เมิ่งไหวจิ่นทำให้นายท่านห้าเฉิงโกรธในที่สุด
ตระกูลเฉิงให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่เมิ่งไหวจิ่นในการเล่าเรียน นายท่านห้ายังคิดที่จะแต่งบุตรสาวให้แก่เขา ผลลัพธ์น่ะหรือ เมิ่งไหวจิ่นวิ่งไปร่วมมือกับคนของจวนเยี่ยอ๋อง… ตระกูลเฉิงคือขุนนางบุ๋น เยี่ยอ๋องคือท่านอ๋องที่ใช้กองทัพพิทักษ์ชายแดน เดิมทั้งสองฝั่งไม่ควรข้องเกี่ยวต่อกัน!
ขุนนางบุ๋นและแม่ทัพบู๊มักจะขัดแย้งกันในท้องพระโรง โอรส์ปากก็ตรัสว่าประสงค์ให้บุ๋นและบู๊ปรองดองกัน แต่หากขุนนางและแม่ทัพกลมเกลียวดั่งคนบ้านเดียวกันแล้ว ก็คงเปลี่ยนเป็โอรส์ที่ข่มตานอนไม่หลับแทน
เยี่ยอ๋องเองก็หาใช่แม่ทัพธรรมดา
นายท่านห้าแค้นที่มิอาจจับเมิ่งไหวจิ่นมาต่อยตีสักหมัดเพื่อเรียกสติสักหน่อย
ตามความสามารถด้านการเล่าเรียนของเมิ่งไหวจิ่นแล้ว ในการสอบระดับราชสำนักปีหน้าย่อมผ่านเป็บัณฑิตจิ้นซื่อ หลังจากได้เป็จิ้นซื่อผู้โดดเด่น[1]แล้วก็จะเลือกไปอยู่สำนักฮั่นหลิน[2] อดทนเก็บประสบการณ์ที่สำนักฮั่นหลินสองปีก็ค่อยเข้าไปรับตำแหน่งในหกกรม[3] หนทางการเลื่อนขั้นที่เหล่าบัณฑิตวาดหวังไว้แม้แต่ในฝัน เมิ่งไหวจิ่นสามารถเอามาไว้ในกำมืออย่างง่ายดาย!
เมิ่งไหวจิ่นไม่เลือกเส้นทางอนาคตที่สว่างไสว กลับไปอยู่ติดกับจวนเยี่ยอ๋อง ้าเลือกเดินทางที่ยากลำบากสินะ
นายท่านห้าเฉิงเวียนศีรษะ เมิ่งไหวจิ่นกลับไม่อยู่ตรงหน้า จึงได้แต่เพียงด่าว่าเฉิงชิงอย่างรุนแรง
เฉิงชิงเป็ผู้ที่มีใบหน้าหนาเป็ที่สุด ทำตัวเป็เด็กดีหยุดฟังคำสั่งสอน ไม่ว่านายท่านห้าจะกล่าวอะไรก็ล้วนผ่านหูไปไม่เอามาใส่ใจ นายท่านห้ากดดันนาง เฉิงชิงยังถามกลับ
“ท่านไม่้าให้ข้าไปเกี่ยวพันกับคนของจวนอ๋อง แต่ก็เป็ข้อเท็จจริงที่ว่าคดีของบิดาข้าเกี่ยวพันไปถึงเยี่ยอ๋อง โอรส์ไม่้าสืบ ท่านปู่หกจะกล่าวในท้องพระโรงได้อย่างไร สถานการณ์ที่ถึงทางตัน มีเพียงทางเยี่ยอ๋องเท่านั้นจึงจะสามารถสะสางได้ แม้ว่าจะเป็การขอหนังจากเสือข้าก็ยอม!”
นายท่านห้าไร้คำจะกล่าว
เฉิงชิงกล่าวถึงจุดสำคัญที่สุดออกมา แน่นอนว่าเกี่ยวพันถึงเยี่ยอ๋อง
คดีนี้ปิดบังคลื่นน้ำที่ก่อตัวอย่างรุนแรง ขุนนางใหญ่ในราชสำนักล้วนไม่ยินยอมที่จะแตะต้อง ไม่ว่าผลการตรวจสอบสุดท้ายจะออกมาเป็เช่นไร จุดจบก็ล้วนล่วงเกินโอรส์และเยี่ยอ๋องทั้งสิ้น
นายท่านห้าเฉิงปิดตาใช้ความคิดในชั่วขณะหนึ่ง แล้วโบกมือไปทางเฉิงชิง
“เ้าไปเถิด คืนนี้ถือว่าข้าไม่เคยเอ่ยถามเ้า เป็เพราะตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋มีกำลังไม่เพียงพอ ไม่โทษเ้าที่ฝากความหวังไว้กับผู้อื่น เฉิงชิง เมื่อเ้าเอ่ยเรียกข้าว่าท่านปู่ข้าก็มีหน้าที่ดูแลเ้า แต่ข้าก็เป็ผู้นำตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋ด้วย ข้าต้องรับผิดชอบตระกูลเฉิง เ้า… ดูแลตัวเองให้ดีๆ เถิด!”
เฉิงชิงประสานมือคารวะ
“ข้าย่อมจะดูแลตัวเองให้ดี บุญคุณของท่านปู่ ข้าจดจำไว้ในใจแล้วขอรับ”
ทั้งสองคนบรรลุความคิดเห็นเดียวกัน นายท่านห้าเฉิงจะไม่ถามเื่นางและจวนเยี่ยอ๋องอีกต่อไปแล้ว ตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋จะทำเป็ไม่รู้ไม่เห็น หากเกิดเื่วุ่นวายขึ้นมาก็มีเฉิงชิงแบกรับเพียงผู้เดียว นายท่านห้าเฉิงมักมีวิธีการทำให้ตระกูลเฉิงรอดพ้นมลทิน—— ถึงอย่างไรเฉิงจือหย่วนก็แยกบ้านไปแล้ว ในกรณีเลวร้ายที่สุดก็ให้ครอบครัวเฉิงชิงทั้งหมดออกไปจากตระกูล!
นายท่านห้าเฉิงเป็ผู้าุโที่มีความรักและเมตตาผู้หนึ่ง นางค่อนข้างชอบท่านปู่ผู้นี้มาก
แต่เขาไม่ใช่ท่านปู่ของนางเพียงผู้เดียว
มุมมองของทั้งสองคนแตกต่างกัน มีเพียงแยกทางกันชั่วคราว
เฉิงชิงก้าวออกจากบ้านห้าแล้วก็ยังไม่กลับตรอกหยางหลิ่ว ตัวเองพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมหนึ่งคืน
เมื่อถึงเช้าวันที่สองแล้ว เด็กรับใช้ทั้งสองซือเยี่ยนและซือโม่ก็รอนางอยู่ที่ประตูทางเข้าโรงเตี๊ยม ส่งกล่องใบเล็กให้นางใบหนึ่ง
เมื่อเฉิงชิงนำมาดู นี่คือโฉนดคฤหาสน์พร้อมที่นาที่นางฝากให้นายท่านห้าเฉิงดูแลจัดการ
แม้ว่าจะคืนโฉนดที่ดินให้นางแล้ว แต่ดูเหมือนว่านายท่านห้าจะโกรธมากจริงๆ
บางทีอาจจะลองให้เฉิงชิงได้ลิ้มรสความลำบากในชีวิต ไม่มีความช่วยเหลือจากบ้านห้า เฉิงชิงย่อมทำอะไรไม่ถูก จะสนใจเพียงการเรียนอย่างเดียวไม่ได้ ยังต้องแบกรับความเป็อยู่ของทั้งครอบครัว ไม่ว่าจะแก่หรือเด็ก อีกทั้งมองดูว่าในยามนั้นเฉิงชิงยังจะมีเรี่ยวแรงไปมาหาสู่กับคนของจวนเยี่ยอ๋องอีกหรือไม่
เฉิงชิงรับโฉนดที่ดินไป “ท่านปู่ห้าได้กำชับอะไรมาอีกหรือไม่?”
ซือเยี่ยนและซือโม่สบตากัน พร้อมทั้งคุกเข่าแล้วเอ่ยพร้อมกัน
“ภายในกล่องน้อยยังมีสัญญาขายตัวสองฉบับ นายท่านห้าให้ข้าน้อยนำมามอบให้แด่นายน้อยชิง ขอนายน้อยโปรดรับไว้ด้วย!”
ไม่คิดที่จะช่วยนางจัดการดูแลโฉนดที่ดินแล้ว แต่กลับ้ามอบสัญญาขายตัวของเด็กรับใช้สองคนนี้?
ความหมายคือ ต่อจากนี้ซือเยี่ยนและซือโม่เป็คนของนาง ไม่เกี่ยวข้องกับบ้านห้าอีก
ก็ได้ ท่านปู่ปากแข็งแต่ใจอ่อน ยังคงกลัวว่านางอายุยังน้อยจะถูกคนหลอกเอา จึงส่งเด็กรับใช้สองคนนี้มาคอยจับตามองนางเป็พิเศษสินะ ความเป็ห่วงเช่นนี้ เฉิงชิงจะปฏิเสธไปได้อย่างไร เด็กรับใช้สองคนนี้คล่องแคล่วมีความสามารถ นางใช้สอยอย่างคล่องมือ ทนไม่ได้ที่จะทอดทิ้งไป
“ตอนพวกเ้าอยู่บ้านห้าได้เบี้ยหวัดรายเดือนเท่าไร?”
“เรียนนายน้อย เดือนละหนึ่งตำลึงขอรับ หลังจากนี้ข้าน้อยและซือโม่จะเป็คนของนายน้อยแล้ว นายน้อยยินยอมจะจ่ายเบี้ยหวัดรายเดือนเท่าใดก็ได้ หรือถึงแม้จะไม่จ่ายเงิน ข้าน้อยก็ยังยินยอมติดตามคอยปรนนิบัติ มีข้าวกินมีเสื้อผ้าใส่ก็พอแล้วขอรับ”
“เอาล่ะ ไม่อดหรอก พวกเ้าติดตามข้าก็ยังคงได้เงินหนึ่งตำลึงอยู่ เพียงแต่การดูแลอย่างอื่นอาจจะด้อยลง ใครใช้ให้พวกเ้าสองคนดวงไม่ดีเอง ต้องมาติดตามนายน้อยที่ยากจนอย่างข้า!”
คนรับใช้ไหนเลยจะชุบเลี้ยงง่าย
ต้องให้เบี้ยหวัดรายเดือน ต้องให้เสื้อผ้าสวมใส่ ต้องให้ข้าวให้อาหารกิน
แต่ซือเยี่ยนและซือโม่ก็มีความสามารถ คู่ควรกับที่เฉิงชิงจ่ายสองตำลึงเงินทุกเดือน หากไม่มีเด็กรับใช้ที่คล่องแคล่วสองคนนี้แล้วล่ะก็ นางก็จะทำการลำบากมากขึ้นแล้ว
ซือเยี่ยนและซือโม่หัวเราะแห้งๆ
หากเฉิงชิงไม่้าพวกเขา นายท่านห้าก็ไม่ใช้พวกเขาในงานสำคัญแล้ว นั่นสิถึงจะเป็สองหัวไร้ที่พึ่งที่แท้จริง
กลับกัน พวกเขาเตรียมใจไว้นานแล้ว นายท่านห้าส่งพวกเขามาปรนนิบัติเฉิงชิงก็คงไม่้าพวกเขากลับไป บัดนี้แม้แต่สัญญาขายตัวก็ให้ไปหมดแล้ว เด็กรับใช้สองคนตัดสินใจอย่างแน่วแน่
เด็กรับใช้ที่เอาใจใส่ล้วนจดจ่อตั้งใจเพื่อเ้านาย ซือโม่ก้าวขึ้นหน้าชิงรายงาน
“นายน้อย อีกไม่กี่วันจะเป็การสอบเข้าของสถานศึกษา คุณชายรองฉีไม่ได้ออกมาข้างนอกเลยใน่หลายวันมานี้ จดจ่ออยู่กับการเตรียมสอบขอรับ”
ใช่แล้ว มัวแต่ยุ่งกับการตรวจสอบบัญชี เกือบลืมเื่ของฉีเหยียนซงไปแล้ว
“เขาไม่ได้ไปตรอกหยางหลิ่วเลยหรือ?”
“ตอบนายน้อย ไม่เลยขอรับ”
เฉิงชิงลูบคาง คางของนางสะอาดเกลี้ยงเกลา ไม่เหมือนนายท่านห้าเฉิงที่มีเคราแพะ เวลาทำท่านี้แล้วน่าประทับใจอย่างยิ่ง
เดิมนางสามารถเปิดเผยเื่นี้ต่อหน้านางหลี่ของบ้านห้าได้ แต่เมื่อคืนเพิ่งจะกล่าวกับนายท่านห้าไปว่าจะพึ่งพาตนเอง จะไปหานางหลี่ให้ช่วยเหลือก็ค่อนข้างจะเป็การตบหน้าตัวเองไปหน่อย
ที่ว่าจะพึ่งพาตนเองก็ใช่ว่าจะไร้วิธี แต่วิธีของนางค่อนข้างยุ่งยากอยู่บ้าง
เฉิงชิงหยุดเรียนไปสิบกว่าวันก็กลับไปสถานศึกษา ใบหน้าของเ้าอ้วนชุยเต็มไปด้วยความคับแค้น
“ข้ายังคิดที่จะร่วมแบ่งปันความยินดีที่ลำดับที่ในการสอบประจำเดือนมีการพัฒนา ผ่านไปตั้งหลายวัน ตอนนี้แม้แต่ความรู้สึกเช่นนั้นสักนิดก็ไม่มีแล้ว!”
“ไม่เป็ไร ไม่ใช่ว่าอีกเดี๋ยวก็จะถึงการสอบประจำเดือนใหม่หรือ? สถานศึกษาอะไรล้วนขาด แต่ที่ไม่ขาดคือการสอบ มีโอกาสให้เ้าแสดงฝีมือเสมอ จะว่าไปแล้วอีกเดี๋ยวก็จะถึงฤดูการสอบเข้าใหม่แล้วสิ เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเสียจริง”
วิธีการพูดของเฉิงชิงดึงดูดการตอบรับของเหล่าสหายร่วมเรียนห้องติงเก้า ห้องติงเก้าหลายคนต่างเป็ผู้ที่เพิ่งสอบเข้ามายังสถานศึกษาได้ในครั้งก่อน ที่เหลือเป็ผู้ที่สอบเข้าสถานศึกษาศึกษามาได้ไม่เกินหนึ่งปี ความทรงจำของทุกคนต่อการสอบเข้าศึกษาของสถานศึกษายังคงสดใหม่ สามารถสอบเข้ามายังสถานศึกษาได้นั้นต้องมีทั้งกำลังและโชค
เฉิงชิงกล่าวชักนำหัวข้ออย่างสุขุม ไม่ทันไรก็มีคนสงสัยว่าข้อสอบเข้าศึกษาของสถานศึกษาจะง่ายไปแล้ว
คำกล่าวนี้จากห้องติงเก้าแพร่ไปยังห้องตัวอักษรติงอื่นๆ แล้วก็แพร่ต่อไปยังห้องตัวอักษรปิ่งและห้องตัวอักษรอี่ แม้แต่อวี๋ซานเมื่อได้ฟังก็แสดงความเห็นด้วยอย่างยิ่ง
“คำถามในข้อสอบง่ายเกินไปแล้ว คนแบบไหนก็ล้วนสามารถสอบเข้ามาได้ คิดดูสิ ตอนพวกเราสอบเข้าสถานศึกษา ก่อนหน้านั้นล้วนฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย สถานศึกษาต้องเพิ่มระดับความยากให้กับข้อสอบเข้าศึกษา จะได้ลดรุ่นน้องที่เสแสร้งทำเป็มีความสามารถ!”
อวี๋ซานกล่าวอะไรก็ไม่ได้ระมัดระวัง คนเสแสร้งทำเป็มีความสามารถจากปากของเขาย่อมต้องรวมถึงเฉิงชิงเป็แน่
แต่เฉิงชิงไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย ปากเหม็นๆ ของอวี๋ซานสามารถช่วยนางผลักดันไปสู่เป้าหมายที่ตนเอง้าได้
ไม่ทันพ้นวัน สิ่งต่างๆ ที่บรรดาศิษย์วิจารณ์กันก็ถูกเหล่าอาจารย์ผู้สอนล่วงรู้เข้า
เหล่าอาจารย์ไม่อาจห้ามปากของบรรดาศิษย์ได้ เมื่อบัณฑิตกลุ่มหนึ่งรวมตัวกัน แม้แต่ราชสำนักก็ล้วนกล้าวิจารณ์ แล้วนับประสาอะไรกับนโยบายของสถานศึกษา
เหล่าอาจารย์กลับรู้สึกว่าที่บรรดาศิษย์วิจารณ์นั้นมีเหตุผล หลายคนจับกลุ่มไปหาเ้าสถานศึกษา
“พวกเราควรควบคุมจำนวนศิษย์ใหม่ ปีหน้าจะเป็การสอบระดับอำเภอ ทุ่มเทเรี่ยวแรงไปกับศิษย์ที่อยู่ในสถานศึกษาอยู่แล้วให้มากขึ้นจึงจะดี!”
[1] จิ้นซื่อผู้โดดเด่น หมายถึงคือบัณฑิตจิ้นชื่อที่สอบได้คะแนนระดับสูงสุดในการสอบราชสำนักสามอันดับแรก ได้แก่ จ้วงหยวน ปั้งเหยี่ยน และทั่นฮวา
[2] สำนักฮั่นหลิน คือสถาบันการศึกษาและบริหารราชกิจที่รวบรวมบัณฑิตที่มีความสามารถก่อตั้งในสมัยราชวงศ์ถัง
[3] หกกรม ได้แก่ กรมขุนนาง กรมพิธีการ กรมพระคลัง กรมกลาโหม กรมยุติธรรม และกรมโยธา
