ให้การยอมรับ!
คำนี้เพียงคำเดียวมีน้ำหนักมากมายเหลือเกิน
มนุษย์เรามักให้การยอมรับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าอย่างง่ายดาย อย่างเช่นหากเซี่ยเสี่ยวหลานกลับหมู่บ้านต้าเหอตอนนี้ พวกแม่บ้านปากยื่นปากยาวทั้งหลายคงรีบเข้ามารุมล้อมพูดจาเยินยอเธออย่างแน่นอน
ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เธอมีชีวิตดีกว่าทุกคนในหมู่บ้านต้าเหอเล่า อยู่ต่อหน้าผู้ที่แข็งแกร่ง ข่าวลือทั้งหลายย่อมจางหายไปจนหมดสิ้น
ทำให้คนที่ด้อยกว่ายอมรับ ความจริงแล้วไม่ใช่สิ่งที่น่าภาคภูมิใจสักนิด แต่หากสามารถทำให้คนที่เก่งกว่ายอมรับได้... ความรู้สึกนั้นช่างแสนวิเศษ เฉกเช่นความรู้สึกของเซี่ยเสี่ยวหลานในตอนนี้
ผู้เฒ่าโจวไม่เคยเกลียดเซี่ยเสี่ยวหลาน ครั้งแรกที่พบหน้ากันเขารู้ทันทีว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเป็คนเก่ง
ตระกูลโจวไม่จำเป็ต้องใช้การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เป็เครื่องมือนำไปสู่ความก้าวหน้า ว่าที่ภรรยาของโจวเฉิงมีชาติกำเนิดอย่างไรนั้นไม่สำคัญ สิ่งเดียวที่ผู้เฒ่าโจวเป็ห่วงก็คือ เซี่ยเสี่ยวหลานเหมือนกระบี่แหลมคมที่หากแข็งเกินไปก็อาจจะแตกหักได้ง่าย
นี่คือสาเหตุเดียวที่เขาไม่เห็นด้วยกับการคบหากันระหว่างเซี่ยเสี่ยวหลานและโจวเฉิง
แต่หลังเกิดเื่ของเกาเฟยขึ้นในครั้งนั้น โจวเฉิงกับเซี่ยเสี่ยวหลานก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งคู่ได้ทบทวนตัวเองและกำลังเติบโตขึ้น
เซี่ยเสี่ยวหลานคนก่อนอาจจะรักษาระยะห่างกับตระกูลโจว เพราะการใกล้ชิดกับตระกูลโจวสำหรับเธอเป็เหมือนภาระที่น่ากลัดกลุ้ม
ในขณะเดียวกันโจวเฉิงคนก่อนก็อาจจะไม่มีความอดทนดั่งเช่นปัจจุบันนี้
เมื่อก่อนหากโจวเฉิงไม่พอใจบทลงโทษที่หน่วยงานมอบให้ เขาก็จะขอลาหยุดกลับบ้านทันที นี่คือการต่อต้านเชิงลบ ตอนนี้พอสร้างผลงานได้แต่กลับถูกแยกตัวเพื่อสอบสวน โจวเฉิงก็ไม่โวยวายแต่อย่างใด เพราะเขาเรียนรู้ที่จะอดทนรอ
เปลวไฟทั้งสองอยู่เคียงข้างกัน แต่ไม่ได้ลุกลามจนไร้ขอบเขต ทั้งยังลดความร้อนแรงเพื่อกันและกันอย่างนั้นหรือ?
ผู้เฒ่าโจวดีใจที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ เขาไม่ได้คิดว่า ‘ความรัก’ เป็เื่ตลก การจะเปลี่ยนจากเด็กชายกลายเป็ผู้ชายอย่างเต็มตัวได้ ย่อมต้องมีผู้หญิงสักคนเข้ามาเป็แรงกระตุ้น และตอนนี้ดูท่าเซี่ยเสี่ยวหลานก็คือคนที่ทำให้โจวเฉิงเป็ดั่งเช่นทุกวันนี้
แน่นอนว่าที่ผู้เฒ่าโจวเรียกเซี่ยเสี่ยวหลานมาที่บ้าน เกี่ยวข้องกับการที่เซี่ยเสี่ยวหลานได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศนั่นเอง
“การแข่งขันครั้งนี้ ฉันได้ยินว่าผู้ชนะจะได้ไปเป็นักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศอย่างนั้นหรือ”
หลังทานอาหารเสร็จทุกคนก็นั่งพูดคุยกันอยู่ในห้องโถง ผู้เฒ่าโจวจึงเอ่ยถามเซี่ยเสี่ยวหลานขึ้นมา ตอนแรกโจวอี๋ยังไม่เข้าใจว่าวันนี้สองผู้าุโของตระกูลเรียกมากินข้าวที่นี่ทำไม คนอื่นเองก็รู้สึกงุนงงเช่นกัน โจวอี๋ยังคงรู้สึกว่าผู้าุโทั้งสองช่างลำเอียงเหลือเกิน เซี่ยเสี่ยวหลานแค่ปิดเทอมฤดูหนาวก็ทำการต้อนรับอย่างดีขนาดนี้ โจวอี๋รู้สึกไม่ชอบใจอย่างมาก
ทว่าพอผู้เฒ่าโจวเอ่ยปาก โจวอี๋ถึงรู้ว่าที่แท้เป็เพราะเซี่ยเสี่ยวหลานได้รับรางวัล?
การแข่งขันภาษาอังกฤษไม่ใช่สิ่งที่ประชาชนทั้งประเทศให้ความสนใจนัก ยุคนี้ข่าวสารแพร่กระจายค่อนข้างล่าช้า อีกทั้งรายการบันทึกภาพของสถานีโทรทัศน์ยังอยู่ระหว่างการตัดต่อ จึงไม่ใช่ทุกคนในตระกูลโจวที่จะรู้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานได้รับรางวัลอะไรมา
ไม่สำคัญว่าคนทั้งบ้านรู้เื่การแข่งขันหรือไม่ ในเมื่อผู้เฒ่าโจวกล่าวถึง พวกเขาย่อมต้องให้ความสำคัญ ทุกคนต่างพากันหันไปมองเซี่ยเสี่ยวหลาน และรอเธอตอบคำถามของผู้เฒ่าโจว
“ใช่ค่ะ คุณปู่ได้ยินมาไม่ผิด กระทรวงศึกษาธิการจะส่งผู้ชนะที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศไปเป็นักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ ทว่าตอนนี้ยังไม่มีกำหนดการที่แน่ชัด ฉันเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าจะเป็ปีหน้าหรือไม่ และต้องไปนานแค่ไหนค่ะ”
เซี่ยเสี่ยวหลานต้องไปเป็นักศึกษาแลกเปลี่ยนอย่างแน่นอน เพราะเธอมีอีกหนึ่งจุดประสงค์คือการไปตามหาลูกชายของย่าอวี๋
ผู้เฒ่าโจวถามเื่นี้ต่อหน้าทุกคนหมายความว่าอย่างไร หรือท่านไม่อยากให้เธอไปต่างประเทศกันแน่?
เซี่ยเสี่ยวหลานใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ผู้เฒ่าโจวไม่พูดถึงเื่ของหวังก่วงผิง แต่หวังก่วงผิงถูกสั่งย้ายไปอยู่ที่สำนักประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนีสต์เช่นนี้ เป็ไปได้หรือที่ผู้เฒ่าโจวจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง?
ข้าราชการที่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งไม่ได้มีแค่หวังก่วงผิงคนเดียว และหากฝ่ายอุดมศึกษาจัดการด้วยตัวเอง อย่างไรก็คงไม่ร้ายแรงและรวดเร็วเช่นนี้
มีเพียงเบื้องบนสั่งการลงมาเท่านั้น เป็เพราะมีคนตั้งข้อสงสัยในความสามารถของหวังก่วงผิง เขาถึงถูกสั่งโยกย้ายไปอยู่ที่สำนักประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนีสต์นั่นเอง
ถ้าหวังก่วงผิงยังอยู่ที่ฝ่ายอุดมศึกษาแน่นอนว่าย่อมมีโอกาสกลับมามีอำนาจอีกครั้ง แม้จะถูกเมินนานแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัว หากหัวหน้าฝ่ายคนปัจจุบันย้ายตำแหน่งงานหรือได้เลื่อนขั้น แล้วหัวหน้าฝ่ายคนใหม่เรียกใช้หวังก่วงผิงอีกครั้งจะเป็อย่างไร?
แต่ถ้าเขาถูกย้ายไปอยู่ที่สำนักประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนีสต์ ใช้เวลาจมปลักอยู่กับเอกสารประวัติศาสตร์ตลอดทั้งวัน ในขณะที่ปัจจุบันข้าราชการที่เป็เด็กรุ่นใหม่มีจำนวนมากมาย ใครจะจดจำคนอย่างหวังก่วงผิงได้กันเล่า แม้จะคล้ายกับการถูกส่งไปอยู่ที่ไร่ แค่ไม่ต้องทำงานหนัก สภาพความเป็อยู่ดีขึ้นกว่าอยู่ที่ไร่ แต่สำหรับคนบ้าอำนาจอย่างหวังก่วงผิง สำนักประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนีสต์ทำให้เขาสิ้นหวังได้มากกว่าการใช้ชีวิตอยู่ที่ไร่เสียอีก
สำหรับเซี่ยเสี่ยวหลาน ผู้เฒ่าโจวเพิ่งช่วยชีวิตเธอครั้งใหญ่ และเพราะท่านช่วยออกหน้าแทนเธอเช่นนี้ ดังนั้นความคิดเห็นของท่านเธอจำเป็ต้องรับฟัง
โชคดีที่ผู้เฒ่าโจวไม่ได้บอกว่าไม่อยากให้เธอไป ราวกับแค่อยากได้ยินคำยืนยันจากปากเธอเพียงเท่านั้น
ในที่สุดกู้ซือเหยียนก็ทนความอยากรู้ของตนไม่ไหว “พี่เซี่ย ที่คุณตาพูดถึงคงไม่ใช่การแข่งขันภาษาอังกฤษระดับประเทศใช่ไหมคะ พี่ได้รับรางวัลมาหรือคะ”
แม้ว่ากู้เจิ้งชิงจะไม่ได้ทำงานที่ฝ่ายอุดมศึกษา แต่เขาก็เคยพูดถึงการแข่งขันรายการนี้ที่บ้านเพื่อบอกให้กู้ซือเหยียนให้ความสำคัญกับวิชาภาษาอังกฤษมากขึ้น กระทรวงศึกษาธิการจัดการแข่งขันครั้งนี้ขึ้นมาแสดงว่า ‘ภาษาอังกฤษ’ จะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ตอนนี้จะถูกเพิ่มเข้ามาเป็หนึ่งวิชาสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทว่าในอนาคตอาจจะมีความสำคัญในด้านอื่นด้วย
คำว่า ‘นักศึกษาแลกเปลี่ยน’ ทำให้กู้ซือเหยียนสามารถจับประเด็นได้ การแข่งขันที่พูดถึงต้องเกี่ยวข้องกับการแข่งภาษาอังกฤษอย่างแน่นอน!
ลูกสาวบ้านอาหญิงเล็กอย่างเฉิงิ่ถามต่อ “การแข่งขันภาษาอังกฤษบนหนังสือพิมพ์น่ะหรือ?”
เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ทันได้ตอบ ย่าโจวที่ทนฟังมานานในที่สุดก็ได้โอกาสโอ้อวดเสียที
“การแข่งขันภาษาอังกฤษงานนั้นถูกต้องแล้วล่ะ นักศึกษาจากทั่วประเทศมาแข่งขันกัน โดยคัดเลือกเด็กจำนวน 200 คนมาสอบแข่งขันที่ปักกิ่ง จากนั้นจึงคัดเหลือ 20 คนสุดท้ายเพื่อผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ นอกจากนี้สถานีโทรทัศน์ก็ได้ไปบันทึกภาพการแข่งขันด้วยนะ... อีกไม่กี่ปี พวกหลานก็จะได้เห็นรายการนี้บนโทรทัศน์แล้วล่ะ”
“คุณยาย คุณยายรู้ละเอียดขนาดนี้ได้อย่างไรกันคะ”
“ก็ยายไปดูการแข่งรอบชิงมาน่ะซี่!”
หญิงชราลำเอียงเกินไปแล้วหรือเปล่า?
ไม่ใช่แค่โจวอี๋ที่คิดเช่นนี้ คนอื่นต่างก็คิดเช่นกัน ตอนโจวอี๋เรียนหนังสือ หญิงชราไม่เคยแม้แต่จะไปที่โรงเรียนเลยสักครั้ง กู้ซือเหยียนกับเฉิงิ่เองก็ไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ แต่กับเซี่ยเสี่ยวหลานที่เป็คนนอกดูออกจะใส่ใจเกินไปหน่อยไหม!
แม่ของโจวอี๋ยิ้ม “แสดงว่าเสี่ยวหลานได้อันดับดีสินะ”
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ดีว่าป้าสะใภ้ของโจวเฉิงคงรู้สึกอิจฉาอีกแล้ว เธอจึงยิ้มให้อย่างสงวนท่าที แต่ไม่ได้บอกออกไปว่าตนได้อันดับดีแค่ไหน ทว่าย่าโจวกลับพูดเสียงสูงยิ่งกว่าเดิม พอย่าโจวคิดถึงภาพวันที่เซี่ยเสี่ยวหลานได้รับรางวัลก็รู้สึกตื่นเต้นไม่ได้
“ก็ต้องอันดับดีอยู่แล้วสิ รางวัลชนะเลิศระดับประเทศอันดับหนึ่ง! ดูเด็กคนนี้สิ ทำไมถึงฉลาดขนาดนี้ พูดภาษาของชาวต่างชาติได้ดีเหลือเกิน!”
ป้าสะใภ้สมดั่งปรารถนา อยากหักหน้าคนอื่นทีไรเสียหน้าเองทุกที เป็เช่นนี้กี่ครั้งก็ไม่เคยหลาบจำ
กู้เจิ้งชิงหัวเราะเสียงดัง “ถ้าอย่างนั้นต้องฉลองหน่อยแล้ว เสี่ยวหลาน อายังไม่ได้แสดงความยินดีกับเราเลย! รางวัลชนะเลิศระดับประเทศไม่ใช่จะได้มาง่ายๆ การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศครั้งนี้คงมีแค่เราที่เป็เด็กปีหนึ่งใช่ไหม?”
กู้เจิ้งชิงรีบเล่าข้อมูลเกี่ยวกับการแข่งขันภาษาอังกฤษครั้งนี้ให้คนอื่นฟังทันที
อยากได้รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ แน่นอนว่าเซี่ยเสี่ยวหลานต้องผ่านด่านทดสอบมากมาย เธอต้องแข่งขันกับนักศึกษาทั้งประเทศ อีกทั้งยังต้องคว้าชัยมาได้ ในตระกูลโจวแล้วนอกจากกู้เจิ้งชิงผู้เป็ลูกเขยก็ไม่มีใครถนัดเื่วิชาการเป็พิเศษเลยสักคน แต่จู่ๆ ก็มีคนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เป็อันดับสามของประเทศ ทั้งยังได้รางวัลอันดับหนึ่งของการแข่งขันภาษาอังกฤษโผล่มา จะไม่ให้ย่าโจวลำเอียงได้อย่างไรกัน
อย่างนี้นี่เอง
โจวอี๋เห็นพวกน้องชายน้องสาวผลัดกันถามคำถามเซี่ยเสี่ยวหลาน ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมวันนี้คุณปู่โจวถึงเรียกทุกคนมาที่นี่
การกินข้าวพร้อมหน้ากันนั้นไม่ใช่เื่สำคัญ และไม่ใช่การต้อนรับปิดเทอมฤดูหนาวของเซี่ยเสี่ยวหลานดั่งที่คิดไว้ แต่คุณปู่โจว้าจัดพิธีโอ้อวดให้เซี่ยเสี่ยวหลานต่างหาก ทำให้ทุกคนในบ้านรู้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานทำให้เขารู้สึกพึงพอใจมากจนไร้ที่ติ... และตอนนี้คุณปู่โจวยอมรับในตัวเซี่ยเสี่ยวหลานแล้ว
โจวอี๋รู้สึกแน่นหน้าอก ถ้าไม่มีเื่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น อนาคตเซี่ยเสี่ยวหลานคงเป็น้องสะใภ้ของเธออย่างแน่นอน
จากสถานการณ์ในตอนนี้ อนาคตตระกูลโจวคงต้องพึ่งพาโจวเฉิงอย่างแน่แท้ เช่นนั้นก็แสดงว่าถ้าโจวอี๋อยากมีชีวิตที่สุขสบาย เธอต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเซี่ยเสี่ยวหลานสินะ เธอถูกต่งลี่ลี่พาซวยแล้วจริงๆ เมื่อก่อนทำผิดต่อเซี่ยเสี่ยวหลานมากมายเสียขนาดนั้น ถ้าลดทิฐิตอนนี้แล้วเข้าไปตีสนิทยังจะทันหรือเปล่านะ?!