ม้าสี่ตัววิ่งอย่างรวดเร็วอยู่บนถนนอิฐสีฟ้าพื้นผิวราบเรียบ
ผิงอันและผิงซุ่นโห่ร้องอย่างมีความสุขตลอดทาง ควบม้าตะบึงพุ่งไปอยู่ด้านหน้า
ส่วนหลัวจิ่งกับเจินจูตามอยู่ด้านหลังของพวกเขาอย่างมั่นคงคล่องแคล่ว
จุดมุ่งหมายในการเดินทางของพวกเขาเป็คฤหาสน์ที่พักตรงหุบเขา
หลัวจิ่งรู้สึกอยากเห็นคฤหาสน์นี้อย่างมาก
ผิงอันเคยกล่าวไว้ในจดหมายว่ากำแพงลานของคฤหาสน์สูงเช่นกำแพงเมือง ประตูกำแพงลานหนาเสียยิ่งกว่าประตูเมืองเสียอีก เขาอยากไปชมเสียหน่อยจริงๆ
วันนี้เจินจูสวมเสื้อผ้าทะมัดทะแมงสะดวกต่อการขี่ม้า แขนเสื้อยิงธนู [1] และรองเท้าทรงสูงสำหรับขี่ม้าท่าทางองอาจผึ่งผายอย่างมาก ร่างกายของนางขยับขึ้นลงตามการเคลื่อนไหวของม้า การกระทำเป็ธรรมชาติและคุ้นเคยไม่เหมือนกับผู้ขี่ม้าระดับขั้นต้นที่เพิ่งเรียนรู้การขี่ม้าเลย
เสี่ยวเฮยนอนหมอบอยู่บนตักของนางอย่างปลอดภัย สายตามองมาที่เขาอย่างเลือนลาง
หลัวจิ่งทิ้งระยะห่างอยู่ด้านหลังครึ่งตัวม้า คอยระวังป้องกันหากนางถูกม้าสะบัดร่วง
ทว่ากลับพบว่าม้าป่าตัวนั้นที่อุปนิสัยค่อนข้างดุร้ายยิ่ง ตอนนี้อยู่ภายใต้สะโพกของนาง เชื่อฟังจนคล้ายกับเสี่ยวหวงไปแล้ว
ใช่สิ... ทำไมเขาลืมไปได้นะ นางมีวาสนาต่อสัตว์อย่างน่ามหัศจรรย์เพียงนั้นอยู่นี่
หลัวจิ่งราวกับอยู่ภายใต้สายตาดูถูกของเสี่ยวเฮย
เจินจูหันกลับมามองเขาอย่างกลุ้มใจ “ยู่เซิง เร็วหน่อย เด็กสองคนนั้นยิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ แล้ว”
“…อื้ม ได้ ไม่เป็ไรเดี๋ยวก็ตามไปทัน”
หลัวจิ่งได้สติกลับมา ยิ้มอย่างข่มขื่นและเริ่มเพิ่มระดับความเร็ว
รอจนกระทั่งเขาเร่งไปถึง ผิงอันและผิงซุ่นก็หยุดอยู่นอกกำแพงลานบ้านแล้ว
“ท่านพี่ ทำไมพวกท่านช้าเพียงนี้?” ผิงอันกล่าวอย่างขบขัน
เจินจูส่งเสี่ยวเฮยให้เขา จากนั้นพลิกกายลงจากหลังม้า
หลัวจิ่งยังนั่งอยู่บนหลังม้า เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปกลับรู้สึกใอย่างมาก
“เ้าคิดอย่างไร? เหตุใดถึงสร้างกำแพงลานสูงตระหง่านเพียงนี้?”
“จะคิดอย่างไรได้ ในูเาสัตว์ป่าดุร้ายงูแมลงมากมาย กำแพงลานสูงเช่นนี้ พวกมันก็ปีนขึ้นไม่ได้แล้ว” เจินจูยักไหล่
“…” เพราะเหตุผลนี้เลยสร้างกำแพงลานสูงตระหง่านเพียงนี้ เกรงว่านับั้แ่อดีตจนถึงปัจจุบันคงมีเพียงนางผู้เดียวแล้ว
ประตูแผ่นไม้เถี่ยลี่ถูกโซ่คล้องใส่กุญแจไว้ เจินจูล้วงเอาลูกกุญแจออกมาและยื่นให้เขา
หลัวจิ่งพลิกกายลงจากหลังม้าและรับมา หลังจากนั้นเดินเข้าไปปลดกุญแจด้วยความว่องไว
“ประตูนี่แข็งแรงจริงๆ” เขาเปิดประตูไม้โดยตบแรงๆ
“พี่ยู่เซิง ท่านลุงหลิ่วกล่าวว่าประตูนี้ทำจากไม้เถี่ยลี่ มีดใหญ่ฟันอยู่หนึ่งวันก็ฟันไม่ขาดเลยล่ะ” ผิงซุ่นเคยตามผู้เป็บิดาของเขามาสองสามครั้ง ค่อนข้างคุ้นชินกับที่นี่เป็อย่างมาก
“ประตูด้านในนี้ทำจากไม้สนแดงเลยหนาเป็พิเศษ” ผิงอันเคาะประตูลานบ้านด้านในเบาๆ
หลัวจิ่งปลดสายคล้องประตูลานบ้านใหญ่ให้เปิดออก และให้พวกเขาจูงม้าเข้าไป
รอจนเขาปิดประตูลานบ้านและเดินเข้าด้านใน ถึงได้พบว่าที่ดินโดยรอบและคฤหาสน์ทั้งหลังมีขนาดใหญ่โตเพียงนี้นี่เอง ดูแล้วน่าจะมีเนื้อที่ราวๆ หนึ่งถึงสองร้อยหมู่เลยทีเดียว
อีกทั้งเขตอาศัยภายในบ้านและที่พักก็สร้างได้ดี กินพื้นที่เพียงหนึ่งส่วนเล็กๆ ของพื้นที่ทั้งหมด
“ท่านพี่! ท่านพี่! ข้ากับพี่ชายจะไปเล่นที่หุบเขาทางนั้น ได้หรือไม่?” ผิงอันมองนางด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
เจินจูชะงักงัน พวกเขาจะไปทางนั้น ทางนี้ไม่ใช่ว่าจะเหลือเพียงนางกับหลัวจิ่งหรือ?
“ทางนั้นมีสัตว์ป่าดุร้าย อาชิงก็ไม่อยู่อีก พวกเ้าสองคนอย่าไปเลย”
“ท่านพี่ ตอนนี้ฤดูหนาวจะมีสัตว์ป่าเสียที่ไหน ท่านให้พวกข้าไปเถอะ” ผิงอันดึงแขนเสื้อของนางและเขย่าไปมาเบาๆ
เจินจูหางตากระตุก เวลาเช่นนี้รู้จักทำตัวปลิ้นปล้อนออดอ้อนเชียวนะ พอกำลังคิดจะกล่าวว่าไม่ได้ กลับเห็นหลัวจิ่งที่ยืนมองนางอยู่ด้านข้าง ราวกับจะยิ้มและไม่ยิ้ม คล้ายดูออกว่านางไม่มีทางรับปากอย่างนั้นแน่
นางรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที นางเป็ิญญาที่มีสติปัญญาอย่างผู้ใหญ่ผู้หนึ่ง กลับกลัวเขาที่เป็เด็กน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้หนึ่งเสียนี่
“เช่นนั้นพวกเ้าอย่าไปไกลเกินล่ะ พาเสี่ยวเฮยไปด้วย ครึ่งชั่วยามก็สมควรกลับมาได้แล้ว”
เจินจูแกล้งทำเป็โบกมือไปทางพวกเขาอย่างมีสง่า แสดงเจตนาให้รีบไปรีบกลับ
ผิงอันกับผิงซุ่นส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี เรียกเสี่ยวเฮยลุกขึ้นและวิ่งหายวับไปกับตา
หลัวจิ่งเห็นเจินจูในตอนแรกดูเหมือนตกตะลึงอยู่บ้าง ราวกับว่ากังวลอะไรอยู่ ต่อมานางชำเลืองมองเขาปราดหนึ่ง หัวคิ้วขมวดบ้างไม่ขมวดบ้าง ท่าทางอับอายและหงุดหงิดโมโห ...ช่วยไม่ได้ เขายักไหล่และยกมุมปากขึ้นบางๆ
วันนี้มาดูคฤหาสน์บ้านพักในหุบเขา ประการที่หนึ่งคือ้าดูลักษณะพื้นที่ของที่ดินส่วนตัวแห่งนี้ ส่วนประการที่สอง ไหนเลยจะไม่อยากให้คนสองคนสามารถอยู่ด้วยกันเพียงลำพังเล็กน้อยได้เล่า
หลัวจิ่งรู้ดีนับั้แ่เมื่อก่อนแล้ว เจินจูเป็เด็กสาวที่โดดเด่นอย่างมาก ไม่เพียงอุปนิสัยแต่มีอุดมการณ์ มีสายตาการมองโลกและอื่นๆ ล้วนแตกต่างกับสตรีทั่วไปทั้งสิ้น
นางเฉลียวฉลาด มั่นใจในตัวเอง กิริยาท่าทางมีสง่า มีความคิด รู้จักการลำดับความสำคัญ นางกล่าวตรงไปตรงมาว่าไม่ชอบใช้ชีวิตอยู่ในลานบ้านที่ต้องวางกลอุบายแก่งแย่งชิงดีกัน ไม่ว่าจะทั้งในที่ลับหรือที่แจ้งและไม่ชื่นชอบการยึดถือประเพณีที่สลับซับซ้อน ยินยอมใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขาเป็อิสระเสรีเอ้อระเหยตามแต่ใจตัวเองดีกว่า
บางครั้งเขารู้สึกค่อนข้างเข้าใจนางดี แต่บางครั้งก็รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจนางเช่นกัน
ทุกสิ่งทุกอย่างบนร่างกายของนางราวกับดอกอิงซู่ [2] ช่างทำให้เขาหลงใหลไม่อยากมีสติขึ้นมาเลย
เจินจูเห็นเขามองมาด้วยสายตาไม่ไหวติง จึงข่มความร้อนที่ตีขึ้นไว้ บังคับตัวเองให้กล่าวออกไปอย่างสงบ “ยู่เซิง เราก็ไปดูหุบเขาทางนั้นกันเถอะ ที่นี่อะไรก็ยังจัดการทำได้ไม่เสร็จดี”
ขณะกล่าวก็ก้าวไปทางประตูด้านข้าง
หลัวจิ่งหรี่ดวงตาลง มุมปากยกรอยยิ้มขึ้น และเดินก้าวยาวตามไป
เจินจูนำอยู่ข้างหน้าเดินออกจากประตูด้านข้าง หญ้าเขียวขจีที่อยู่ในหุบเขาเหลือเพียงเศษเสี้ยวของความแห้งเฉาสีเหลือง ไม่มีร่องรอยของสัตว์ใดๆ และหุบเขาที่กว้างโล่งก็ดูเงียบสงัด
ผิงอันกับผิงซุ่นวิ่งไปถึงหุบเขาส่วนลึก ข้างแม่น้ำลำธารสายเล็กเส้นนั้น
“ที่นี่ใหญ่ยิ่งนัก เ้าพบหุบเขาผืนนี้ได้อย่างไร?”
เสียงนุ่มลึกของหลัวจิ่งดังขึ้นอยู่ข้างหลังนาง
เจินจูหันหลังกลับ พบว่าเขายืนอยู่ด้านหลังนางพอดี ระยะห่างของสองคนอยู่ใกล้กันมาก
นางรีบถอยหลังไปสองก้าว มองเขาอย่างตำหนิ “ไม่ใช่ข้าเป็ผู้ค้นพบ เป็เสี่ยวจินต่างหาก”
เสี่ยวจิน? อินทรีั์ตัวนั้น! มันยังอยู่ภายใต้การดูแลของนางอยู่หรือนี่?
หลัวจิ่งมองนางด้วยความประหลาดใจระคนสงสัย “กลับมาไม่กี่วัน เหมือนจะไม่เห็นเงาของเสี่ยวจินเลยนี่?”
แต่เคยเห็นหนูขนสีเทาตัวอ้วนพลุ้ยตัวนั้นที่ปีนขึ้นมาบนสันกำแพง ในตอนนั้นหลัวสือซานก็เห็นเช่นกัน เขาร้องะโออกมาเสียงดัง “หนูตัวเบ้อเริ่มเลย” แล้วจึงชักดาบยาวออกมาทันที คิดจะพุ่งเข้าไปปิดชีพมัน
หลังจิ่งใจนสะดุ้งโหยง รีบทำการหยุดเขาไว้ หากเสี่ยวฮุยถูกหลัวสือซานเชือดทิ้ง เขาจะบอกกับเจินจูอย่างไรกัน
สามปีก่อนเขาเคยเห็นหนูขนสีเทาตัวนี้อยู่หลายครั้ง มันมักหลบอยู่หลังใบไม้และดอกไม้บนสันกำแพง และค่อยๆ ยื่นหัวน้อยๆ ออกมารอคอยเด็กสาวผู้นั้นอยู่เสมอ
เสี่ยวฮุยฉลาดเฉียบแหลมอย่างมาก ไม่รู้จักกลัวคน เมื่อเขาพบมัน มันก็พบเขาด้วย มันสบสายตากับเขาอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นก็อ้อมไปอีกด้านหนึ่งของสันกำแพง ไม่สนใจเขาเลย
บางครั้งหลัวจิ่งยังพบว่าในมือเสี่ยวฮุยราวกับถือของส่องสว่างวิบวับอยู่ด้วย เขาคิดจะเข้าใกล้ไปมองให้ละเอียด กลับถูกมันถลึงตาใส่กลับมา ท่าทางระมัดระวังเต็มไปด้วยความตื่นตัว
เจินจูคล้ายกับว่าจะชื่นชอบมันมาก ทุกครั้งที่เห็นเสี่ยวฮุย รอยยิ้มบนใบหน้ามักแสดงความอ่อนโยนมากเป็พิเศษ และจะยื่นเนื้อพะโล้หนึ่งชิ้นหรือผักกวางตุ้งหนึ่งก้านให้มันเสมอ เสี่ยวฮุยล้วนกินอย่างเอร็ดอร่อย
“ตอนนี้เป็ฤดูหนาว เสี่ยวจินกำลังเก็บตัวข้ามฤดูหนาว สามวันห้าวันถึงจะบินออกมาสักรอบ” เจินจูอธิบาย
หลัวจิ่งพยักหน้า จ้องนางแล้วถามต่อ “เสี่ยวจินค้นพบที่นี่ เ้าก็เลยตามมาด้วยตัวเอง?”
ตรงนี้เป็เขตูเาลึก เหมือนที่นางกล่าวว่ามีงูพิษและสัตว์ร้ายมากมายนับไม่ถ้วน หากนางตามอินทรีตัวนั้นมาเพียงผู้เดียว เช่นนั้นคงไม่ใช่เื่เล่นๆ เลย
“จะเป็ไปได้อย่างไร มีอาจารย์ฟางกับอาชิงอยู่นะ” เจินจูลากพวกเขาเข้ามามีส่วนร่วมอย่างหน้าตาใจสงบนิ่ง “อีกอย่าง เสี่ยวจินร้ายกาจมาก ในูเาแห่งนี้จะมีสักกี่ตัวกันเชียวที่กล้าหาเื่มัน”
หลัวจิ่งนึกถึงเสี่ยวจินที่มีกรงเล็บแหลมคมและร่างสูงใหญ่นั่น มันมีความสามารถพอที่จะมองกลุ่มสัตว์ป่าอย่างเย้ยหยันได้จริงๆ นั่นแหละ
“อย่างอื่นข้าไม่สน แต่เ้าต้องจำไว้ ห้ามให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายก็พอ เข้าใจหรือไม่?” เขาจ้องนางเขม็งด้วยดวงตาสีหมึกคู่นั้น ที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามหนักแน่น
เจินจูพยักหน้าคล้อยตามความคิดเห็นของเขาอย่างช่วยไม่ได้ ในใจกลับแอบหน่ายใจ เ้าหมอนี่เป็นายทหารสู้รบอยู่สามปี ฝึกอำนาจน่าเกรงขามกดข่มผู้อื่นออกมาได้เสียแล้ว
“ขลุ่ยนั่น... เ้ายังเก็บไว้?” หลัวจิ่งถามขึ้นอย่างกะทันหัน
เจินจูแสดงท่าทีแข็งทื่อทันทีและเงยหน้ามองเขา ท่าทางราวกับกล่าวอย่างขอไปที “ทิ้งอยู่ก้นตู้กระมัง”
หลัวจิ่งไม่พอใจขึ้นมาฉับพลัน ขลุ่ยของเขาล้วนเก็บรักษาไว้อย่างดี ส่วนนางกลับทิ้งมันอยู่ก้นตู้ “ทำไมไม่เก็บไว้ให้ดี ตอนแรกที่เ้าขอร้องให้ข้าทำขลุ่ยให้ ไม่ใช่ท่าทางเช่นนี้นี่”
เหตุใดกลายมาเป็นางขอร้องเขาได้กัน? เจินจูกลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง นางเพียงกล่าวไปตามอำเภอใจประโยคเดียวว่าขลุ่ยเป่าได้ไพเราะจริงๆ เขาก็เสนอตัวเองว่าจะทำให้นาง นางในตอนนั้นเลยถือโอกาสรับไว้
“ข้าเป่าไม่เป็เสียหน่อย หากไม่วางอยู่ก้นตู้ แล้วจะให้ถือมาทำอะไรได้ล่ะ”
หลัวจิ่งเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว เข้าใกล้นางมากขึ้น เจินจูตื่นตระหนกทันที คิดจะถอยหลังแต่กลับถูกเขาจับแขนไว้ ขังอยู่ในอ้อมอกของเขาครึ่งหนึ่ง
สองคนห่างกันเพียงเท่านี้ เจินจูได้กลิ่นอายที่มีเฉพาะตัวของเขา นางเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเขาสูงกว่านางหนึ่งศีรษะเต็มๆ
บนศีรษะของนางอยู่ใต้คางที่เป็สันชัดเจนของเขา เห็นหนวดเคราผุดออกมาบางๆ
หลัวจิ่งก้มศีรษะลงมาช้าๆ เข้าใกล้ข้างใบหูของนาง ใช้เสียงทุ้มต่ำและแหบพร่า “ข้าสอนเ้า ดีหรือไม่?”
ลมหายใจร้อนของเขากระทบเข้ามาบริเวณใบหูของนาง เืสีแดงฝาดเริ่มลุกลามขึ้น
สองมือของนางวางอยู่บนหน้าอกของเขา คิดจะดันเขาออกแต่คิดไม่ถึงเลยว่ากลับถูกเขาจับมืออีกข้างไว้ด้วย
ฝ่ามือกว้างใหญ่ นิ้วมือเรียวยาว ถึงจะเป็ฤดูหนาวก็ยังคงมีความร้อนแพร่กระจายออกมาได้อย่างน่าใ มือใหญ่ห่อหุ้มมือเล็กที่เย็นเล็กน้อยของนางไว้ในชั่วพริบตา
“ปล่อยข้านะ!” บนใบหน้าเจินจูมีสีแดงเืฝาดแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ นางพยายามดิ้นรนชักมือออก กลับถูกเขาฉวยโอกาสฉุดเข้าสู่อ้อมกอดไว้แน่น
ชั่วพริบตาเดียว ในหัวของนางเกิดความคิดตีกันยุ่งเหยิง
เขากอดนางไว้แน่น คล้ายกับว่าจะหลอมรวมกายนางให้จมหายเข้าไปในร่างกายของเขา
นับั้แ่ครั้งแรกที่เห็นนางตอนกลับมา เขาก็อยากกอดนางไว้ให้แน่นเช่นนี้อยู่นานแล้ว ข่มกลั้นไว้อยู่สองสามวัน ในที่สุดเขาก็ได้โอบกอดไว้เสียที หัวใจของเขาราวกับมีดอกไม้ไฟกำลังปะทุ ทุกๆ หย่อม ทุกๆ กลุ่ม ปะทุกระจายเบ่งบาน สีสันงดงามไร้สิ่งใดจะเปรียบเทียบได้
แต่กายบางในอ้อมกอดกลับไม่ได้อยู่ในจินตนาการชวนหวานชื่นเช่นนั้น เจินจูออกแรงทุบเขา น้ำเสียงเปล่งออกมาอย่างอับอายและขุ่นเคืองไม่หยุด “รีบปล่อยนะ เอวข้าจะถูกเ้ารัดหักแล้ว”
หลัวจิ่งได้สติ รีบคลายแรงของตนลง “เช่นนี้ดีขึ้นหน่อยหรือไม่?”
เจินจูออกแรงดิ้นรนเพื่อแยกทั้งสองคนออกจากกันด้วยแขนข้างเดียว “รีบปล่อยข้านะ เ้าเติงถูจื่อนี่คิดจะทำอะไร?”
เติงถูจื่อ? สีหน้าหลัวจิ่งนิ่งไปพักหนึ่ง ก้มหน้ามองมาทางนาง เห็นใบหน้างดงามโกรธกรุ่นแดงก่ำไปทั้งใบหน้า ั์ตาสีดำวาวราวกับมีหมอกหนาปกคลุม ทำริมฝีปากมุ่ยทรงผลอิงเถา [3] ดูชุ่มชื้นอมชมพู ความรู้สึกวาบหวามในใจตีขึ้นมาอย่างยากจะทานทน
เขาก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็วทันที ทาบเข้ากับริมฝีปากนุ่มอมชมพูของนาง
เจินจูดวงตาเบิกกว้าง มองใบหน้าที่อยู่แนบชิดกันมากอย่างไม่อยากจะเชื่อ ััอุ่นร้อนบนริมฝีปากเป็สิ่งย้ำเตือนนางว่า... นี่ไม่ใช่ภาพฝัน
ดวงตากลมโตของนางมองตรงมาที่เขาไม่ไหวติง หัวใจของหลัวจิ่งคล้ายกับนุ่มฟูขึ้น เต็มไปด้วยความหวานชื่น เขาขบกัดริมฝีปากของนางหนึ่งทีอย่างอดใจไว้ไม่ได้
เจินจูส่งเสียงร้องแ่เบาออกมาหนึ่งที เขาฉวยโอกาสจากสถานการณ์นั้นรุกล้ำเข้าไป ริมฝีปากอ่อนนุ่ม เรียวลิ้นละมุน อุณหภูมิอุ่นัันิ่มลื่น ริมฝีปากเกี่ยวพันไม่ลดละ ราวกับผีเสื้อเต้นรำท่ามกลางมวลดอกไม้ กลิ่นหอมหวนที่ราวกับมีบ้างไม่มีบ้างได้ส่งกลิ่นหอมชัดเจนขึ้น ทุกอย่างที่เกี่ยวกับนางช่างหวานล้ำ สะกดให้หัวใจของเขาลุ่มหลงอยู่ตรงนี้ ยิ่งทำให้เขาถลำลึกลงไป ไม่ยินดีที่จะฟื้นคืนสติกลับขึ้นมา
เืสูบฉีดกระจายไปทั่วใบหน้าของเจินจู ทั้งกายของนางคล้ายถูกโอบล้อมด้วยลมหายใจของเขา นางคิดจะหลบการก่อกวนนี้ไปด้วยสติอันลางเลือน เอวบางของนางเอนไปด้านหลัง มือใหญ่ข้างหนึ่งเอื้อมมาแตะอยู่ด้านหลังของนาง ทำให้นางหมดหนทางหลบเลี่ยง
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ทั่วทั้งกายของเจินจูที่ไร้เรี่ยวแรงก็ตกอยู่ในอ้อมอกของเขา หนำซ้ำสองมือยังโอบรอบตัวเขาไว้อีกด้วย
“เจินจู…” ในที่สุดเขาก็ละออกจากริมฝีปากนาง สายตาจับจ้องที่ริมฝีปากบวมแดงเล็กน้อยของนางด้วยความลึกซึ้ง
นี่เป็ััชิดใกล้ครั้งแรกของพวกเขา หลัวจิ่งรู้สึกว่าหัวใจตัวเองจวนจะถูกนางทำให้ละลายอยู่แล้ว
เชิงอรรถ
[1] แขนเสื้อยิงธนู คือ ลักษณะแขนเสื้อของชาวแมนจูทางตอนเหนือ ปลายแขนเสื้อจะยื่นยาวเลยมือออกมา มีลักษณะคล้ายเกือกม้า ในยามขี่ม้าหรือยิงธนูจะพับปลายแขนเสื้อขึ้น และปล่อยแขนเสื้อลงเพื่อป้องกันความหนาวเย็น
[2] ดอกอิงซู่ คือ ดอกฝิ่น
[3] ผลอิงเถา คือ ผลเชอร์รี่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้