ในตอนบ่าย ข้าไม่ได้ไปสนามที่ 7ซึ่งเป็สนามฝึกซ้อมของห้องตัวเอง แต่เลือกมุ่งไปยังสนามที่ 2 ซึ่งเป็สนามฝึกซ้อมของศิษย์ห้องหนึ่งของสำนักจวี๋ฉีแทนและเมื่อกริ่งเข้าเรียนดังขึ้นศิษย์แต่ละห้องก็มาร่วมกันจนครบ
ศิษย์ห้องหนึ่งของสำนักจวี๋ฉียืนล้อมรอบอาจารย์ผู้ช่วยสอนทั้งสองเป็วงกลม
“หลบไป!”
ข้าตวาดเสียงดัง กลุ่มศิษย์ที่ยืนเป็วงต่างถอยกรูอาจารย์ทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงกลางมองอย่างตกตะลึง
“ปู้อี้เชวียนห้องของเ้าอยู่สนามที่ 7 ไม่ใช่หรือไงแล้วเ้ามาทำอะไรที่สนามนี้?” อาจารย์ท่านหนึ่งถามขึ้นอย่างสงสัยและใ
ข้าตอบกลับด้วยความเคารพ “ท่านอาจารย์พอดีข้ามาเพื่อจัดการเื่ส่วนตัวนิดหน่อย”
ข้าปักกระบี่ลงบนพื้นก่อนจะเดินไปยังใจกลางวงกลมนั้นพร้อมสายตาที่เยือกเย็นก่อนจะถามขึ้น “คนที่ทำร้ายซ้งเชียนเมื่อ่บ่ายเดินออกมาให้หมด!”
ทุกคนต่างพากันเงียบไร้ซึ่งเสียงใดๆ
จวงเหิงซิ่ง เฉิ่นลั้งและหวินยู่ทั้งสามคนมองตากันไปมาแต่ไม่ได้พูดอะไร
จะมีก็แต่ศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักจวี๋ฉีอย่างเชวียนหยวนจิ้นที่ขมวดคิ้วพลางพูดขึ้นมา “ปู้อี้เชวียนที่นี่สำหรับศิษย์ห้องหนึ่งของสำนัก ไม่ใช่ที่ที่เ้าจะมาทำอะไรเถื่อนๆ แบบนี้มาทางไหนก็กลับไปทางนั้น!”
ข้าผายมือเรียกกระบี่คมจันทราที่แผ่ซ่านแสงแห่งความเย็นออกมาก่อนจะพูดขึ้น “กล้าทำแล้วไม่กล้ารับอย่างนั้นหรือ!”
พอถูกสายตาที่กดดันของข้า จวงเหิงซิ่งก็เดินออกมาข้างหน้าก่อนจะพูดขึ้น “ข้าเป็คนทำเอง แล้วจะทำไม?”
เฉิ่นลั้งกับหวินยู่เดินออกมาพร้อมกันก่อนที่เฉิ่นลั้งจะแสยะยิ้มแล้วพูดบ้าง “ปู้อี้เชวียนเ้ามาคนเดียวแต่กล้าท้าสู้กับพวกข้าสามคนอย่างเหรอ? แหกตาดูให้ดีๆว่าพวกข้าอยู่ในขั้นเทวิญญาซึ่งไม่มีใครอยู่ในขั้นที่ต่ำกว่าเ้าเลยสักคน!”
“ยอมรับก็ดี”
ข้าหัวเราะก่อนจะส่งไปยังกระบี่คมจันทราเพื่อให้มีพลังแข็งแกร่งกว่าเดิม “พวกเ้าจะเข้ามาพร้อมกันหรือทีละคน?”
ผู้หญิงสองคนอย่างไอลากับหวังอี้ต่างขมวดคิ้วมองแต่ไม่ได้พูดอะไร
“มันจะมากเกินไปแล้ว!”
เฉิ่นลั้งตวาดลั่นก่อนจะแสดงพลังพร้อมกับอีกสองคนเพียงชั่วพริบตาพลังที่แข็งแกร่งของทั้งสามคนก็แผ่ซ่านออกมาอย่างกล้าแกร่งโดยพลังของทั้งสามถือว่าอยู่ที่ในระดับดีในสำนักจวี๋ฉีซึ่งเป็หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้พวกเขารังแกคนที่อ่อนแอกว่าเสมอ
“เ้ามันหาเื่เอง!”
เฉิ่นลั้งตวาดเสียงดังก่อนกระบี่สลายิญญาของเขาจะปรากฏออกมาจากอากาศพร้อมกับพลังพร์แล้วพุ่งเข้ามาทันทีข้าเคยได้ยินเื่พลังพร์ของเขามาบ้างว่า เป็การทำลายพลังิญญาของคู่ต่อสู้และทำลายอาวุธิญญาไปด้วยดังนั้นจะให้สู้แบบตาต่อตาฟันต่อฟันคงไม่ได้
ข้าเพียงขยับการเคลื่อนไหวด้วยเพลงขาเมฆาหมอกนิดหน่อยก็สามารถหลบการจู่โจมของเขาได้และในเวลาเดียวกันข้าก็กวาดขาซ้ายเป็ครึ่งวงกลมเพื่อหลบหลีกการโจมตีของหวินยู่และรักษาการทรงตัวแล้วยกขาข้างเดิมขึ้นถีบร่างของเฉิ่นลั้งจนล้มลงไปกองกับพื้น
ขณะเดียวกันก็รับรู้ถึงพลังที่ไร้รูปร่างเปล่งประกายอยู่เหนือหัวซึ่งเป็พลังของเพลงกระบี่ดาวตกจากจวงเหิงซิ่งนั่นเอง
ข้าเคลื่อนตัวออกมาข้างหน้าหลายก้าวเพื่อหลบให้พ้นจากขอบเขตพลังของจวงเหิงซิ่งเพียงพริบตาก็ถีบเข้าไปที่เฉิ่นลั้งด้วยกระบวนท่าเอกากัลป์เบิกขุนเขา
เสียง ‘ปั้ง!’ ดังสนั่นตามด้วยเสียงร้องคล้ายกับสัตว์ที่ถูกสังหารก่อนร่างของเฉิ่นลั้งจะปลิวไปชนกับหุ่นเหล็กที่ให้ฝึกซ้อมเต็มแรงจนหมดพลังที่จะสู้ต่อ
หันกลับมาก็ฟาดฟันลงไปด้วยพลังอันเย็นะเืของกระบี่คมจันทราที่ทำลายการโจมตีทุกอย่างของจวงเหิงซิ่งจนหมดพลังการโจมตีของเขาราวกับลมที่พัดผ่านอย่างไร้เรี่ยวแรงเพราะแค่ข้าสะบัดปลายกระบี่เบาๆ ก็ทำให้เขาหมดปัญญาต่อต้าน
เกร๊ง!!
เสียงของอาวุธิญญาสองชิ้นกระทบกันดังสนั่นไปทั่วบริเวณพลังของแปดกระบี่ร้างและลมหายใจัล้วนแข็งแกร่งจนคนที่อยู่โดยรอบต้องถอยตัวออกห่างรวมถึงอาจารย์ทั้งสองท่านที่ทำตัวไม่ถูกจึงต้องถอยไปอยู่ไกลๆ แล้วะโขึ้น “เ้าบ้าไปแล้วหรือไงปู้อี้เชวียน!?”
ข้ากดกระบี่ลงด้วยพลังของแปดกระบี่ร้างซึ่งไม่ใช่สิ่งที่จวงเหิงซิ่งจะรับมือได้กระบี่ไร้อริในมือของเขาสั่นะเืจนแทบจะปลิวหลุดจากมือตอนนี้แขนทั้งสองข้างคงจะชาเหมือนกันเขามีสีหน้าเคร่งเครียดและจริงจังเมื่อถูกพลังของข้าจนถอยรุดไปหลายก้าวเท้าของเขาที่เหยียบลงบนดินหยัดให้หนักแน่นก่อนจะมีพลังพุ่งกระจายด้วยเปลวเพลิงแล้วเตะตรงเข้าใส่ข้าด้วยพลัง ‘โลกันตร์พิภพ’ ซึ่งเป็เคล็ดวิชาลับของปรมาจารย์ิญญาข่าถู!
ตอนนี้จวงเหิงซิ่งได้ใช้พลังที่มีอย่างขีดสุดแต่ข้ากลับเดินหน้าเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัวแม้ว่าเกราะรบจะเกิดเสียงร้าวแต่ก็ไม่ได้สนใจข้าก้าวเข้าหาเขาพร้อมกับแววตาที่ดุดัน “เ้าไม่ชอบหน้าข้าก็เข้ามาจัดการจนกว่าจะสาแก่ใจแต่ไม่ควรไปยุ่งกับสหายของข้า เพราะมันร้ายแรงยิ่งกว่าเ้าทำร้ายข้าเอง!”
“เ้า...เ้ากล้าจะฆ่าข้าอย่างนั้นเหรอ?!” จวงเหิงซิ่งพูดด้วยสีหน้าซีดเผือดจนไม่กล้ากวัดแกว่งกระบี่ในมือต่อ
“ฆ่าเ้า?”
ข้าเดินหน้าเข้าไปอย่างไม่ลดละพร้อมกับพลังของเทพัยอดสิงขรที่พุ่งปะทุออกมา ก่อนจะยกเท้าขวาขึ้นพลางตวาดลั่น “เ้าคิดว่าข้าไม่กล้าหรือไง!!”
ปั้ง! ปั้ง!
ขาสลับขาเตะลงไปจนจวงเหิงซิ่งปลิวออกไปเหมือนว่าวที่สายป่านขาดก่อนจะตกลงมาโดยใช้แขนขวาลงมาก่อน ซึ่งทำให้แขนของเขาหักและร่างกายอ่อนแอเหมือนกับกระดาษแผ่นหนึ่ง
ด้านหลังคือพลังลมที่เย็นะเืพุ่งเข้ามาซึ่งเป็การจู่โจมของหวินยู่นั่นเอง
หวินยู่เป็พวกพูดน้อยแต่ต่อยหนักที่สุดในสามคนนี้แถมพลังพร์ยังเป็การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วด้วยและด้วยความเร็วของเขาที่มากกว่าคนปกติถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์การโจมตีของเขาจึงยากที่จะหลบหลีกได้
เกร๊ง!!
กระบี่คมจันทราถูกตวัดเพื่อสกัดกั้นการโจมตีครั้งนี้แต่ร่างกายของข้าก็ต้องถอยรุดตามพื้นดินหลายเมตรซึ่งเมื่อเงยหน้ามองขึ้นก็เห็นพลังของหวินยู่ที่ลุกโชนเป็เปลวเพลิงก่อนเขาจะพูดขึ้น “ปู้อี้เชวียนเ้าจะทำเกินไปแล้ว!”
“อย่างนั้นเหรอ?”
ข้าลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ด้วยแววตาที่จดจ่อพร้อมด้วยกระบี่คมจันทราที่ฟาดฟันออกไป “พวกเ้าก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง!”
โจมตี!ข้าพุ่งตัวเข้าไปตรงหน้าของเขาแล้วชูกระบี่ขึ้นสูงทำให้พลังแปดกระบี่ร้างพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าดั่งห่ากระบี่หลายหมื่นเล่มที่หันปลายแหลมมายังตัวของหวินยู่เขามีสีหน้าซีดเผือดลงทันทีเมื่อรู้ว่าไม่มีทางหลบหลีกพ้นเพราะเป็เหมือนท่าไม้ตายของข้าที่มีพลังมหาศาลไม่ว่าจะเป็พลังของเคล็ดวิชาาหรือพลังของลมหายใจัก็ไม่มีทางเทียบกับพลังครั้งนี้ได้เลยสักนิด
ตั้ง!!
กระบี่เมษาระหกเหินของหวินยู่ลอยปลิวออกไปไกล พร้อมกับร่างของเขาที่ปลิวตามก่อนจะตกลงพื้นแล้วกระอักเืออกมา
ข้าเงยหน้าขึ้นมองรอบๆพบว่าตอนนี้มีศิษย์หลายคนยืนล้อมวงเข้ามานับร้อยคนซึ่งแต่ละคนก็มาจากสนามใกล้เคียง เพื่อมาดูศึกระหว่างศิษย์ของสำนักจวี๋ฉี
“ปู้อี้เชวียนเ้ามันไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเลยใช่ไหม? ฮึ เ้านึกว่าห้องหนึ่งของสำนักจวี๋ฉีอย่างพวกเราไม่มีคนเก่งสู้เ้าได้แล้วอย่างนั้นเหรอ!”
เชวียนหยวนจิ้นที่อยู่ข้างหน้าพูดขึ้นพร้อมกับเรียกอาวุธิญญาอย่างกระบี่โค่นสังหารออกมาด้วยสีหน้าที่หนักแน่นและเคร่งขรึม
ข้ามองเขาอย่างเรียบๆ ก่อนจะถามขึ้น “เชวียนหยวนจิ้นเ้าคิดจะเป็ศัตรูกับข้าอย่างนั้นเหรอ?”
“ข้า...”
เขาชะงักพักหนึ่งแล้วเงียบไป
ข้ามองกลับไปยังคนอื่นๆที่ยืนรายล้อมอยู่อีกครั้งแล้วพูดต่อ “เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนเ้าสามตัวนี้ทำร้ายซ้งเชียนซึ่งเป็สหายของข้าที่อยู่ในสำนักระดับสูงและข้าจะไม่ยอมยืนอยู่เฉยๆ ปล่อยให้สหายของข้าถูกรังแกเด็ดขาด!”
“แล้วจะเอายังไง? ทางสำนักต่างก็มีกฎของสำนักเองเ้ามาทำร้ายพวกเขาแบบนี้เป็หลักการที่ถูกต้องแล้วหรือ!?” เชวียนหยวนจิ้นขมวดคิ้วถามขึ้น
ข้ายิ้มก่อนจะพูดต่อ “ใช่นี่เป็หลักการของข้าเอง เพราะสำนักไม่มีทางทำให้พวกมันรับรู้ถึงความเ็ปแต่ข้าทำได้ไม่ว่ามันจะทำให้สหายของข้าเจ็บมากน้อยเท่าไร พวกมันจะต้องได้คืนกลับเป็สองเท่าไม่อย่างนั้น...จะต้องมีครั้งต่อไปอีกแน่”
เชวียนหยวนจิ้นกัดฟันพูด “เ้ามันโง่เง่า!”
“ถ้าเ้าอยากออกหน้าแทนพวกนั้นก็เชิญเข้ามาได้เลย” ข้าพูดเสียงเรียบ
“ดีถ้าอย่างนั้นข้าจะช่วยพวกนั้นสั่งสอนคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอย่างเ้าเอง!”
เขาตวาดลั่นแล้วส่งพลังที่บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขาอยู่ในขั้นเทวิญญาระดับสมบูรณ์ออกมาศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักจวี๋ฉีช่างเก่งกาจสมคำร่ำลือจริงๆ พลังแบบนี้แข็งแกร่งมากพอที่จะทำให้คนต้องเคารพนับถือเลยทีเดียว
ทว่า ข้าไม่ได้คิดแบบนั้น!
ขณะที่เขากำลังกวัดแกว่งกระบี่เข้ามาข้าเองก็ยกกระบี่คมจันทราขึ้นแล้วสะบัดกวัดแกว่งเข้าหาเช่นกันเมื่อระยะห่างของเราเหลือเพียงห้าเมตร ข้าจึงหมุนข้อมือและพลิกตัวพุ่งเข้าหาเพื่อรวมพลังเป็หนึ่งเดียวกับกระบี่
จังหวะที่เขากำลังตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นข้าก็ปรับเปลี่ยนกระบวนท่า โดยทำให้กระบี่คมจันทราแยกตัวเหมือนหนามแหลมคมทะลุทะลวงพลังของเขาเข้าไปภาพต่างๆ รอบตัวมันราวกับเป็ภาพลวงตาที่ทั่วทั้งใต้หล้าเหลือเพียงกระบี่เล่มเดียวกำลังพุ่งเข้าหาเขา
เกร๊ง!เมื่อเป็แบบนี้จึงทำให้เชวียนหยวนจิ้นทำได้เพียงสกัดกั้นกระบี่ของข้าเอาไว้ก่อนจะใช้พลังใดๆขณะที่กระบี่ของพวกเราสองคนพุ่งเข้ากระทบกันข้าก็ได้สลายกระบี่คมจันทราให้กลายเป็อากาศแล้วง้างแขนที่เต็มไปด้วยการรวมตัวของพลังแปดกระบี่ร้างและเทพัยอดสิงขรเข้าด้วยกัน ก่อนจะซัดเข้าที่หน้าอกของเขาอย่างรวดเร็ว
เชวียนหยวนจิ้นไม่เคยเห็นการเปลี่ยนกระบวนท่าที่รวดเร็วและการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการต่อสู้แบบนี้มาก่อน จึงรีบสลายกระบี่โค่นสังหารของตัวเองแล้วไขว้แขนทั้งสองข้างวางไว้ที่หน้าอกเพื่อป้องกันหมัดของข้าแทน
ปั้ง!!!
แสงสีขาวกระจายออกทั่วสารทิศก่อนร่างของศิษย์อันดับหนึ่งในสำนักจวี๋ฉีจะถูกข้าซัดจนปลิวไปกว่าสิบเมตรด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด ชายแขนเสื้อที่เขาใช้สกัดพลังของข้าเมื่อครู่ก็พลอยถูกหมัดซัดอย่างจังจนขาดรุ่ย
ไอลาถึงกับอ้าปากค้าง เพราะนึกไม่ถึงว่าสถานการณ์ตรงหน้าจะเป็แบบนี้เพราะเชวียนหยวนจิ้นเป็ถึงศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักแต่กลับถูกศิษย์ใหม่อย่างข้าซัดจนปลิวไปไกล
หวังอี้และหลี่สวินรวมถึงคนอื่นๆต่างมีสีหน้าไม่น่าดูสักเท่าไร เพราะคิดว่าเมื่อเชวียนหยวนจิ้นออกหน้าแทนจะต้องพลิกสถานการณ์ได้แต่ใครจะรู้ว่าสุดท้ายก็ไม่ต่างอะไรจากเดิม
ส่วนข้าที่ดูเหมือนจะชนะยังคงรับรู้ได้ถึงพลังิญญาที่ไหลเวียนอย่างสับสนวุ่นวายภายในร่างกายทว่าอาการาเ็ครั้งนี้มีเพียงข้ากับเชวียนหยวนจิ้นที่รู้กันแค่สองคนซึ่งข้าเพียงใช้และฉวยโอกาสจากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อต่อสู้เท่านั้นแต่หมัดที่ซัดลงไปกลับทำให้แขนชาจนขยับไม่ได้หลายวินาทีเพราะถึงอย่างไรเชวียนหยวนจิ้นก็มีพลังมากกว่า
ข้ามองไปที่เขาด้วยสายตาเรียบเฉย ซึ่งเขาก็มองมาเช่นกันแต่เราต่างก็ไม่ได้พูดอะไร
ในตอนนี้ศิษย์ของสนามที่ 7และอาจารย์ผู้สอนต่างพากันเดินเข้ามาดูคนที่นอนเจ็บอาจารย์หลันเท้อมองพลางขมวดคิ้วถามขึ้น “ปู้อี้เชวียนนี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ข้าตอบเสียงเบา “ในตอนเที่ยงพวกสามปราชญ์ของสำนักจวี๋ฉีทำร้ายซ้งเชียนเพราะ้าแย่งสร้อยหินกระจกเมษาของเขา”
หลันเท้อเข้าใจทันทีก่อนจะหันไปบอกกับอาจารย์ผู้ช่วยทั้งสองของห้องหนึ่ง “เอ้า...พวกเ้ารีบไปเรียกคนของห้องพยาบาลมาดูเร็วเข้าสิมัวชักช้ายืนบื้ออยู่ได้ ถ้ามีคนตายขึ้นมาพวกเ้าจะรับผิดชอบไหวหรือไง?!”
“อ้อ...ขอรับท่านเตรียมปรมาจารย์หลันเท้อ”
หลันเท้อมองข้าก่อนจะพูดขึ้น “จวงเหิงซิ่งกับเฉิ่นลั้งต่างมีเื้ัใหญ่โตเ้า...รีบไปหาท่านรองเ้าสำนักก่อนดีกว่า เพราะครั้งนี้เป็เื่สำคัญพวกเขาไม่มีทางปล่อยผ่านง่ายๆ แน่นอน”
“อืม”
ข้าพยักหน้าก่อนจะพูดขึ้น “ขอโทษด้วยนะขอรับที่ทำให้ท่านต้องมีปัญหา”
หลันเท้อยกยิ้มก่อนจะพูดพลางยิ้ม “คนที่ช่วยกู้หน้าให้สหายของตัวเองที่ถูกรังแกจึงจะเรียกว่าเป็ศิษย์ของข้าและถ้าเ้าไม่ทำแบบนี้ ข้าจะไม่พอใจมากทีเดียว!”
ข้ายิ้มรับก่อนจะหันไปบอกกับซูเหยียนตั้นไถเหยาและคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ “ข้าไปก่อนนะ”
“ระวังด้วยนะ!”
ซูเหยียนขมวดคิ้วบอกอย่างเป็ห่วง “ถ้าเกิดอยากจะให้ตระกูลซูอย่างพวกเราช่วยก็บอกได้นะ”
“อืม ไว้ข้าจะบอกแล้วกัน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้