ฉินเฮ่าไม่รู้ว่าถังเหล่ยคิดอะไรอยู่ เขาไม่เพียงไม่หลบหนีเท่านั้นแต่ยังพุ่งเข้าหากลุ่มมือสังหารอีกด้วย
ทันทีที่ฉินเฮ่าเห็นการกระทำของถังเหล่ย เขาก็สับสนอยู่ครู่หนึ่ง แต่การกระทำของถังเหล่ยก็ทำให้เขารู้ว่าพี่น้องผู้คุมกฎของเขาที่ถูกฆ่าตายนั้นไม่ได้ตายอย่างสูญเปล่า
ฉินเฮ่าคิดจะไปช่วยถังเหล่ย แต่ตัวเขาเองยังคงติดพันอยู่กับชายชุดดำ
ถึงแม้ฉินเฮ่าจะมีระดับยุทธ์สูงกว่าฝ่ายตรงข้าม แต่ประสบการณ์การต่อสู้ของอีกฝ่ายทำให้เขาไม่ได้ตกเป็รองแม้แต่น้อย ดังนั้นสถานการณ์ในตอนนี้จึงยากจะพิสูจน์ผลแพ้ชนะได้ชั่วคราว
ทางด้านถังเหล่ย พลังปราณสีทองพลุ่งพล่านไปทั่วร่างกายอย่างบ้าคลั่ง ในมือของเขาเปล่งแสงสีทองออกมาราวกับมีเพลิงกำลังลุกโชนอย่างร้อนแรง กริชสีเงินในมือของเขาปะทะกับโซ่ของชายชุดดำอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่กริชและโซ่กระทบกันจะเกิดเป็ประกายไฟวาบขึ้นในความมืด
การโจมตีของชายชุดดำนั้นทรงพลังอย่างมาก และการโจมตีในแต่ละครั้งของเขาจะเล็งไปที่จุดตายเสมอ โชคดีที่ถังเหล่ยมีประสบการณ์การต่อสู้จากชาติก่อนบวกกับพลังิญญายุทธ์ที่เขามีอยู่ตอนนี้ ทำให้เขาค่อนข้างได้เปรียบศัตรูอยู่เล็กน้อย
การโจมตีของชายชุดดำมีน้ำหนักมากถึงสามหมื่นจิน ถ้าเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับต่ำจะไม่สามารถทนรับแรงกดดันที่เยอะขนาดนี้ได้
แม้ว่าถังเหล่ยจะมีประสบการณ์การต่อสู้มามาก แต่น่าเสียดายที่เขายังเป็เพียงผู้ชำนาญยุทธ์เท่านั้น ในขณะที่ชายชุดดำเป็ถึงผู้ทรงยุทธ์ดังนั้นต่อให้ถังเหล่ยได้เปรียบเพียงใดเขาก็ไม่สามารถใช้ทักษะัคชสารเพื่อเอาชนะศัตรูได้
ทักษะัคชสารนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง แต่ต้องแลกมาด้วยการใช้ปราณแท้จำนวนมาก ปราณแท้ที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายของถังเหล่ยตอนนี้สามารถใช้ทักษะัคชสารได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตามมือสังหารเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงคนเดียว หากเขาไม่เลือก่เวลาที่เหมาะสมที่สุดในการโจมตีมันจะกลายเป็หายนะครั้งใหญ่สำหรับตัวเขาเอง
การฝึกฝนเคล็ดวิชาัคชสารก็ทำให้ร่างกายของเขามีความแข็งแกร่งจนสามารถต่อสู้กับศัตรูได้โดยไม่เป็รองแล้ว หากเขาใช้พลังปราณบวกกับกริชสีเงินมันจะทำให้ความเร็วในการต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก
การต่อสู้ของถังเหล่ยกับชายชุดดำเพียงหนึ่งคนไม่ได้ทำให้เขาเสียเปรียบแต่อย่างใด แต่สถานการณ์ของคนอื่นกำลังย่ำแย่ ทางด้านฉินเฮ่าก็กำลังประมือกับยอดฝีมือที่เป็หัวหน้ากลุ่มไม่สามารถปลีกตัวได้ชั่วคราว
ผู้คุมกฎทั้งสิบสามคนที่เหลือนั้นกำลังรับมือกับชายชุดดำสามคน แม้จะมีจำนวนมากกว่าแต่พวกเขาไม่สามารถความได้เปรียบได้ หากสถานการณ์ยังเป็เช่นนี้ทุกคนจะกลายเป็ศพไม่ช้าก็เร็ว
ทันทีที่กลุ่มผู้คุมกฎทั้งสิบสามคนรู้ว่าสถานการณ์กำลังแย่ลงเรื่อยๆ พวกเขาก็มองหน้ากันและ้าให้ใครสักคนในกลุ่มของพวกเขารอดชีวิตออกจากที่นี่ให้ได้ แน่นอนว่าบุคคลที่พวกเขาเห็นพ้องต้องกันก็คือฉินเฮ่าซึ่งเป็ผู้นำกลุ่ม ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามผลักดันคู่ต่อสู้ให้เข้าใกล้ฉินเฮ่ามากขึ้นเรื่อยๆ
“หัวหน้ารีบหนีไป พวกข้าจะถ่วงเวลาให้ท่านเอง!” ผู้คุมกฎคนหนึ่งะโออกมา
เมื่อเห็นกลุ่มคนที่ไม่กลัวตายพุ่งเข้ามาเช่นนี้ชายชุดดำที่กำลังต่อสู้อยู่กับฉินเฮ่าจึงเข้าร่วมกับสหายทั้งสามเพื่อต่อสู้กับผู้คุมกฎทั้งสิบสามคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อฉินเฮ่าได้ยินพี่น้องของเขากล่าวเช่นนั้นก็เข้าใจเป็อย่างดี เขารู้ว่าผู้คุมกฎเหล่านี้้าใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อเปิดโอกาสให้เขารอดกลับไปได้
อีกด้านหนึ่งถังเหล่ยซึ่งกำลังต่อสู้กับชายชุดดำอีกคน จู่ๆ ก็มีหอกสีเงินแทงมาจากด้านข้าง ชายชุดดำไม่ทันระวังถูกหอกสีเงินแทงเข้าที่หัวไหล่
“ถังเหล่ย หนี!”
ดวงตาของถังเหล่ยเผยความดุร้ายออกมา เขาฉวยโอกาสขณะที่ชายชุดดำกำลังเสียสมาธิใช้มือซ้ายกระชากโซ่เพื่อดึงร่างของอีกฝ่ายเข้ามา ก่อนจะกำกริชในมือปาดไปที่ลำคอของชายชุดดำคนนั้นอย่างไร้ความปรานี
ฉินเฮ่าผิวปาก ม้าอัสนีวิ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว เขาะโขึ้นหลังม้าและดึงถังเหล่ยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนขี่ม้าอัสนีหลบหนีเข้าไปในเทือกเขาซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์อสูรโดยไม่หันหลังกลับ
เมื่อผู้คุมกฎคนสุดท้ายเห็นฉินเฮ่าหายไปในความมืดใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้น จากนั้นเขาก็ล้มลงบนพื้นแน่นิ่งอยู่แทบเท้าชายชุดดำคนหนึ่ง
“ตามไปหรือไม่?” ชายชุดดำอีกคนกล่าว
ฉินเฮ่าขี่ม้าอัสนีหนีเข้าไปในเทือกเขาสัตว์อสูรด้วยความเร็วสูงสุด ต่อให้กลุ่มชายชุดดำไล่ตามตอนนี้ก็ยากจะตามทัน
ชายชุดดำสี่คนที่เหลือยืนมองร่างไร้ศีรษะของชายชุดดำที่ถูกถังเหล่ยฆ่า สีหน้าของพวกเขายังคงเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา
เหตุผลที่พวกเขาไม่ไล่ตามฉินเฮ่าและถังเหล่ยไปทันที เพราะว่าพวกเขามีวิธีการสะกดรอยตามอยู่แล้ว ต่อให้ฉินเฮ่ากับถังเหล่ยหนีไปได้ชั่วคราวแต่สุดท้ายพวกเขาก็จะตามล่าทั้งสองคนได้อยู่ดี
“ไม่จำเป็ต้องรีบร้อน ตอนนี้กลุ่มของเราขาดสมาชิกอยู่หนึ่งคน เราต้องหาคนมาแทนก่อน จากนั้นค่อยไล่ตามพวกมันอีกที!” ผู้ทรงยุทธ์ขั้นห้ากล่าวเสียงต่ำ
ทุกครั้งที่พวกเขาสูญเสียสมาชิกในกลุ่มไปก็จะมีคนใหม่เข้ามาทดแทนทันที แต่คนที่มาใหม่ยังต้องใช้เวลาฝึกฝนเพื่อให้สามารถประสานการโจมตีกับคนอื่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็ต้องล้มเลิกความคิดที่จะไล่ตามถังเหล่ยชั่วคราว อีกสามคนก็เห็นด้วย หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสี่คนก็จากไปพร้อมกับศพของสมาชิกในกลุ่ม แต่ศพของหน่วยผู้คุมกฎยังคงกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ
การสังหารหน่วยผู้คุมกฎเท่ากับประกาศากับทั้งจักรวรรดิ อย่างไรก็ตามผู้คุมกฎเหล่านี้ตายในพื้นที่ที่ห่างไกลต่อให้จักรวรรดิได้รับข่าวสารก็ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะมีมาตรการตอบโต้กลุ่มของพวกเขา
…
ขณะนี้ฉินเฮ่าและถังเหล่ยทำได้เพียงหนีไปให้ไกลที่สุด ม้าอัสนีวิ่งในเทือกเขาสัตว์อสูรโดยไม่หยุดพัก พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวิ่งมาได้กี่ร้อยหรือกี่พันลี้แล้ว
หลังจากนั้นถังเหล่ยก็สังเกตไปรอบๆ เมื่อคิดว่าพ้นจากอันตรายเขาจึงสะกิดฉินเฮ่าซึ่งตกอยู่ในอาการสะลึมสะลือ อย่างไรก็ตามม้าอัสนียังคงวิ่งไปข้างหน้าแม้จะมีต้นไม้ขนาดใหญ่ขวางอยู่ ถังเหล่ยรีบจับตัวฉินเฮ่าและะโลงจากหลังม้าอัสนีทันที
ปัง!
ม้าอัสนีพุ่งชนต้นไม้ใหญ่และล้มลงบนพื้น ถังเหล่ยเห็นว่าที่มุมปากและรูขุมขนของม้าอัสนีล้วนถูกย้อมไปด้วยเื เขารับรู้ได้ทันทีว่าม้าอัสนีตัวนี้ใช้พลังงานจนถึงขีดสุดแล้ว
“ม้าของเ้าช่างจงรักภักดี แต่น่าเสียดายที่เป็เพียงสัตว์อสูรระดับหนึ่ง น่าเสียดายจริงๆ” ถังเหล่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงแ่เบาพร้อมสีหน้าเศร้าหมอง
ฉินเฮ่าสงบนิ่งและไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เขายังคงหันหลังให้ถังเหล่ย ถังเหล่ยรู้สึกผิดปกติจึงปล่อยมือที่จับไหล่ฉินเฮ่าออก ทันใดนั้นร่างของฉินเฮ่าก็เกือบจะล้มพับลงกับพื้น ถังเหล่ยจึงประคองฉินเฮ่าให้นอนหงายก่อนที่สีหน้าของเขาจะตกตะลึงเป็อย่างมาก ตอนนี้บริเวณท้องของฉินเฮ่ามีอาวุธลับที่มีลักษณะคล้ายลูกดอกปักอยู่
ลูกดอกอาบยาพิษ!
ลูกดอกนี้ไม่ได้ฝังลึกเข้าไปในท้องของฉินเฮ่า แต่เืที่ไหลออกมากลับเป็สีดำคล้ำและทำให้ฉินเฮ่าที่เป็ผู้ทรงยุทธ์ขั้นหกหมดสติได้ เพียงแค่นี้ก็ทำให้ถังเหล่ยรู้ว่าลูกดอกอาบยาพิษนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!
ถังเหล่ยถอนลูกดอกออกอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาจึงใช้พลังปราณตรวจสอบว่าพิษในร่างของฉินเฮ่าร้ายแรงเพียงใด สีหน้าของถังเหล่ยบิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขารู้ว่าพิษได้แล่นไปทั่วร่างกายของฉินเฮ่าแล้ว หากไม่ได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด ถังเหล่ยคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทิ้งฉินเฮ่าให้กลายเป็อาหารของสัตว์อสูรที่อยู่ในูเานี้
“จะทิ้งให้สัตว์อสูรกินดีหรือไม่?” ถังเหล่ยพึมพำกับตัวเองและจ้องมองฉินเฮ่าที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
……….