ดินแดนแห่งภาพลวงตาภายในูเาสุสานทวยเทพ
เย่ชิงหานยืนจ้องมองต้นไม้ดึกดำบรรพ์ต้นหนึ่งมุมปากปรากฏรอยยิ้มราบเรียบออกมา ต้นไม้ดึกดำบรรพ์เบื้องหน้าคือหนึ่งในเจ็ดพฤกษาเจ็ดอารมณ์ - ต้นแห่งความกลัว วันนี้ที่เขามายืนอยู่ที่นี่ไม่ใช่มาชมความสวยงามเขียวขจีของมันแต่อย่างใด ต้นไม้ที่มีเพียงกิ่งก้านสาขาชี้โด่เด่ปราศจากใบ และออกผลเพียงหนึ่งลูกบนปลายยอดเช่นนี้จะมีความสวยงามใดๆ ให้ชื่นชมได้
วันนี้ที่เขามาก็เพื่อที่จะมาพิชิตด่านภาพลวงตาแห่งความกลัวนี้แล้วเด็ดเอาผลที่อยู่บนปลายยอดลงมา หกเดือนที่ผ่านมาเร่งทำการฝึกฝนทั้งวันทั้งคืนผลลัพธ์ของการฝึกฝนที่ได้เป็ที่น่าพอใจ ตอนนี้ระดับพลังปราณรบภายในร่างเลื่อนขึ้นมาถึงระดับขั้นที่สามขอบเขตนักรบแล้ว เมื่อระดับพลังปราณรบสูงขึ้นระดับพลังิญญาก็เลื่อนสูงขึ้นตาม ดังนั้นหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นานหลายวันเขาจึงตัดสินใจมาทดลองทะลวงด่านภาพลวงตาดูอีกสักครั้งเพื่อทดสอบผลลัพธ์ที่ได้จากการฝึกฝนมาตลอดทั้งหกเดือน
สำหรับพฤกษาเจ็ดอารมณ์ทั้งเจ็ดทำไมเขาถึงต้องเลือกต้นแห่งความกลัวก่อน ที่เป็เช่นนี้ก็เพราะเย่ชิงหานรู้นิสัยของตนเองดี เมื่อพิจารณาจากพฤกษาเจ็ดอารมณ์ทั้งหมดที่มีคือ - ความยินดี ความโกรธ ความเสียใจ ความกลัว ความรัก ความเกลียด และความอยาก
นิสัยของตนเองทั้งสองชาติอารมณ์ที่มีผลกระทบต่อจิตใจของตนเองน้อยที่สุดก็คือความกลัว ดังนั้นภาพลวงตาแห่งความกลัวจึงมีผลต่อความรู้สึกของตนเองน้อยที่สุด คนที่เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่งยังต้องกลัวสิ่งใดอีก? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชีวิตชาตินี้ตนเองฆ่าคนมาก็มาก เห็นเื่ต่างๆ มาก็เยอะ จะว่าไปแล้วแทบจะไม่มีอะไรที่ทำให้กลัวได้อีกเลยด้วยซ้ำ
ผ่านการโจมตีจากภาพลวงตาในแต่ละวันมานับไม่ถ้วน บวกกับการสรุปนิสัยโดยรวมทั้งหมดของตนเองออกมา ภายในพฤกษาเจ็ดอารมณ์ทั้งเจ็ดต้น ต้นที่มีผลกระทบต่อจิตใจของตนเองน้อยที่สุดคือ ต้นแห่งความโกรธ ต้นแห่งความกลัว และต้นแห่งความเกลียด ส่วนต้นแห่งความเสียใจ ต้นแห่งความรัก และต้นแห่งความอยากทั้งสามต้นนี้มีผลกระทบต่อจิตใจของตนเองมากที่สุด เนื่องจากว่าด้วยนิสัยที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับเื่ของอารมณ์ความรู้สึก ดังนั้นขอแค่เพียงภาพลวงตาปรากฏสิ่งหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับญาติ คนใกล้ชิด หรือคนรักของเขา เขาก็จะถลำตัวเข้าไปในทันทีและถอนตัวออกมาไม่ได้
ในเมื่อไม่มีความกลัวใดๆ อย่างนั้นก็ลุยเลยดีกว่า เย่ชิงหานยิ้มออกมาสูดลมหายใจลึกเข้าไปหลายครั้งเพื่อทำให้อารมณ์และจิตใจสงบลงอย่างดีที่สุด จากนั้นจึงเริ่มค่อยๆ เดินตรงเข้าไปหาต้นไม้ดึกดำบรรพ์ที่อยู่เบื้องหน้าทันที
ทันทีที่เท้าเหยียบเข้าไปภายในรัศมีทำการของภาพลวงตา ทัศนียภาพรอบด้านเริ่มค่อยๆ เปลี่ยนแปลงขึ้น หมอกสีขาวหนาทึบเริ่มจางหายไป สถานที่แปลกตาแห่งหนึ่งเริ่มปรากฏออกมาให้เห็น แต่เย่ชิงหานไม่ใส่ใจยังคงเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ
แม้จะยังอยู่ห่างจากต้นไม้ดึกดำบรรพ์ราวร้อยเมตร ถ้าหากออกแรงวิ่งตะบึงเพียงชั่วพริบตาก็คงไปถึงได้ แต่แน่นอนว่าไม่กล้าที่จะออกวิ่งอย่างรวดเร็วเช่นนั้นแน่ เพราะยิ่งเข้าไปใกล้ต้นไม้ดึกดำบรรพ์เท่าไรอานุภาพของภาพลวงตาจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น หากวิ่งออกไปแล้วเจอเข้ากับปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดที่แฝงอันรายไว้หากเป็เช่นนั้นเวลาให้คิดหนีก็คงไม่มี
หนึ่งก้าว สองก้าว...ยี่สิบก้าว!
ทัศนียภาพเปลี่ยนแปลงไปหลายต่อหลายครั้ง ท้องฟ้าเบื้องบนเปลี่ยนเป็สีแดงฉาน สองข้างหูได้ยินเสียงร้องเย็นะเืที่แปลกประหลาดดังลอยมาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญที่สุดคือความกลัวที่อยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจกลับเริ่มที่จะได้รับผลกระทบจากพลังลึกลับบางอย่างที่มองไม่เห็นที่อยู่ภายในทัศนียภาพรอบด้าน มันเริ่มลุกลามเกาะกินเข้าไปยังภายในหัวของเขามากขึ้นเรื่อยๆ
ความจริงแล้วภาพลวงตาของดินแดนแห่งภาพลวงตาไม่ได้มีความน่ากลัวเป็พิเศษอะไรเท่าใดนัก ขอแค่เพียงรักษาพื้นฐานจิตใจดั้งเดิมเอาไว้ให้ดีภาพลวงตาอะไรสำหรับเย่ชิงหานแล้วล้วนไร้สาระ เพียงแต่พลังลึกลับบางอย่างที่อยู่ภายในดินแดนแห่งภาพลวงตาเ่าั้ต่างหากที่ส่งผลต่อความกลัวที่อยู่ภายในจิตใจส่วนลึกของเย่ชิงหาน ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไรความกลัวเ่าั้ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มกดทับสติสัมปชัญญะดั้งเดิมของเขาพร้อมกับความขี้ขลาดตาขาวที่กำลังเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ ทีละน้อย
“เหอะๆ ทำบรรยากาศน่าขนลุกขนพอง ทำเสียงดนตรีประกอบฉากให้วังเวงน่ากลัว แค่นี้ก็คิดอยากที่จะขู่ข้านายน้อยคนนี้ให้กลัวรึ?” เย่ชิงหานยิ้มราบเรียบออกมาอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นหลับตาใช้พลังปราณรบปิดกั้นประสาทรับเสียงรับรสแล้วออกเดินตรงไปราวกับหุ่นยนต์ไร้ความรู้สึกอย่างไรอย่างนั้น
แผนนี้ได้ผลเป็อย่างดี มองไม่เห็น ไม่ได้ยิน ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับจิตใจก็ลดน้อยลงไปมาก เพียงแต่เมื่อเขาเดินไปได้อีกสิบกว่าเมตรแผนนี้ก็เริ่มไร้ผลขึ้นมา
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ต้นไม้ดึกดำบรรพ์มากเท่าไรอานุภาพของภาพลวงตายิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้ภาพลวงตาไม่ได้อาศัยประสาทัั การมองเห็น และการได้ยินของเย่ชิงหานแล้ว แต่มันกลับปรากฏเป็ภาพเหตุการณ์ขึ้นในหัวสมองของเขาโดยตรงทันที
ขอเพียงสมองของเขายังทำงานอยู่ภาพลวงตาก็จะปรากฏขึ้นเรื่อยๆ หากเขาหยุดคิดหยุดการทำงานของสมองร่างกายของเขาก็จะต้องหยุดขยับเขยื้อนลงด้วย
ท้องฟ้าสีเืเบื้องบนยิ่งนานยิ่งอึมครึม เย่ชิงหานรู้สึกได้ว่าตนเองเดินมาถึงเนินเขาสุสานแห่งหนึ่ง กลางอากาศ้าเหนือสุสานปรากฏลูกไฟดวงิญญาสีขาวลอยล่องอยู่ทั่วทุกที่ ลมที่พัดมาจากทั้งสี่ทิศมีเสียงที่ฟังแล้วชวนให้ขนลุกลอยปะปนมาด้วย ฟังดูราวกับเสียงร้องไห้โหยหวนของเหล่าภูตผีดวงิญญาเร่ร่อน ราวกับเสียงร้องของดวงิญญาที่โกรธแค้น และราวกับเสียงร้องของมารร้ายที่ทนทุกข์ทรมานอยู่ในขุมนรกอเวจี...
สิ่งเหล่านี้สำหรับเย่ชิงหานแล้วถือว่าเป็การแสดงหลอกเด็กเล็กๆ น้อยๆ หนังผีชาติที่แล้วก็ดูมาไม่น้อย ชาตินี้ฆ่าคน ฆ่ามารอสูร ฆ่าปีศาจ และคนเถื่อนมาก็มาก แน่นอนว่าภาพลวงตาเหล่านี้ไม่สามารถทำให้เขาเกิดความกลัวขึ้นมาได้แม้แต่น้อย
เพียงแต่...ตอนนี้เวลานี้ภายใต้ภาพลวงตาเหล่านี้ความกล้าของเขากลับหดหายไปอย่างมากมายหลายเท่าตัวโดยอัตโนมัติ เปรียบเทียบได้กับผู้ใหญ่ที่ดูหนังผีไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด แต่ถ้าเป็เด็กน้อยที่ดูหนังผีตอนกลางคืนอาจจะทำให้นอนไม่หลับตลอดทั้งคืน
เหตุผลเดียวกัน ตอนนี้ความกลัวที่อยู่ภายในจิตใจของเย่ชิงหานได้รับอิทธิพลจากพลังลึกลับทำให้ความขี้ขลาดตาขาวเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อความขี้ขลาดตาขาวเริ่มมีมากขึ้นความคิดที่จะถดถอยหนีไปให้เร็วไปให้ไกลจากที่แห่งนี้ก็เริ่มเกิดขึ้นมาภายในจิตใจ...
“ไม่! ถอยไม่ได้! ทั้งหมดนี้เป็แค่เพียงภาพลวงตา ตายก็ตายมาแล้วครั้งหนึ่งยังจะกลัวอะไรกับเื่เพียงเท่านี้? ถ้าจะตายจริงๆ ก็ให้มันตายดูอีกสักครั้งจะเป็ไรไป?”
ในหัวของเย่ชิงหานพลันเกิดความคิดต่อต้านอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา ความคิดที่เกิดขึ้นมานี้ทำการกดทับความกลัวที่ลอยเต็มอยู่ภายในหัวลงอย่างรวดเร็วจนทำให้หัวสมองของเขาปลอดโปร่งขึ้นมาเป็อย่างมาก แม้แต่ความกล้าที่หลงเหลืออยู่ไม่มากก็เพิ่มกลับคืนมาหลายเท่าตัว อาศัยความคิดที่เกิดขึ้นมานี้เขาเริ่มวิ่งออกไปและภายในหัวไม่คิดอะไรทั้งนั้น ทำเพียงแค่วิ่งไปอย่างเดียวโดยไม่มองอะไรอื่นอีกนอกจากผลไม้สีแดงเข้มที่กำลังเปล่งประกายแสงสีแดงอยู่บนปลายยอดไม้ของต้นไม้ดึกดำบรรพ์ที่อยู่้าเนินสุสานใหญ่เบื้องหน้า...
เพียงแต่ขณะที่วิ่งอยู่นั้นจังหวะก้าวขาของเขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาขัดขวางเอาไว้ มองไปยังเบื้องหน้าเห็นกรงเล็บกระดูกขาวโพลนมากมายโผล่ออกมาจากพื้นดิน ไม่ใช่เพียงแค่มองเห็นเท่านั้นแต่ยังรู้สึกได้ถึงแรงฉุดดึงของกรงเล็บกระดูกขาวที่เกิดขึ้นต่อขาและกางเกงของเขา
ความรู้สึกนี้แปลกมหัศจรรย์เป็อย่างมาก สติสัมปชัญญะส่วนที่ปลอดโปร่งอยู่รู้ว่าทั้งหมดนี้เป็แค่เพียงภาพลวงตา ร่างกายของตนเองไม่ได้ถูกของสิ่งใดฉุดดึงไว้อย่างแน่นอน แต่ภาพลวงตาแห่งความกลัวนี้กลับสามารถทำให้ภายในหัวสมองของเขาเกิดความรู้สึกว่าถูกฉุดดึงไว้ จนทำให้รู้สึกว่าแม้กระทั่งระดับความเร็วที่กำลังวิ่งอยู่ก็ลดลงตามไปด้วย
‘ไม่ใช่ความจริง ทุกๆ อย่างล้วนไม่ใช่ความจริง!’ เย่ชิงหานพร่ำบอกตนเองขึ้นภายในหัวว่าทั้งหมดไม่ใช่ความจริง เป็ไปไม่ได้ที่ร่างกายของตนเองจะถูกฉุดดึงเอาไว้ แต่การเคลื่อนไหวของตนเองก็ยังคงได้รับผลกระทบอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และเริ่มที่จะเชื่องช้าลงทุกที
‘ไปต่ออีกไม่ได้แล้ว ถ้าหากยังฝืนเดินหน้าต่อไปอีกจะไม่สามารถเดินออกไปจากูเากระดูกขาวแห่งนี้ได้อีกเลย!’
มองดูกรงเล็บกระดูกขาวเบื้องหน้าที่ยิ่งนานยิ่งโผล่ขึ้นมามากมายขึ้นทุกที มากมายจนมองไม่เห็นขอบเขตสิ้นสุดและพวกมันกำลังไต่มาตามพื้นมุ่งมาทางเขา ภายในหัวของเย่ชิงหานพลันปรากฏความคิดนี้ขึ้นมาและเริ่มแผ่ขยายครอบงำความคิดอื่นๆ ที่อยู่ภายในหัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกอยากที่จะถอยหลังกลับของเขาในตอนนี้รุนแรงเป็อย่างมาก รุนแรงถึงขนาดว่าเกือบจะสะกดระงับเอาไว้ไม่อยู่แล้วเริ่มทำการหมุนตัววิ่งกลับออกไปโดยทันที...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้