หากคิดจะท่องยุทธภพ จิตใจจะต้องเข้มแข็ง มิอาจประมาท เพราะนั่นอาจส่งผลถึงชีวิตของตัวเอง ด้วยเหตุนี้จื่อต้าหลงจึงกลับมาขยันฝึกวิชา เขาอยากที่จะแข็งแกร่งขึ้น แข็งแกร่งจนสามารถไปที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ นี่นับว่าเป็เป้าหมายที่ดี
เช้าวันถัดมา จื่อต้าหลงในเวลานี้ กำลังฝึกวิชาอยู่ในจวนสำนักปลาทอง เขาค่อยๆฝึกวิชาที่ร่ำเรียนมาใหม่นั่นคือ ัคลั่งแปดคำราม เขาใช้เวลาทั้ง่เช้า ทำให้ตอนนี้ บรรลุระดับแรกแล้ว วิชานี้แม้จะร้ายกาจแต่ก็ใช้ปราณจำนวนมากในการปลดปล่อย เขาจึงอ่อนแรงอยู่ไม่น้อย แม้จะเหนื่อยแต่แววตากลับสดใสยินดี
‘ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ทีนี้ข้าก็ไม่ต้องกลัวหมาหมู่อีกต่อไปแล้ว หึๆ วิชานี้ควรซ่อนไว้เป็ไพ่ตายใช้ยามคับขันน่าจะเหมาะสมยิ่ง’ จื่อต้าหลงคิด
่ครึ่งปีก่อนการประลองอาณาจักรลี่ สิ่งที่เขาทำก็คือ ฝึกทุกวิชา ทุกกระบวนท่า เขาหมายที่จะฝึกวิชาทั้งหมดที่มีให้ถึงขั้นกลางระดับสูง(ขั้นที่หก) ในตระกูลสมาชิกส่วนใหญ่ฝึกได้ถึงขั้นสามก็นับว่าใช้ได้แล้ว ที่เขารู้ผู้ที่ฝึกได้เกินขั้นที่หกทุกวิชายุทธมีเพียงแค่สี่คน นั่นคือ ท่านพี่จื่อหง ท่านย่าจื่อเหมย ท่านพ่อจื่อเทียนหลาง และท่านลุงใหญ่จื่อตงไห่ของเขาเท่านั้น นอกจากฝึกวิชาประจำตระกูลแล้ว เขายังต้องฝึกวิชาเกราะกายาให้ได้ขั้นสูงอีกด้วยซึ่งวิธีฝึกก็เหมือนเดิม วิชาเกราะกายา ยิ่งฝึกขั้นสูงยิ่งทำให้ร่างกายเขาแข็งแกร่งคงทนยิ่งกว่าชาวยุทธทั่วไปมากมายนัก
ในหนึ่งอาทิตย์ เขาจะฝึกกับตัวเองเสียส่วนใหญ่ มีเพียงสองวันเท่านั้นที่จะไปแลกเปลี่ยนสัประยุทธกับเฉิงไฉเซียวและลวี่เหริน เด็กหนุ่มถึงขั้นที่ไม่ต้องใช้เคล็ดวิชาัม่วงเพื่อเบิกเนตรัม่วงอีกต่อไป แต่ก็ยังสามารถปะทะกับสหายทั้งสองได้นับพันกระบวนท่าโดยไม่มีปัญหา ทั้งสามต่างก็พัฒนาฝีมือไปพร้อมๆกัน เพื่องานประลองที่จะมาถึงนี้ ทุกคนต่างจริงจังหนักแน่น
หลังจากผ่านไปสี่เดือน ในที่สุด เฉิงไฉเซียวและลวี่เหรินก็ชิงร้อยอันดับแรกของศิษย์หลักมาได้ โดยเฉิงไฉเซียวชิงอันดับที่ ห้าของศิษย์หลักมาได้ และลวี่เหรินก็ชิงอันดับที่สี่มาได้ เหลือแค่เพียงจื่อต้าหลง ที่ยังไม่ท้าประลองกับผู้ใด ขณะนี้ เฉิงไฉเซียวและลวี่เหรินรวมถึงจื่อต้าหลงต่างก็ฝึกฝนถึงปราณจิตขั้นที่สองกันหมดแล้ว
แม้พลังบ่มเพาะของจื่อต้าหลงจะหยุดอยู่ที่ปราณจิตขั้นที่สองเช่นกัน แต่ทว่าวิชายุทธทั้งหมดกลับเข้าสู่ขั้นสูงหมดทุกวิชา
ทั้งเคล็ดวิชาัม่วง(เนตรัม่วง)… เคล็ดเกราะกายา… ัม่วงทะยานฟ้า… ปราการัม่วง… ัคลั่งแปดคำราม… ต่างเข้าสู่ขั้นที่เจ็ด(ขั้นสูง)กันหมดทุกวิชาแล้ว เขาค่อนข้างให้ความสำคัญกับวิชายุทธมาก แม้พลังบ่มเพาะเยอะกว่าก็ใช่ว่าจะชนะผู้ที่ชำนาญพลังยุทธที่ตัวเองมีได้ ดูอย่างเฉิงไฉเซียว ที่สามารถรับหนึ่งต้านสามในระดับเดียวกันได้เป็ตัวอย่าง จื่อต้าหลงมั่นใจมากว่าต่อให้รับมือผู้ที่มีปราณจิตขั้นที่สองเท่ากัน ยี่สิบคนพร้อมๆกันเขาก็ยังสามารถเอาชนะได้
ณ หอเมฆแดง
สามหนุ่มพากันไปที่เดิมริมระเบียง มีเสี่ยวเอ้อคอยเดินบริการพาไปที่โต๊ะ ทั้งสามนับว่าเป็ลูกค้าประจำยอดเยี่ยมแห่งหอเมฆแดงไปแล้ว เมื่อมาถึงพวกเขาก็สั่งอาหารและกับแกล้มมากมาย ทั้งยังสั่งสุราเมฆแดงมาอีกนับสิบป้าน กะจะเอาให้เมาหัวทิ่มกันเลยทีเดียว
“ต้าหลง เ้าเองก็บรรลุปราณจิตขั้นที่สองแล้ว ใยเ้าจึงมิคิดท้าประลองร้อยอันดับแรกของศิษย์หลักเสียที” เฉิงไฉเซียวกล่าวถาม
“พี่ไฉเซียว ท่านก็รู้ว่า่นี้ข้าเอาแต่ฝึกวิชาและแลกเปลี่ยนวรยุทธกับพวกท่าน ยังมิได้มีจังหวะเหมาะๆไปท้าประลองผู้ใดเลย แต่คงอีกไม่นานนี้หรอกที่ข้าจะท้าประลอง” จื่อต้าหลงตอบ
“แล้วเ้าคิดท้าประลองผู้ใดงั้นรึ?” เฉิงไฉเซียวถาม
“อันดับหก เฟยเจิน!!” จื่อต้าหลงตอบ
“อันดับหก งั้นรึ? ใยเ้าที่บรรลุปราณจิตขั้นที่สอง แล้วยังท้าประลองผู้ที่ระดับบ่มเพาะน้อยกว่าทำไมไม่ท้าห้าอันดับแรก แบบนี้ไม่เรียกว่าเอาเปรียบหรือ?” ลวี่เหรินถามอย่างสงสัย
“ข้าไม่อยากจะเหนื่อยมากเกินไปน่ะสิ บางทีถ้าพลาดาเ็ขึ้นมา ข้ากลัวว่าจะหายไม่ทันงานประลองอาณาจักรลี่ ข้าเลยต้องปลอดภัยไว้ก่อน” จื่อต้าหลงตอบ
“เป็เช่นนี้เอง….” ลวี่เหรินตอบพร้อมกับยกจอกสุราขึ้นมาจิบในใจคิดว่าสหายเขาช่างรอบคอบนัก
“หากคิดจะท่องยุทธภพต้องรู้ก่อนว่าขุมกำลังใดแข็งแกร่งที่สุด พวกเ้าสามารถบอกข้าได้หรือไม่?” เฉิงไฉเซียวถาม
“แน่นอนว่าข้าตอบได้…. ทว่าเื่นี้ให้คุณชายบัณฑิตเช่นเ้าตอบดีกว่ากระมัง?” จื่อต้าหลงโยนคำถามไปให้ลวี่เหริน
“ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือ สามราชวงค์!! และ สี่จักพรรดิแห่งยุทธภพ!!” ลวี่เหรินกล่าว
“สามราชวงศ์? สี่จักรพรรดิงั้นรึ?” เฉิงไฉเฉียวเอ่ยถามพร้อมยกจอกสุราขึ้นมาซดช้าๆ
“ถูกต้อง หนึ่งในสามราชวงศ์นั่นคือ ราชวงศ์ัครามของพวกเรา ส่วนอีกสอง ก็คือ ราชวงศ์พยัคฆ์ขาว และราชวงศ์หงสาเพลิง ส่วนสี่จักพรรดินั้นเป็ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในยุทธภพมีกองกำลังเป็ของตนเอง แม้ว่าอาจไม่ยิ่งใหญ่เท่าราชวงศ์ แต่ราชวงศ์ยังต้องเกรงใจพวกเขาส่วนนึง….” ลวี่เหรินกล่าวเสียงเรียบ
“แล้ว… สี่จักรพรรดิมีผู้ใดบ้าง?” เฉิงไฉเซียวถามต่อ
"อันดับแรก จักรพรรดิเทพอสูร แห่งพรรคเทพอสูร
อันดับที่สอง มารทักษิณ แห่งพรรคมารทลายราตรี
อันดับที่สาม เซียนอุดร แห่งสำนักเมฆาเยือกแข็ง
อันดับที่สี่ กระบี่บูรพา แห่งสำนักกระบี่ปราบมาร"
ลวี่เหรินกล่าวอย่างไหลลื่น สำหรับเขาไม่แปลกนักที่จะรู้เื่ราวในยุทธภพมากกว่าสองหนุ่มที่นั่งด้วยกัน
“บ๊ะ!! ต้องยังงี้สิ ถึงจะสมฉายาคุณชายบัณฑิตของเ้าหน่อย ข้านึกว่าเ้าเอาแต่บ้าบอตามพวกข้าไปวันๆแล้วเสียอีก ฮ่าๆๆ” จื่อต้าหลงกล่าวหยอกสหายพร้อมกับยกจอกสุราขึ้นมาซดอึกใหญ่
“ข้าไม่บ้าบอตามพวกเ้าหรอก แค่พวกเ้าบ้าบอกันสองคนข้าก็เหนื่อยเต็มที่แล้ว” ลวี่เหรินกล่าวพร้อมกับใช้ตะเกียบคีบอาหารกินอย่างสบายๆ
ทั้งสามหนุ่มนั่งสังสรรค์ดูนางรำเฮฮาตามปกติ จู่ๆก็ได้ยินเสียงคนพูดขึ้นมา
“เจอกันอีกแล้ว”
พวกเขาต่างหันไปมองพร้อมกัน… เป็เซ่อเฉิงซานแห่งสี่ตระกูลใหญ่ที่กำลังเดินมาที่โต๊ะกล่าวขึ้นมา
“อ้าว ไปไงมาไงเนี่ย คุณชายเซ่อ?” จื่อต้าหลงถาม
“พอดีว่าข้ากำลังเบื่อการฝึกวิชาเลยมาหาสุราดื่มน่ะ ไม่คิดว่าจะเจอพวกเ้าอีกรอบ” เซ่อเฉิงซานกล่าว
“มาสินั่งลง เ้ามาคนเดียวใช่หรือไม่? อยากร่ำสุรา เ้ามาถูกทางแล้ว เสี่ยวเอ้อ! ขอสุราเมฆแดงอีกสิบป้าน!!” จื่อต้าหลงกล่าวสั่งเสี่ยวเอ้อ ที่กำลังยืนรอต้อนรับและบริการให้แขกคนสำคัญอยู่
“มาๆ เชิญ… คุณชายเซ่อ” เฉิงไฉเซียวเองก็เรียกด้วยอีกแรง
เซ่อเฉิงซานคิดอยู่ครู่นึงจังตัดสินใจนั่งลงกับพวกสามหนุ่มด้วย
“ข้าจะบอกอะไรให้ ดื่มสุราคนเดียวไม่สนุกเท่าดื่มกับสหายหรอกนะ” จื่อต้าหลงกล่าวพร้อมหัวเราะคิกๆ มีสัญญาณว่าเริ่มจะเมาแล้ว นิสัยของเขาคือเมาแล้วกวนบาทาชาวบ้านเก่ง เซ่อเฉิงซานเห็นสุรานับสิบป้านที่กองกันอยู่ถึงกับอมยิ้มขึ้นมา
“นั่นสินะ ร่ำสุราต้องมีคนดื่มด้วย สุราเมรัยถึงจะหอมหวน ฮ่าๆ” เซ่อเฉิงซานกล่าวเห็นด้วย
“คุณชายเซ่อ ท่านเองก็บ่มเพาะมาถึงระดับสองขั้นปราณจิตแล้ว ท่านคิดที่จะไปร่วมงานประลองอาณาจักรลี่หรือไม่?” ลวี่เหรินถาม
“งานประลองรุ่นเยาว์อาณาจักรลี่งั้นรึ? ข้าคงจะไม่ได้ไปหรอกเพราะต้องช่วยท่านพ่อดูแลงานในตระกูล อีกทั้งเขาเองก็ไม่ได้บังคับข้า ข้าอยากอยู่อย่างสงบแบบนี้มากกว่า” เซ่อเฉิงซานกล่าวเสียงเรียบนุ่มลึก
“ส่วนข้าอยากเป็เ้าแห่งยุทธภพ ท่องไปทั่วหล้า ไร้ผู้ต่อกร ฮ่าๆๆๆ” จื่อต้าหลงเริ่มเมาและะโเพี้ยนๆขึ้นมาแล้ว
“หืมม….เ้าแห่งยุทธภพเลยงั้นรึ เป้าหมายเ้าช่างยิ่งใหญ่นัก!” เซ่อเฉิงซานกล่าวชายหนุ่มมีท่าทางแปลกใจอยู่บ้าง
“เ้าเองก็อย่าไปฟังเขาเยอะ พอเขาเมาก็มักพูดจาเพี้ยนๆเรื่อยเปื่อยไปอย่างนี้แหละ” ลวี่เหรินกล่าวราวกับว่าเคยชินกับพฤติกรรมเช่นนี้ของสหายแล้ว
“ข้าเพ้อเจ้อตรงหนาย…เ้าใส่ร้ายข้าชัดๆ ….อึ้ก!! ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล ฮ่าๆ” จื่อต้าหลงหัวเราะตอบคำอย่างเมามาย
