตัวเองอยู่ เพราะทัณฑ์์ครั้งต่อไปจะหนักและรุนแรงกว่าทัณฑ์์เมื่อชาติก่อนของตัวเองมากแน่นอน
จำได้ว่าตอนที่ต้องฝ่าภัยพิบัติเล็กของสิบเก้าทัณฑ์์ครั้งแรก หากไม่ใช่เพราะเตรียมพร้อมมาอย่างเต็มที่ คงถูกทัณฑ์์ผ่าฟาดลงมาจนิญญาแตกสลาย และดับสูญไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องให้ความสำคัญกับมัน
โชคดีที่ตระกูลลู่ ไม่เพียงแต่มีถ้ำจำศีลภาวนาเฉพาะเท่านั้น แต่ยังมีค่ายกลกระบี่ใหญ่ที่สามารถลดทอนพลังทัณฑ์์อยู่นอกถ้ำด้วย รวมกับยาอายุวัฒนะและอาวุธเวทที่ลู่อวี่เตรียมไว้เอง ก็สามารถรอดพ้นจากสิบเก้าทัณฑ์์เล็กครั้งแรกที่ทรงพลังน้อยที่สุด อย่างไร้ซึ่งปัญหา อย่างมากสุดหลังจากฝ่าภัยพิบัติ คงมีสภาพที่ดีหรือแย่เท่านั้น แต่ไม่ถึงตาย!
เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไป ความรู้สึกตื่นเต้นในใจของลู่อวี่ก็ลดน้อยลงไปบ้าง แต่ในใจกลับมีข้อสงสัยเกิดขึ้นมาแทนที่! นี่ก็เกือบสองก้านธูปแล้วที่เขาทะลวงฝ่าขั้นฟันฝ่ามาได้ เหตุใดถึงยังไม่รู้สึกถึงพลังของทัณฑ์์เล่า? จากประสบการณ์และความรู้ที่ติดตัวมา หลังจากฝ่าขั้นพลังยุทธ์มาได้หนึ่งก้านธูป เมฆหายนะก็จะก่อตัวรวมกัน แต่เหตุใดตอนนี้มันก็ใกล้จะสองก้านธูปแล้ว แต่กลับไร้วี่แวว?
น่าเสียดายที่ใน่ฝ่าภัยพิบัติ จะให้ผู้อื่นมาอยู่เฝ้าสังเกตการณ์ด้วยไม่ได้ และห้ามไม่ให้ใครเข้ามาช่วยด้วย ดังนั้นเวลานี้ลู่อวี่ จึงถามใครไม่ได้ โดยเฉพาะตอนนี้ที่ค่ายกลกระบี่ป้องกันกำลังทำหน้าที่ของมัน เช่นนั้นแล้วแม้แต่การใช้แผ่นบินส่งข่าว จึงไม่อาจทำได้
ในที่สุดอีกหนึ่งก้านธูปต่อมา ทัณฑ์์ก็ยังไม่ผ่าฟาดลงมา ลู่อวี่ถึงกับอดใจะโลุกขึ้นและรีบเปิดถ้ำที่เป็เขตหวงห้าม เพื่อออกไปดูความเป็ไปด้านนอกไม่ได้!
และเห็นเพียงท้องฟ้าสีคราม ไร้ม่านเมฆ แล้วสัญญาณของทัณฑ์์จะมาถึงเมื่อไรกัน? นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ลู่อวี่ไม่เคยเจอเื่เช่นนี้มาก่อน ก็เป็ต้องใ แม้จะไม่ต้องฝ่าภัยพิบัติ ก็นับว่าไม่ใช่เื่เลวร้ายอะไร แต่มันจะทำให้เขาผู้ซึ่งเป็ถึงอดีตปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ในชาติที่แล้วเกิดความสงสัย และคิดฟุ้งซ่านไม่ได้
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน และตัดความเป็ไปได้เื่คนมารบกวนทิ้งไป ก็มีเหตุผลเดียวเท่านั้นที่พอจะอธิบายได้ นั่นก็คือ ตัวเองรอดพ้นจากภัยพิบัตินี้มาแล้วเมื่อชาติก่อน! ดังนั้นแม้ว่าจะฝึกฝนใหม่อีกครั้ง ก็ไม่ต้องฝ่าภัยพิบัติอีกครั้ง? และหากเป็เช่นนี้ นั่นก็แสดงว่าเขาไม่ได้ตาย แต่ตายแล้วฟื้น! แม้ว่าจะมีความต่างของเวลาอยู่บ้าง แต่โดยรวมก็นับเป็เื่ที่ดี
หลังจากปลอบใจตัวเองด้วยวิธีนี้สักพัก อารมณ์ตึงเครียดของลู่อวี่ก็ผ่อนคลายลงในที่สุด เมื่อได้ัักับลมปราณและพลังเวทที่กระชุ่มกระชวยในร่างกายแล้ว ก็พลันรู้สึกดีขึ้นมากในทันที
เมื่อคิดดูอยู่เงียบๆ ครั้งนี้ลู่อวี่ไม่ได้พาองครักษ์ติดกายมาด้วย ทำเพียงส่งสารบินไปหาตู้เสวียนเฉิง จากนั้นก็ลงจากูเาเทียนฉยงอย่างสบายใจ เขาไม่ได้วางแผนที่จะไปไกล เพียงแต่้าออกไปสูดอากาศ และเดินเล่นไปรอบๆ ตามใจชอบ หากเป็เช่นนี้ ‘เมืองเทียนอวิ๋น’ น่าจะเป็สถานที่ที่ดีที่สุด อยู่ตรงเชิงเขาเทียนฉยงพอดีด้วย มีประชากรจำนวนมากและการค้าที่เจริญรุ่งเรือง ดังนั้นจึงเป็สถานที่ที่เหมาะสำหรับการเดินเล่น
เดิมทีครั้งก่อนที่ไปเมืองเทียนตูเซียน ก็เพียงแต่อยากจะไปพักผ่อน แต่จับพลัดจับผลู กลับไม่บรรลุเป้าหมาย ครั้งนี้ต้องเดินเล่นให้สนุกหนำใจ เพราะเมืองเทียนอวิ๋น อยู่ที่ตีนเขาของูเาเทียนฉยง และลู่อวี่เองก็ไม่้ารบกวนผู้ใด ดังนั้นจึงเดินทางลงจากูเาลำพัง
“พี่ลู่อวี่! ท่านจำศีลภาวนาอยู่ไม่ใช่หรือ? แล้วจะออกไปที่ใดเล่า?” ทันทีที่ลู่อวี่ลงมาได้ถึงครึ่งเขา จู่ๆ ลู่หนานกับมู่เสวียนก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย มิหนำซ้ำพวกนางยังเดินมาขวางทางไว้! เมื่อเห็นท่าทีที่มั่นใจของสองสหายตัวน้อย ก็นับว่าแปลกตาจากที่เคยเห็นมาไม่น้อย จู่ๆ ก็ปวดหัว สงสัยว่าคงหนีเื่ยุ่งๆ ไปไม่พ้นแน่
“อืม วันนี้อากาศดีมาก พี่ชายเลยออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์เท่านั้น พวกเ้าทั้งสองไม่ตั้งใจฝึกซ้อม วิ่งไปทั่วทั้งวันด้วยเหตุใด? รีบกลับไปฝึกฝนเร็วเข้า!” ลู่อวี่แสร้งทำเป็สั่งสอนอย่างนิ่งเฉย เขาไม่อยากพาพวกนางออกไปด้วย เป็เพราะเด็ก ๆ พวกนี้ขึ้นชื่อว่าชอบสร้างปัญหา และเป็ที่รู้กันดีว่า ตัวเขาเองก็มีปัญหาพุ่งเข้ามาไม่หยุดอยู่แล้ว หากพาพวกนางไปด้วย ก็อย่าได้คิดเลยว่าจะอยู่อย่างเป็สุข!
แม้ว่ามู่เสวียนกับลู่อวี่จะคลุกคลีกันจนสนิทสนมกันแล้ว นางมักเรียกเขาว่า “พี่ลู่” ทุกคำ แต่เวลาพูดก็ไม่ได้กำเริบเสิบสานเหมือนลู่หนาน ทำเพียงกะพริบปริบๆ หน้าเง้าหน้างอ ทำปากมุ่ยและพูดว่า “ได้ยินว่าพี่ลู่จำศีลภาวนาอยู่ และกำลังจะฝ่าพลังยุทธ์ไปขั้นฟันฝ่า ย่อมต้องเจอกับภัยพิบัติ ข้ากับลู่หนานเป็ห่วงไม่น้อย เมื่อฝึกเสร็จก็ไปดูพี่ลู่ที่นั่นทุกวัน ใครจะรู้ท่านจะไม่รับน้ำใจเอาเสียเลย เชอะ!”
“ใช่ ข้าคิดคำพูดไว้มากมายเพื่อปลอบใจพี่ชาย แต่มาตอนนี้ อย่าคิดว่าข้าจะปลอบใจท่านอีก!” ลู่หนานกัดริมฝีปากเล็ก แล้วมองดูพี่ลู่ของนางอย่างโกรธเคือง ด้วยสีหน้าที่เหมือนถูกทรยศ?