พิธีสรงสามของต้าเว่ยนั้นซับซ้อน ในขั้นตอนการใส่ขัน คนแรกที่ใส่ต้องเป็มารดาของนายหญิงวังของบ้านวัง
หลินฟู่อินเห็นมารดาของนายหญิงวังสวมชุดหรูหราและมีใบหน้าอ่อนโยน นางก็คิดขึ้นมาอีกครั้งว่าตระกูลวังคงร่ำรวยมากจริงๆ
และเมื่อได้เห็นนางสะบัดข้อมือให้กำไลทองตกใส่ขัน ก็เรียกเสียงฮือฮาจากคนรอบข้างมากมาย มารดาของนายหญิงวังช่างใจป้ำยิ่งนัก
แม้แต่หมอตำแยที่เป็คนรับก็ยังเสียหลักไปครู่หนึ่ง
ลำดับต่อมาคือแม่สามีของนายหญิงวัง ท่านแม่สามีผู้นี้ก็แต่งกายหรูหราไม่แพ้กัน นางหยิบเอาปิ่นทองคำที่ประดับอยู่บนผมใส่ลงไปในขันเงินด้วยรอยยิ้ม ก่อให้เกิดเสียงจอแจขึ้นมาอีกครั้ง
ถัดมาคือสะใภ้สองของนายหญิงวัง นางเลือกใส่กำไลเงินสลักคำอวยพรที่ประดับอยู่บนแขน…
แล้วจึงตามมาด้วยสะใภ้จากบ้านฝั่งมารดาของนายหญิงวัง ผู้ใส่กำไลลงในขัน
เหล่าสตรีจากบ้านฝั่งมารดาของตระกูลวังต่างก็มาร่วมงานนี้กันอย่างคับคั่ง หลินฟู่อินหรี่ตาแล้วคลี่ยิ้มพลางคิดว่า แม้แต่ชิ้นเงินที่ด้อยค่าที่สุดในขันนี้ก็เป็ของนาง!
และมิใช่เพียงแค่นั้น
หลังจากสมาชิกบ้านฝั่งมารดาของนายหญิงวังพากันใส่ของลงขันกันหมดแล้ว ต่อไปจึงเป็ฝั่งตระกูลวังเอง
เมื่อพวกเขาเห็นมูลค่าของของขวัญฝั่งบ้านมารดาของนายหญิงวัง ของขวัญที่เตรียมไว้จึงจำเป็ต้องเปลี่ยนให้มันมีมูลค่ามากขึ้นไปอีก
คนแรกจากฝั่งตระกูลวังที่ต้องนำของขวัญมาใส่คือป้าใหญ่ที่แต่งออกไปเมื่อนานมาแล้ว แม้ตัวนางจะไม่ได้มาด้วย แต่นางก็ส่งสาวใช้ผู้ดูมีสง่าราศีมาแทน
สาวใช้ผู้วัยเพียงสามสิบ มีคิ้วเด่นชัด ดวงตาประกายของปัญญาคู่นั้นปรายตาผ่านฝูงชน ก่อนจะนั่งลงแล้ววางกำไลหยกที่ประดับด้วยหัวทรงหยดน้ำสีเขียวมรกตลงในขันเงิน สร้างเสียงฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยความที่คุณภาพของหยกชิ้นนี้กระจ่างชัดแม้แต่กับคนทั่วไป ว่ามันเป็ของชั้นเลิศ!
แม้ตระกูลวังจะร่ำรวย แต่ก็ใช่ว่าสตรีในตระกูลจะมีของชั้นเลิศเช่นนี้กันทุกคน กระทั่งวังฮูหยินเองก็ยังเสียดาย
แต่นางก็มีรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า เพราะอย่างไรเสีย ป้าของพวกนางก็ทำเช่นนี้เพื่อให้ตระกูลได้หน้า
ผู้คนตระกูลวังที่เหลือต่างก็ใส่ของหรูหรากันมิใช่น้อย
เหล่าคนดูยังพอทำเนา แต่หมอตำแยชราที่เป็ผู้รับนั้นน้ำตาตกในแทบเป็สายเื หากคนทำคลอดคนสุดท้ายไม่ใช่เด็กสาวผู้นั้นแล้วละก็ เงินทองและทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ก็คงเป็ของนางไปแล้ว…
หลังจบพิธีก็เป็เวลาของงานฉลอง ฉินหมัวมัวเอียงคอมองหลินฟู่อินที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เล็กน้อย แล้วจึงกล่าว “ผลพลอยได้ของคุณหนูหลินนับว่าไม่น้อยเลย”
ของขวัญใส่ขันช่างมากมายนัก มากกว่าที่หลินฟู่อินคาดไว้ไปไกล นางจึงพยักหน้ารับ
“คำนวณคร่าวๆ หากรวมกำไลหยกของป้าใหญ่ตระกูลวังเข้าไปด้วย ทั้งทอง เงิน และเหรียญทองแดงทั้งหมดนั่นคงมีค่าราวหนึ่งร้อยตำลึงเงิน และถึงกำไลเงินเหล่านี้จะดูชิ้นเล็ก แต่ก็มีค่าราวสองร้อยตำลึงเงิน” เมื่อฉินหมัวมัวเห็นว่าแม้ของขวัญในขันจะมีค่าถึงสามร้อยตำลึงเงิน แต่หลินฟู่อินก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า นางจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แล้วกล่าวต่อ “เ้าควรเก็บกำไลหยกไว้ให้ดี จำไว้ว่าแม้ทองจะล้ำค่า แต่หยกนั้นประเมินค่ามิได้”
หลินฟู่อินเองก็รู้อยู่แล้วว่าแม้ทองจะล้ำค่า แต่หยกนั้นมิอาจประเมินค่าได้ และแม้ของในขันทั้งหมดจะเป็ของนาง แต่นางก็ไม่ได้อยากนำกลับไปทั้งหมด นางอยากได้แค่หยก และเครื่องประดับทองและเงินพวกนั้นเท่านั้น เพื่อเอาไว้เป็ทุนหากเกิดเื่ไม่คาดคิดขึ้นในอนาคต
ฉินหมัวมัวตามติดหลินฟู่อินตลอดงานฉลอง บ้านตระกูลวังนั้นให้ความสำคัญกับฉินหมัวมัวมาก โดยเฉพาะตัววังฮูหยินเอง ทั้งนางยังได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองมิใช่ธรรมดา นางจึงมาหาหลินฟู่อินใกล้ๆ
ที่โต๊ะของฉินหมัวมัวถูกจัดเก้าอี้ไว้ให้แล้ว แน่นอนว่ามันเป็ของดีที่สุด
งานฉลองหรูหรานั้นมาก แต่เพราะหลินฟู่อินไม่ชอบกินปลาและเนื้อชุ่มน้ำมัน นางและฉินหมัวมัวจึงปลีกตัวออกมาก่อน
นอกจากนี้ วันนี้ก็ไม่ได้มาเพื่อร่วมงานอย่างเดียว แต่นางนำกัญชาเทศมาให้หลี่ฮูหยินด้วย โดยเก็บมันไว้บนรถม้านอกสวนของบ้านตระกูลวัง
คุยกับฉินหมัวมัวเสร็จ นางจึงกลับออกไปทักทายนายหญิงวัง และเพราะนายหญิงวังกลัวว่าจะเกิดเื่ไม่ดีขึ้นกับเด็กสาวที่แบกทรัพย์สมบัติเต็มตัว นางจึงสั่งให้นำรถม้าไปส่งหลินฟู่อินที่โรงหมอของหมอหลี่
เมื่อหลี่ฮูหยินได้ยินว่าหลินฟู่อินนำยามาส่งแล้ว นางก็ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
หลินฟู่อินถูกหลี่ฮูหยินเชิญเข้าไปยังส่วนในของตัวเรือน ระหว่างนั้นหลี่ฮูหยินก็มองนางที่กำลังแบกถุงผ้าไหมใหม่เอี่ยมสีแดงสด เมื่อเห็นว่าในถุงตุงไปด้วยของมากมายก็ยิ้มออกมา “วันนี้เป็วันสรงสามของตระกูลวัง ได้อะไรมาเยอะเลยใช่หรือไม่?”
หลินฟู่อินพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มกว้าง
ที่จริงแล้ว หากนางไม่ได้เสนอแบ่งเครื่องเงินและจานทองแดงบางส่วนให้หมอตำแยคนนั้นไปด้วย นางคงต้องแบกมากกว่านี้อีก
หลี่ฮูหยินมองนางอย่าสุขใจ ก่อนจะป้องปากแล้วคลี่ยิ้ม “ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าเ้าจะยังเป็เด็กวัยสิบต้นๆ เด็กวัยเท่าเ้าที่เพียบพร้อมขนาดนี้นับว่าหาได้ยากนัก”
หลินฟู่อินขยิบตาแล้วยิ้ม “นี่ฝืนชมใช่หรือไม่เ้าคะ”
หลี่ฮูหยินเห็นเช่นนั้นก็อึ้งไป ก่อนจะถอนหายใจออกมา
แต่นางก็ดีใจขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกล่าวกับหลินฟู่อิน “อย่าได้พูดเช่นนั้นเลย เพราะโชคลาภของเ้ามาเยือนได้ถูกจังหวะจริงๆ”
หลินฟู่อินใจกระตุก หันไปมองหลี่ฮูหยินอย่างคาดหวังทันที หลี่ฮูหยินเห็นดังนั้นจึงกล่าวอย่างเริงร่า “หลังจากที่เ้ากลับไปเมื่อวันก่อน ข้าก็ได้บอกให้คนดูแลบ้านไปบอกเหล่าคนในเมืองให้ช่วยหาบ้านหรือร้านดีๆ แล้วก็มีข่าวเข้ามาเมื่อเช้านี่เอง”
หลินฟู่อินกลั้นความดีใจไว้ไม่อยู่ นี่มันเร็วกว่าที่คิดไว้มาก
หลี่ฮูหยินกล่าวด้วยสายตาเป็ประกาย “คนๆ นี้ไม่เพียงอยากขายตัวเรือนเท่านั้น แต่รวมไปถึงร้านในเมืองด้วย แต่มีปัญหาหนึ่งอย่างคือเรือนมันค่อนข้างกว้าง หรือก็คือใหญ่มาก หน้าเรือนและหลังเรือนมีห้องอยู่ด้านละสามห้อง ทั้งเรือนมีอยู่ราวสิบสามสิบสี่ห้อง ตัวเรือนอยู่บนถนนเส้นเดียวกับร้านยาของพวกข้าไปหนึ่งลี้ ตัวเรือนหรูหราและกว้างขวาง ร้านที่ให้มามีสองที่ ร้านหนึ่งอยู่สุดทางตะวันออกของถนนเส้นนี้ และอีกร้านอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของต้นถนน ร้านนี้ทำเลไม่ดีนัก ราคาเองก็มิได้ต่ำ แต่มันบังคับขายมาด้วยกัน”
หลี่ฮูหยินคิดไว้แล้วว่าหากหลินฟู่อินอยากได้ที่นี่จริงๆ แต่มีเงินไม่พอ นางก็พร้อมจะให้ยืม เพราะต่อให้หลินฟู่อินไม่ได้ทำกิจการอื่น แต่นางก็ยังขายสมุนไพรได้อยู่ ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงเื่ที่นางจะหามาคืนไม่ได้
“แล้วคนขายเรียกมาเท่าไรหรือเ้าคะ?” หลินฟู่อินลองคำนวณดู หากว่าตามที่หลี่ฮูหยินว่ามาแล้ว อย่างน้อยๆ ตัวบ้านก็คงสองร้อยตำลึงเงิน และตัวร้านคงแพงเสียยิ่งกว่า
หลี่ฮูหยินเห็นหลินฟู่อินเข้าประเด็นทันทีเช่นนี้ จึงกล่าว “มัดรวมกันขายทั้งหมดนั่นเรียกหกร้อยตำลึงเงิน แต่ถึงมันจะแพง เ้าของบ้านก็ให้ทั้งบ้านและของแต่งบ้านไปพร้อมกัน ร้านทางตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้เองก็มีสวนเล็กๆ อยู่ และถึงจะเรียกมันว่าเป็ร้าน แต่มันก็ใหญ่พอที่จะให้ครอบครัวสักสิบคนเข้าไปอยู่อาศัยได้”
ในสายตาของหลี่ฮูหยิน นางมองว่านี่เป็บ้านที่น่าซื้อชนิดคุ้มเกินราคา แต่ทั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่กับความอยากซื้อของหลินฟู่อินด้วย
อย่างไรเสีย แม้ว่าเงินหกร้อยตำลึงเงินจะไม่ได้มากมายนักในสายตาของนาง แต่สำหรับเด็กสาวที่ต้องคอยดูแลครอบครัวไปด้วยแล้ว มันก็นับว่าเป็เงินมหาศาล