เฉินเจวี๋ยไม่ได้พาฉินซีไปพบผู้รับผิดชอบโดยตรง หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ เขาก็จัดการงานของตัวเองที่ห้อง และไม่ได้บอกให้ฉินซีออกไป ฉินซีนั่งอยู่บนโซฟาอย่างเบื่อหน่าย เขารู้สึกว่าใต้ก้นของเขาเริ่มจะร้อนระอุ บรรยากาศเงียบสงบแผ่กำจายไปทั่วห้อง เมื่อฉินซีนั่งว่างๆ เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเล่นเวยป๋อ เนื่องจากเขาเองก็ไม่สามารถไปเร่งเร้าถามเฉินเจวี๋ยว่าจะไปตอนไหนได้
ฉินซีเล่น Plants VS Zombie สักพัก สุดท้ายก็ถูกพวกซอมบี้รุมจนตาย เล่น Tample Run อีกสักพัก วิ่งไปได้ไม่ถึงพันเมตรก็ตกเหวเสียแล้ว เล่นเกมออนไลน์ในโทรศัพท์มือถือเพียงครู่เดียวก็ถูกผู้เล่นอื่นถามว่า “นายเป็เด็กประถมหรือเปล่า!” ฉินซีรู้สึกน้อยใจ แต่ก็ทำได้เพียงปิดเกมทิ้งไป แล้วเปลี่ยนไปหาคลิปดูเล่นไปเรื่อยเปื่อย แต่ว่าการที่ตัวเองเป็นักแสดง เวลาดูละครก็มักจะชอบวิจารณ์ถึงจุดเด่นและจุดด้อยจากการแสดงของคนอื่น หรือยกข้อดีข้อด้อยของแต่ละฉากอย่างไม่รู้ตัว และนั่นก็ส่งผลกระทบต่ออรรถรสในการดูหนังของเขาอีก ดังนั้นฉินซีจึงทำได้เพียงล้มเลิกไป ทำอะไรดีนะเรา?
ฉินซีนอนเลื้อยอยู่บนโซฟา นิ้วกดเข้าไปในเวยป๋ออย่างไม่ทันรู้ตัว… เฮ้อ อย่างน้อยการเลื่อนดูเวยป๋อไปเรื่อยๆ ก็ไม่ได้จำเป็ต้องใช้เทคนิคความสามารถอะไร
ฉินซีเลื่อนเปิดข่าวล่าสุดของตัวเองขึ้นมา แต่เพราะถูกเฉินเจวี๋ย ‘ปล่อยปละละเลย’ เขาจึงไม่ชอบใจนัก แม้ตอนนี้จะเห็นข่าวดีที่น่าดีใจ เขาก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น
“เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ” จู่ๆ เฉินเจวี๋ยก็ส่งถุงกระดาษใบเล็กมาตรงหน้าเขา ฉินซีเงยหน้าขึ้นไปรับถุงกระดาษมาอย่างมีมารยาท จากนั้นเขาก็พบว่าเฉินเจวี๋ยจัดการงานเสร็จแล้ว ไม่รู้ว่ามายืนจ้องอยู่ข้างๆ ั้แ่เมื่อไร ต่อให้หน้าของฉินซีจะหนาแค่ไหน แต่ตอนนี้เขาก็อดรู้สึกอายขึ้นมาไม่ได้อยู่ดี
เฉินเจวี๋ยเดินออกไปนอกประตูแล้ว ฉินซีจึงรีบเดินตามไป ในระหว่างนั้นก็เปิดถุงกระดาษดูด้านใน ที่แท้ด้านในก็บรรจุเค้กทุเรียนที่ถูกห่อไว้เป็อย่างดีหนึ่งกล่องกับน้ำส้มอีกกระป๋องไว้ เฉินเจวี๋ยใส่ใจขนาดนี้เลยเหรอ? ในสมองของฉินซีตื่นตะลึง ยิ่งคิดก็ยิ่งอลเวง ได้รับความรักใคร่เอ็นดูขนาดนี้ สำหรับเขามันมากไปแล้วจริงๆ!
บอดี้การ์ดคนนั้นยังคงเป็คนขับรถให้เช่นเดิม เฉินเจวี๋ยกับฉินซีนั่งอยู่ด้วยกันด้านหลัง
ตอนอยู่บนรถฉินซีรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา จึงนำเค้กทุเรียนออกมาทานเข้าไปกว่าครึ่ง เฉินเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่น เพราะไม่ค่อยชอบกลิ่นนี้เท่าไร แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ฉินซีคิดไม่ถึงว่าความอดทนของเขาจะมากขนาดนี้ ดังนั้นเพื่อที่จะ ‘ปลอบประโลม’ คุณเฉินที่ถูกกลิ่นทุเรียนทำร้าย ฉินซีจึงยอมยกน้ำส้มกระป๋องนั้นให้เขา เฉินเจวี๋ยดื่มลงไปเพียง 2-3 อึก แล้วถือมันเอาไว้ในมือโดยไม่ได้ยกขึ้นดื่มอีก เพราะฉินซีทานเค้กทุเรียนเข้าไปเยอะ ลำคอของเขาจึงแห้งผาก เขากลืนน้ำลายลงไปพร้อมจ้องน้ำส้มในมือของเฉินเจวี๋ยด้วยความเสียดาย ทำไมเขาถึงยกน้ำให้คนอื่นไปได้นะ?!
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็มาถึงนอกร้านอาหารจีนแห่งหนึ่ง
ฉินซีกระหายน้ำเป็อย่างมาก จึงเดินตามอยู่ด้านหลังเฉินเจวี๋ยอย่างไม่ค่อยมีสตินัก พนักงานจำนวนหนึ่งนำพวกเขาเข้าไปยังห้องส่วนตัว ภายในห้องส่วนตัวนั้นมีคนอยู่ไม่น้อยทั้งชายหญิง พวกเขาไม่เหมือนกับคนของบริษัทเทียนหม่าหยูเล่อ แม้จะมากันก่อนแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ภายในห้องส่วนตัวเต็มไปด้วยกลิ่นบุหรี่ โดยเฉพาะหลังจากที่เฉินเจวี๋ยมาถึง พวกเขาก็ค่อยๆ พากันลุกยืนขึ้นอย่างสงบเสงี่ยม แล้วเอ่ยทักทายเฉินเจวี๋ยไปตามลำดับ ภาพแบบนี้ทำให้ฉินซีที่มองอยู่ก็ใขึ้นมา จากนั้นเขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจ คนอย่างเฉินเจวี๋ยเป็พวกคนที่มีความสามารถในการควบคุมจัดการคนจริงๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเมื่อชาติก่อนเขาถึงสุดยอดขนาดนั้น!
“คุณคนนี้คือ… เสี่ยวฉินเหรอครับ?” ชายวัยกลางคนที่เป็ผู้นำส่งรอยยิ้มบางๆ ให้ฉินซี จากนั้นก็ยื่นมือมาจับมือด้วย
ฉินซีเองก็เผยรอยยิ้มออกมาโดยไม่ได้ประจบประแจง และไม่ได้ไร้ความมั่นใจ “สวัสดีครับ นี่ผมควรเรียกคุณว่าอย่างไรดี?”
แม้ว่าคนที่ฉินซีถามจะเป็ฝ่ายตรงข้าม แต่คนที่ตอบกลับกลับเป็เฉินเจวี๋ย “เรียกเขาว่าเหล่าหลินเถอะ”
เมื่ออีกฝ่ายได้ยินเฉินเจวี๋ยเป็ฝ่ายออกตัวแนะนำแก่ฉินซี สายตาที่ใช้มองไปยังฉินซีก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ในใจของเขาคิดทบทวนเกี่ยวกับสถานะของพี่ชายตัวน้อยที่ถูกเฉินเจวี๋ยแนะนำด้วยตัวเองคนนี้
ในตอนนี้ฉินซีรู้สึกอายขึ้นมาเล็กน้อย เขาจึงรู้สึกว่าลำคอของตัวเองยิ่งแห้งผากมากกว่าเดิม เฉินเจวี๋ยสามารถเรียกอีกฝ่ายว่าเหล่าหลินได้ แต่เขาที่เป็คนหน้าใหม่ของวงการบันเทิงจะไปเรียกอีกฝ่ายว่าเหล่าหลินจริงๆ ได้อย่างไร? นั่นไม่ใช่ว่าดูจองหองเกินไปเหรอ? ฉินซีไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนถามอีกฝ่ายขึ้นอย่างนอบน้อม “เรียกว่าอาจารย์หลินได้ไหมครับ?” อย่างไรในวงการบันเทิง ใครๆ ก็สามารถเป็อาจารย์ได้ทั้งนั้น และการเรียกแบบนี้ก็ยังแสดงถึงความเคารพแก่อีกฝ่ายได้ด้วย
อีกฝ่ายเผยรอยยิ้มชอบใจ เขาพอใจการให้ความเคารพแบบนี้ของฉินซีมาก “เฮ้อ อายุยังน้อย เรียกฉันว่าเหล่าหลินคงไม่ค่อยเหมาะ แต่เรียกว่าอาจารย์หลินก็ไม่คุ้นเคยกันเท่าไร เอาแบบนี้ก็แล้วกัน เรียกฉันว่าพี่หลินนะ ฉันน่ะ เป็ผู้ควบคุมการผลิตของละครเื่นี้ ถ้าเสี่ยวฉินเข้าไปในกองถ่ายแล้ว หลังจากนี้พวกเราก็ต้องร่วมงานกันอีกมากเลยแหละ!”
ในใจของฉินซีสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย เขานึกถึงตัวตนของอีกฝ่ายขึ้นมาได้แล้ว คนคนนี้ชื่อว่าหลินซง เป็ผู้ควบคุมการผลิตในวงการ บางครั้งก็ทำบทละคร หรือเป็ผู้ช่วยผู้กำกับ เริ่มสร้างตัวจากฮ่องกง หลังจากนั้นก็ถูกพาตัวมายังบริษัทใหญ่ภายในแผ่นดินใหญ่ คนคนนี้ทำอะไรก็ล้วนละเอียดอ่อน ไม่ว่าจะด้านใดก็มีความสามารถ หลังจากที่เขาตั้งตัวสูงขึ้นได้เรื่อยๆ ก็ยกเลิกสัญญากับบริษัท และอาศัยชื่อเสียงผู้ดูแลการผลิตมือทองไปเป็ผู้ตรวจสอบการผลิตในขั้นตอนสุดท้ายของกองถ่าย เขาไม่ได้มีอะไรอย่างอื่นอีก แต่เื่การรู้จักกับผู้คนเป็วงกว้างนั้น แม้แต่ผู้จัดการหลายๆ คนก็ยังเทียบไม่ได้ แต่การที่คนอย่างหลินซงอยู่ในวงการบันเทิงมาได้นานขนาดนี้ วิธีการของเขาก็เกรงว่าคงไม่ได้สะอาดนัก ดังนั้นสามารถพูดได้ว่าเขาเพียงไม่เคยฆ่าคนหรือวางเพลิงมาก่อนเท่านั้นเอง
ฉินซีไตร่ตรองสักพัก ก่อนจะตัดสินใจเคารพผู้ควบคุมการผลิตคนนี้ให้มาก แต่ก็ไม่ใกล้ชิดจนเกินไป
หลังจากนั้น หลินซงก็เป็ฝ่ายแนะนำผู้กำกับของกองถ่าย เฝิงผิงเฉิงที่มีชื่อเสียงจากการถ่ายละครแนวแฟนตาซี รวมทั้งผู้ช่วยผู้กำกับที่มีชื่อเสียงจากละครแนวประวัติศาสตร์ กงเซ่า และผู้เขียนบทละครหลักหลิ่วเชิง… ฉินซีค่อยๆ ทำความรู้จักไปทีละคน ในใจของเขาอดประหลาดใจ ด้วยคิดไม่ถึงว่าการกระทำของเฉินเจวี๋ยจะว่องไวขนาดนี้ คนในกองถ่ายมีพร้อมเกือบทั้งหมด ขาดเพียงทีมงานเื้ัและนักแสดงอีกไม่กี่คนก็เริ่มการถ่ายทำได้แล้ว!
หลังจากทำความรู้จักกันไปแล้ว ทุกคนก็นั่งประจำที่ เฉินเจวี๋ยนั่งอยู่หัวโต๊ะ และฉินซีก็นั่งลงข้างๆ เมื่อดูจากอิทธิพลอำนาจของเขา
พนักงานค่อยๆ นำอาหารเข้ามาเสิร์ฟ บนโต๊ะมีเพียงหลินซงที่กล้าออกปากคุยกับเฉินเจวี๋ย คนอื่นต่างก็รู้สึกยำเกรงเขา ดังนั้นพวกเขาจึงหันมาคุยกับฉินซีแทน
เฉินเจวี๋ยรู้ดีว่าหลินซงเป็คนอย่างไร เขาค่อนข้างมีความสามารถ ทว่านิสัยการกระทำก็คือคนทั่วไป เฉินเจวี๋ยไม่จำเป็ต้องสนใจอะไรเขา ถ้าไม่ใช่เพราะละครในมือของอีกฝ่ายบังเอิญมีราคา เฉินเจวี๋ยคงไม่มีทางร่วมงานด้วย เฉินเจวี๋ยไม่ได้สนใจจะพูดคุยกับหลินซงนัก แต่ก็ไม่ได้แสดงความเกลียดความชอบของตัวเองออกมาตรงๆ เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปยังตัวฉินซีอย่างแเี “คุณว่าเขาเป็ยังไงบ้าง?” เฉินเจวี๋ยยกแก้วชาขึ้นจิบ
ที่นี่ไม่มีใครกล้าบอกให้เฉินเจวี๋ยดื่มสุรา
หลินซงหัวเราะร่า “คนที่คุณเฉินแนะนำ มาย่อมต้องมีความสามารถอยู่แล้วล่ะครับ!” หลินซงยกยอฉินซีอย่างแเี
เฉินเจวี๋ยไม่ได้หวั่นไหวแต่อย่างใด “หลิ่วเชิงนำบทมาแล้วหรือยัง? เอามาให้ฉินซีดูหน่อยได้ไหม?”
หลิ่วเชิงเป็ผู้ชายวัยรุ่น หน้าตาดูปกติทั่วไป เมื่อชาติก่อน ฉินซีก็ไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน เมื่อหลิ่วเชิงได้ยินเฉินเจวี๋ยพูดถึงตัวเอง เขาก็รีบนำบทส่งให้เฉินเจวี๋ยโดยไม่พูดอะไร เฉินเจวี๋ยรับมาก่อนจะส่งต่อให้ฉินซี “ทานข้าวไปพร้อมกับค่อยๆ อ่านบทไปพลางๆ ถ้ามีอะไร้าพูดคุยก็คุยกันบนโต๊ะอาหารนี่เลย” ท่าทางของเฉินเจวี๋ยชัดเจนมาก เขา้าจะสื่อว่า ทางที่ดีการทานอาหารมื้อนี้จะต้องจัดการกำหนดตัวละครของฉินซีให้เรียบร้อย
หลินซงเข้าใจขึ้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาล้วนเป็ประกาย และตัดสินใจเงียบๆ แล้วว่าต้องไปพูดโน้มน้าวผู้กำกับ เมื่อถึงตอนนั้นก็แค่นำบทดีๆ ให้ฉินซีไปก็พอ แม้ทักษะการแสดงจะไม่ดีก็ไม่เป็ไร อย่างไรก็ต้องมอบน้ำใจนี้แก่เฉินเจวี๋ย แค่ตัวละครเล็กๆ หากเทียบกับเฉินเจวี๋ยแล้ว ก็ไม่ได้มีอะไรน่าเปรียบเทียบเลย!
เมื่อฉินซีรับบทมา เขาก็เข้าสู่สถานะนักแสดงคนหนึ่งทันที เขาตั้งใจอ่านบทในมือ และไม่ได้ไปใส่ใจคิดให้ละเอียดว่า คำพูดเมื่อสักครู่ของเฉินเจวี๋ยได้กำหนดว่าเขาจะต้องได้แสดงในเื่ตำนานยุคฉินไปแล้ว
เมื่อฉินซีอ่านบท เขาก็ลืมเื่ทานอาหารไป
กงเซ่ารู้สึกไม่ชอบใจคนอย่างฉินซีอยู่เล็กน้อย แต่เขาอยู่ในวงการบันเทิง แม้จะเป็ผู้กำกับที่มีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่อาจหักหน้าเฉินเจวี๋ยได้ กงเซ่าจึงเปิดปากพูดราวกับแนะนำด้วยความใส่ใจ “พออ่านบทแล้วเสี่ยวฉินก็ตั้งใจมากเลยนะ แม้แต่ข้าวก็ไม่แตะเลย...” ความจริงเขาตั้งใจจะเย้ยหยันท่าทางของฉินที ไม่ใช่แค่พวกเด็กเส้นหรอกเหรอ จะมาทำท่าทางตั้งใจขยันขันแข็งไปทำไม?
สายตาเ็าของเฉินเจวี๋ยกวาดมองตัวเขา กงเซ่ารู้สึกผิดขึ้นมาในใจ เขาจึงต้องหดตัวกลับอย่างไม่ทันรู้สึกตัว
“พวกคุณไม่ต้องไปยุ่งกับเขา” เฉินเจวี๋ยเองก็ไม่รู้ว่าความ้าปกป้องในใจของตัวเองเพิ่มขึ้นมาจากไหน เขาไม่ได้ใส่ใจคิดให้ละเอียด เพียงทำไปตามที่ใจสั่งมาเท่านั้น เขาตักซุปลงในถ้วยของฉินซี และนำไปวางข้างมืออีกฝ่าย “ตอนอยู่บนรถไม่ใช่หิวน้ำมากหรือไง? ดื่มน้ำซุปเข้าไปสักหน่อยแล้วค่อยอ่านก็ยังไม่สาย”
เมื่อคนอื่นเห็นว่าท่าทีที่เฉินเจวี๋ยมีต่อฉินซีค่อนข้างเป็กันเองก็เริ่มไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ของพวกเขา และทำได้เพียงหัวเราะคล้อยตามไป “ฮ่าๆ เสี่ยวฉินเป็แบบนี้ก็ถือเป็เื่ดีอยู่แล้วครับ ค่อยๆ อ่านไป ค่อยๆ อ่านไป...”
หลังจากนั้นพวกเขาก็เห็นท่าทางที่ทำให้พวกผู้คนเกิดความคิดแปลกๆ ขึ้นมา เช่นการที่เฉินเจวี๋ยตักอาหารไปให้ฉินซี...
หยาดเหงื่อไหลรินจากหลังลำคอของกงเซ่า เขามักจะรู้สึกว่าเมื่อสักครู่เฉินเจวี๋ยเตือนบางอย่างกับเขา มือที่ถือตะเกียบจึงเริ่มจะไม่มั่นคงขึ้นมา
ฉินซีไม่ได้รู้ถึงความคิดวุ่นวายต่างๆ นานา ของพวกคนบนโต๊ะเลยแม้แต่น้อย เมื่อเขาอ่านรายละเอียดตัวละคร และฉากแรกๆ ของเื่คร่าวๆ เสร็จแล้ว ก็วางบทลง เมื่อหันหน้าไปก็พบว่าข้างมือของตัวเองมีซุปเห็ดหูหนูขาวถูกวางอยู่ ตอนนี้มันถูกวางทิ้งไว้จนเริ่มเย็นลงบ้าง เมื่อดื่มลงไปก็กำลังพอดี ลูกกระเดือกของฉินซีขยับเคลื่อนไหว เขายกซุปขึ้นดื่มจนหมด แต่ท่าทางของเขาไม่ดูมูมมาม ทำให้ไม่ได้ดูเสียมารยาท เฉินเจวี๋ยคอยมองดูฉินซีอยู่ตลอด เมื่อเห็นฉินซีเงยหน้าขึ้นดื่มน้ำซุปและลูกกระเดือกขยับเคลื่อนตัวขึ้นลง เฉินเจวี๋ยก็ต้องหันหน้าไปอีกทางอย่างไม่ทันรู้สึกตัว ฝ่ามือของเขาพลันเย็นเฉียบ ในตอนนั้นเขาเพิ่งคิดขึ้นได้ว่าในมือของตนยังคงถือน้ำส้มที่ฉินซีให้มาอยู่
ตอนนี้เฉินเจวี๋ยไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกอย่างไร เขาไม่สามารถทิ้งมันลงไปบนพื้นได้และยิ่งไม่อาจวางมันลงบนโต๊ะได้แน่ๆ ดังนั้นเฉินเจวี๋ยจึงถือมันไว้ในมืออย่างนั้น
“ผมชอบตัวละครจางเหลียงในเื่ตำนานยุคฉินมากเลยครับ ไม่รู้ว่าตัวละครนี้ถูกกำหนดนักแสดงไปแล้วหรือยัง?” เมื่อฉินซีขจัดความกระหายไปแล้ว น้ำเสียงของเขาจึงยิ่งน่าฟังขึ้นอีก
กงเซ่าเป็คนที่มีนิสัยค่อนข้างตรงไปตรงมา เขาจึงหลุดปากพูดขึ้น “พวกเราเชิญนักแสดงไปเรียบร้อยแล้ว!”
หลินซงลอบถลึงตาใส่เขาเล็กน้อย
ฉินซีผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ชอบไปแย่งบทใคร นั่นเป็การสร้างความเกลียดชังในรูปแบบหนึ่ง!
“ถ้าแบบนั้น… ผมรับบทเป็อิ๋งเจิ้งก็แล้วกันครับ” ดูไปดูมา ตัวละครที่เขาชอบก็มีอยู่เพียงไม่กี่ตัว ฉินซีจึงเลือกตัวละครนี้ขึ้นมาด้วยความลังเล สำหรับเขาแล้ว บางทีอาจจะมีความท้าทายมากเสียหน่อย แต่มันก็เป็โอกาสดีในการพัฒนาทักษะการแสดงของเขา! เขาคงไม่สามารถอาศัยทักษะเก่าที่ดีกว่านักแสดงพวกระดับสองระดับสามจากชาติที่แล้วไปตลอดได้
ฉินซีไม่รู้เลยว่าหลังจากกงเซ่าได้ยินแบบนี้ ความดูถูกในใจก็ยิ่งเพิ่มพูน ที่แท้พวกเด็กเส้นชอบบทบาทไหนก็คิดว่าตัวเองสามารถแสดงได้ทั้งนั้น! ไม่รู้จักสำเหนียกตนเลยว่าตัวเองเป็เพียงพวกมือใหม่ที่ไม่มีใครเคยได้ยินแม้แต่ชื่อ ทั้งยังไม่รู้ถึงความเหมาะสมในบทบาทของตนอีก?! ในใจของกงเซ่าเกิดความไม่พอใจขึ้น เขารู้สึกว่าละครดีๆ แบบนี้คงจะพังครืนลงตรงนี้แล้ว
แต่ผู้กำกับอย่างเฝิงผิงเฉิงกลับไม่ได้ใส่ใจนัก เขาสนใจเพียงเงินลงทุนนั้นว่าจะมากเท่าไร และละครเื่นี้จะถ่ายออกมาได้ดูยิ่งใหญ่หรือไม่เท่านั้น!
“ให้ผมลองแสดงให้ดูสักซีนไหมครับ?” ฉินซีไม่รู้ความในใจของคนเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงออกปากถามขึ้น
หลินซงถึงกับตกตะลึงไป ด้วยคิดไม่ถึงว่าฉินซีจะเป็ฝ่ายเอ่ยปากขอลองแสดงเอง เขาหันหน้าไปมองเฉินเจวี๋ย เมื่อเห็นว่าเฉินเจวี๋ยไม่ได้โต้แย้งอะไร เขาก็คิดว่าฉินซีอาจจะมีความคิดแบบเด็กๆ ที่อยากจะอวด ‘ทักษะการแสดง’ ของตัวเองออกมาสักหน่อย หลินซงเผยรอยยิ้มอ่อนโยนพร้อมกับชี้ไปยังที่ว่างข้างๆ ห้องส่วนตัวนี้มีพื้นที่กว้างมากพอ
“ถ้าอย่างนั้นเสี่ยวฉินก็มาแสดงตรงนี้จะได้ไหม?”
ฉินซีลุกขึ้นเดินเข้าไป “ได้ครับ”
กงเซ่าแสยะยิ้มขึ้นในใจ นี่ไม่ใช่รนหาความอับอายให้ตัวเองหรอกเหรอ?