ดวงตาของศิษย์สายในแต่ละคนพลันฉายแววเ็าขึ้นมา โดยเฉพาะ 20 อันดับแรก
พวกเขาทุกคนล้วนคิดว่าตัวเองเป็อัจฉริยะของนิกาย ดังนั้นจึงมีความเย่อหยิ่งอยู่ในตัว แต่ตอนนี้หลินเฟิงที่ยืนอยู่บนลานประลองเป็ตาย กลับพูดจาโอหังออกมาและท้าทายศิษย์สายในทุกคน การกระทำของหลินเฟิงเท่ากับเป็การตบหน้าพวกเขาทั้งหมด
แต่ในบรรดาพวกเขาก็มีหลายคนที่กังวลเกี่ยวกับพลังของหลินเฟิง โดยเฉพาะ ศิษย์ที่มีอันดับใกล้เคียงกับเหล่ยโป พลังของหลินเฟิงนั้นแข็งแกร่งมาก และการที่เขาสามารถสังหารเหล่ยโปอย่างง่ายดาย ก็แสดงให้เห็นว่าตัวตนของหลินเฟิงนั้นนับว่าเป็ภัยคุกคามต่อพวกเขา
สิ่งที่ทำให้พวกเขากังวลมากที่สุดก็คือ ั้แ่ต้นจนจบหลินเฟิงยังไม่เคยปลดปล่อยจิติญญาของตัวเองออกมาเลย ถ้าหากจิติญญาของเขาคือดาบล่ะก็ เพียงแค่ปลดปล่อยมันออกมา คลื่นดาบที่ยังคุกกรุ่นอยู่ในอากาศก็ยิ่งะเิพลังมากขึ้นหลายเท่า เมื่อถึงตอนนั้นพลังก็จะยิ่งน่ากลัวมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครกล้ารับคำท้าท้ายของหลินเฟิง บรรยากาศพลันตกอยู่ในความเงียบอย่างแท้จริง มีเพียงแค่เสียงคลื่นดาบที่ดังขึ้นเป็ระยะๆ เท่านั้น
“เหวินเริ่นเหยียน เ้าด่าข้าว่าเป็สวะบ้างล่ะ มดปลวกบ้างล่ะ ไหนว่าอยากจะสังหารข้าไง? อยากจะทำให้ข้าต้องคุกเข่าขอชีวิตจากเ้า ตอนนี้ข้าให้โอกาสเ้าสังหารข้าอย่างเปิดเผยแล้วนะ ทำไมถึงยังไม่ขึ้นมาล่ะ??? เ้ามัวรออะไรอยู่!!!”
หลินเฟิงมองไปที่เหวินเริ่นเหยียน เสียงของเขาได้ทำลายความเงียบสงบภายในใจของทุกคน
คำพูดของหลินเฟิงยังคงทำให้พวกเขาประหลาดใจอยู่เสมอ
ทันทีที่เขาเปิดปากพูดขึ้นมา เขาก็เชื้อเชิญผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในศิษย์สายในอย่าง เหวินเริ่นเหยียนให้ขึ้นมาประลองกับเขา
เหวินเริ่นเหยียนเป็ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3 ระดับสูงสุด ถึงแม้ว่าเขากับเหล่ยโปจะอยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าเหล่ยโปจะสามารถเทียบชั้นกับเหวินเริ่นเหยียนได้ เหล่ยโปไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดกับเหวินเริ่นเหยียนด้วยซ้ำ พวกเขาคนหนึ่งเป็เมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ส่วนอีกคนก็เป็แค่ก้อนหินที่นอนอยู่บนดิน ไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถมากันได้
ขอบเขตเดียวกันแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพลังจะเท่ากัน ก็เหมือนหลินเฟิงที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 2 แต่ก็ไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 2 คนไหนที่มีพลังเทียบเคียงกับเขาได้ หรือแม้กระทั่งสามารถสังหารเหล่ยโปที่เป็ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3 ได้
เหวินเริ่นเหยียนก็คล้ายกับหลินเฟิง เขาบรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3 แต่ผู้ที่อยู่ในขอบเขตเดียวกันก็ไม่กล้าท้าทายเขา กระทั่งศิษย์หลักที่อยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 4 ก็ยังไม่กล้ายั่วโมโหเขา
“ช่างไม่เจียมตัวเอาเสียเลย ถึงเ้าจะสามารถสังหารเหล่ยโปได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถต่อกรกับข้าได้ คนอย่างเหล่ยโปกระทั่งคุณสมบัติเป็เด็กถือรองเท้าให้ข้าก็ยังไม่มีเลย ในสายตาของข้า เหล่ยโปก็เหมือนกับเ้าที่เป็ได้แค่สวะ หรือไม่ก็มดปลวก!!!”
เหวินเริ่นเหยียนมองไปที่หลินเฟิงอย่างดูถูก ถึงแม้ว่าพร์ของหลินเฟิงจะไม่อ่อนแอ แต่การที่กล้าท้าทายเหวินเริ่นเหยียน มันก็เหมือนกับเป็การหาที่ตายนั่นแหละ หลินเฟิงในตอนนี้ยังคงเป็สวะที่ไม่ควรปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเขา
“เ้าพูดจาไร้สาระตั้งมากมาย ก็เพื่อแสดงให้คนอื่นเห็นว่าตัวเ้านั้นดีเลิศและแข็งแกร่งแค่ไหนอย่างนั้นใช่ไหม?”
มีหรือที่หลินเฟิงจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เหวินเริ่นเหยียนคิด ดังนั้นเขาจึงพูดดูแคลนไปว่า “เ้าไม่จำเป็ต้องพูดมากแบบนั้นก็ได้ ในเมื่อเ้าคิดว่าตัวเองแข็งแกร่ง และข้าก็เป็เพียงมดปลวกหรือสวะที่ไม่ควรอยู่ต่อหน้าเ้า ก็แล้วทำไมเ้าถึงไม่ขึ้นมาบนนี้เพื่อสังหารข้าล่ะ? ขึ้นมาแสดงความแข็งแกร่งของเ้าเพื่อให้ทุกคนได้จำไว้ในใจว่า เ้ามันน่าเกรงขามแค่ไหน แต่เ้าก็ไม่ทำ ดีแต่พ่นวาจาไร้สาระอยู่ข้างล่าง”
“ไอ้การพูดจาโอ้อวดนะ ใครๆ ก็ทำได้ แม้แต่เหล่ยโปเอง ก่อนที่จะถูกข้าสังหาร มันก็เรียกข้าว่าสวะเช่นกัน ทั้งยังพูดว่าตัวเองแข็งแกร่งอย่างนู้นอย่างนี้... แล้วผลเป็ไง?”
คำพูดของหลินเฟิงเต็มไปด้วยการยั่วยุ แต่ทว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นล้วนเป็ความจริง เหวินเริ่นเหยียน การพูดจาโอ้อวดนะ ใครๆ ก็ทำได้?
ถ้าเหวินเริ่นเหยียนขึ้นไปบนลานประลองเป็ตาย และใช้ความแข็งแกร่งของตัวเองกดข่มหลินเฟิง แน่นอนว่าภาพลักษณ์ของเขาในใจของทุกคนย่อมสูงส่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เหวินเริ่นเหยียนกลับไม่ยอมทำแบบนั้น เขาเอาแต่พูดจาโอ้อวดว่าตัวเองแข็งแกร่งมากอยู่ข้างล่าง แล้วแบบนี้จะให้พวกเขาคิดอย่างไร???
ในสายตาของเหวินเริ่นเหยียนนั้น หลินเฟิงเป็เหมือนมดปลวกที่เขาสามารถบดขยี้ตอนไหนก็ได้ ตัวตนของเขาสูงส่งขนาดนี้จะยอมลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับมันทำไม?! มิหนำซ้ำถ้าหากเขาพูดแค่ประโยคเดียวและสามารถทำให้หลินเฟิงตายได้ แบบนี้จะไม่ทำให้ตัวตนของเขาน่าเกรงขามกว่าเหรอ?
เหวินเริ่นเหยียนเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ และพูดออกมาอย่างยโสว่า
“พวกเ้า ใครสักคนที่ขึ้นไปฆ่ามันได้ ข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหวินเริ่นเหยียน ทันใดนั้นดวงตาของศิษย์หลายๆ คนก็เป็ประกายขึ้นมา อาจารย์ของเหวินเริ่นเหยียนเป็ใคร พวกเขาต่างก็รู้จักกันดี หากเหวินเริ่นเหยียนบอกว่าจะตบรางวัลให้อย่างงาม แทบไม่ต้องคิดก็เดาได้ว่ามันคืออะไร
เม็ดยา เม็ดยาไม่ใช่สิ่งที่เหวินเริ่นเหยียนขาด เขามีเม็ดยาอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน และเม็ดยาเ่าั้ล้วนเป็ของล้ำค่า เห็นได้ชัดว่าข้อเสนอนี้น่าดึงดูดใจมาก
“ข้าจะเป็คนสังหารมันเอง” ทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่ม ชายหนุ่มคนนี้อายุประมาณ 17 ปี สายตาของเขาแหลมคมดุจมีด
“ถงโชว ผู้เชี่ยวชาญการใช้มีด”
“นั่นมันเขานี่ หลินเฟิงต้องแย่แน่ๆ”
มีหลายคนจำถงโชวได้ หลังจากที่ถูฟูก้าวเข้าไปเป็ศิษย์หลัก ก็มีอยู่สองคนที่ชื่อถูกเลื่อนอันดับขึ้นไป หนึ่งคือเหวินเริ่นเหยียน สองคือถงโชว
ถึงแม้ว่าถงโชวจะอยู่อันดับที่ 6 ของศิษย์สายใน แต่ความสามารถของเขากลับเหนือกว่าศิษย์ที่อยู่ในอับดับสูงกว่าตนหลายเท่า
เพราะว่าถงโชวมีจิติญญาแห่งมีด และยังเป็จิติญญาที่แข็งแกร่งอีกด้วย ถ้าหากเขาใช้มีดและควบคู่ไปกับการปลดปล่อยจิติญญาออกมาล่ะก็ ไม่มีอะไรที่สามารถรอดพ้นไปจากเงื้อมมือของถงโชวได้ นอกจากนี้ในบรรดาศิษย์สายในทั้งหมด เขายังเป็อีกคนที่ตระหนักถึงอำนาจ ใช่ เขามีอำนาจของมีด ไม่รู้ว่าระหว่างอำนาจดาบของหลินเฟิงกับอำนาจมีดของถงโชว ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน?!
ถึงแม้ว่าการตระหนักรู้ในอำนาจมีดของถงโชวจะด้อยกว่าการตระหนักรู้อำนาจดาบของหลินเฟิง แต่ทว่าช่องว่างการบ่มเพาะของทั้งสองคนก็แตกต่างกันอยู่ดี เพราะถงโชวเป็ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3
ถงโชวมองหลินเฟิงด้วยสายตาดุร้าย
“ได้ เ้าขึ้นไป แต่อย่าเพิ่งฆ่ามันล่ะ ให้มันคุกเข่าต่อหน้าข้าก่อน เพื่อให้มันได้รู้ก่อนตายว่ามันไม่มีทางเอาชนะข้าได้ ช่องว่างระหว่างข้ากับมันต่างกันเกินไป”
เหวินเริ่นเหยียนเปิดปากพูดอย่างเ็า
“ไม่ต้องห่วง ข้าเข้าใจแล้ว”
ถงโชวพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะะโขึ้นไปบนลานประลอง แล้วยืนอยู่ตรงหน้าของหลินเฟิง
จากนั้นเขาก็หยิบมีดยาวที่อยู่ด้านหลังออกมา ขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านว่า “ข้าไม่ได้ใช้มีดเล่มนี้มานานมาก ดังนั้นการที่เ้าตายด้วยมีดเล่มนี้ นับว่าเป็เกียรติที่สุดแล้ว”
“ฟังจากที่เ้าพูด หมายความว่าการประลองระหว่างเราเดิมพันด้วยชีวิตถูกไหม?”
หลินเฟิงถามด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
“เ้าคิดว่าข้ามีว่างมาเล่นกับเ้าอย่างนั้นหรือ?”
ถงโชวมองหลินเฟิงอย่างชั่วร้าย สายตาของเขาแหลมคมราวกับมีด
ถงโชวชักมีดออกมาจากฝัก เผยให้เห็นใบมีดเก่าๆ ท่าทางถงโชวดูจะทะนุถนอมมันมากราวกับว่ามีดเล่มนี้คือคนรักของเขา
“มีดเป็อาวุธที่ทรงพลังและแข็งแกร่งมาก มันเป็อาวุธที่ดีที่สุดในหมู่ศาสตราวุธที่แหลมคม นอกจากนี้จิติญญาแห่งมีดก็ยังเป็จิติญญาศาสตราวุธที่แข็งแกร่งที่สุด”
“ข้าเคยได้ยินมาว่า ดาบเป็าาของศาสตราวุธ แต่นี่เป็ครั้งแรกที่ข้าได้ยินว่า มีดเป็อาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ศาสตราวุธ”
หลินเฟิงกล่าวอย่างสงสัย
“อย่างเ้าจะรู้อะไร? ดาบอาจจะคล่องแคล่วว่องไว แต่ไร้ซึ่งพลัง จะเอามาเทียบกับมีดได้ยังไง?! วันนี้ข้าจะแสดงให้เ้าได้เห็นว่าอะไรที่เรียกว่ามีด อะไรที่เรียกว่าาาแห่งศาสตราวุธ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงหวีดหวิวดังขึ้น ดาบยาวที่ชักออกมาได้ปลดปล่อยพลังที่น่าเกรงขาม ลมปราณอันทรงพลังพลันทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง ประหนึ่งคลื่นน้ำที่ไหลหลากอย่างเชี่ยวกรากและกลืนกินทุกสรรพสิ่ง
“อำนาจมีด”
หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจ ไม่น่าเล่าคนคนนี้ถึงได้ดูหยิ่งผยองนัก ที่แท้เขาก็สามารถตระหนักถึงอำนาจเช่นกัน เพียงแต่ว่าเขาตระหนักถึงอำนาจของมีด และยังดูอ่อนแอกว่าเขาอยู่มาก
หลินเฟิงปลดปล่อยอำนาจของดาบออกมา ทันใดนั้นในอากาศก็เกิดเสียงโลหะปะทะกันดังขึ้น บนลานประลองเป็ตายเต็มไปด้วยคลื่นลมอันคมกริบที่โบกสะบัดอย่างรุนแรง แม้กระทั่งหน้าพื้นลานประลองก็ยังเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนมากมาย
“อำนาจของดาบกำลังปะทะกับอำนาจของมีด นี่มันน่ากลัวจริงๆ!”
หลายคนที่อยู่ใกล้ลานประลองเริ่มถอยร่นออกมา หากยังยืนอยู่ตรงนั้นต่อไป พวกเขาคงถูกคลื่นพลังที่ทรงอำนาจกดดันอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยามที่อำนาจของดาบและอำนาจของมีดเข้ามาใกล้พวกเขา เสื้อผ้าก็พลันขาดกระจุยกระจาย
“แต่ดูเหมือนว่าอำนาจมีดของถงโชวค่อยๆ ทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ นี่อาจเป็เพราะว่าเขาอยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3 แน่ๆ ระดับการบ่มเพาะของเขาอยู่เหนือกว่าหลินเฟิง ครั้งนี้หลินเฟิงคงถึงคราวซวยแล้วแน่ๆ”
“ตอนนี้เ้ายังคิดว่า ดาบแข็งแกร่งกว่ามีดอยู่อีกไหม?”
ถงโชวมองไปที่หลินเฟิงอย่างเย่อหยิ่ง
“โง่เขลาจริงๆ”
หลินเฟิงไม่ตอบคำถามของถงโชว แต่เยาะเย้ยอีกฝ่ายแทน
“ข้าน่ะหรือโง่เขลา? ก็ได้ ข้าจะแสดงให้เ้าเห็นว่าใครกันแน่ที่โง่เขลา”
เมื่อถงโชวพูดจบ เขาก็ปลดปล่อยอำนาจมีดออกมายิ่งกว่าเดิม ทำให้อำนาจมีดที่กระจายอยู่ในชั้นบรรยากาศทรงพลังมากขึ้น และพุ่งเข้าไปโอบล้อมอำนาจดาบเอาไว้
“จิติญญาแห่ง์!”
หลินเฟิงคิดในใจขึ้นมา และทันใดนั้นโลกของเขาก็พลันเปลี่ยนสีในพริบตา
ตอนนี้โลกได้เปลี่ยนเป็สีเทาขมุกขมัว ก่อนจะค่อยๆ เข้มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็สีดำสนิท ประสาทััพลันชัดเจนยิ่งกว่าเดิม กระทั่งััได้ถึงอำนาจดาบและอำนาจมีดที่กำลังปะทะกันอยู่
ดวงตาของหลินเฟิงกลายเป็เ็า ไร้อารมณ์ ราวกับเป็หุบเหวอันไร้ก้นบึ้ง
“มีดเป็าาแห่งศาสตราวุธ พลังของมันแข็งแกร่งยิ่งกว่าศาสตราวุธใดๆ กระทั่งดาบเมื่อเผชิญหน้ากับมีดก็ยังต้องยอมจำนน”
ถงโชวกล่าวขณะก้าวเดินไปข้างหน้า พร้อมกับอำนาจมีดที่น่าเกรงขาม ซึ่งปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า
ถงโชวพุ่งเข้าไปหาหลินเฟิง พร้อมกับฟันมีดออกไป ลมปราณที่ห่อหุ้มมีดเอาไว้ทรงพลังเป็อย่างมากจนดูเหมือนกับว่าสามารถฟันหุบเขาแยกออกจากกันได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ถงโชวยังเร่งอำนาจมีดที่อยู่ในร่างให้ทะยานเข้าไปกดทับร่างของหลินเฟิงไว้
“พิฆาต!”
ถงโชวคำรามเสียงดัง ก่อนที่มีดจะฟันลงไปอย่างรุนแรงราวกับจะแยกท้องฟ้าและปฐีออกจากกัน
หลินเฟิงยังคงสงบนิ่งและไม่มีทีท่าว่าจะหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ราวกับเขาไม่เห็นถงโชวอยู่ในสายตา
ทันใดนั้นคลื่นดาบก็พุ่งออกมาปะทะเข้ากับอำนาจมีดที่ทะยานเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว.. .เร็วมาก!!!
“ตูม!!!”
หนานกงหลิงใจเต้นไม่เป็ส่ำ เขาพลันลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง มีดของถงโชวในยามที่ฟันลงมานั้นดูทรงพลังเป็อย่างมาก ทั้งยังว่องไวอีกด้วย นอกจากนี้อำนาจดาบก็ถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง หากมีดเล่มนั้นฟันลงไปที่ร่างของหลินเฟิงแล้วล่ะก็ เขาต้องตายแน่ๆ แต่ทำไมเด็กคนนั้นถึงไม่หลบ ทั้งยังฟันดาบสวนกลับไปด้วย
ถึงแม้ว่าหลินเฟิงจะใช้ดาบได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ลมปราณของถงโชวนั้นแข็งแกร่งมาก กระทั่งอำนาจดาบก็ยังไม่อาจต้านทานอำนาจมีดของถงโชวได้ การที่อำนาจดาบจะหายไป ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น การประลองในครั้งนี้เกรงว่าหลินเฟิงจะถูกฟันเป็สองส่วน!!!
เพียงระยะเวลาสั้นๆ ในหัวของหนานกงหลิงก็มีความคิดมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัว หรือว่ารุ่นเยาว์อัจฉริยะคนนี้จะต้องมาจบอยู่แค่นี้???
หลินเฟิงรู้สึกตื่นเต้นมาก เขาสามารถควบคุมพลังของตัวเองได้ดีขึ้น
ถงโชวกำลังยิ้มอย่างเ็า เขาไม่คิดว่าการสังหารหลินเฟิงมันจะง่ายดายขนาดนี้ หลินเฟิงกำลังวอนหาที่ตายดีๆ นี่เอง ก็เห็นๆ อยู่ว่าอำนาจมีดของเขากำลังบดขยี้อำนาจดาบของตัวเองอยู่ นอกจากนี้ความเร็วของเขาก็ยังเหนือกว่าความเร็วของหลินเฟิง
หึ ใครกันแน่ที่โง่เขลา!
ราวกับว่าได้เห็นภาพที่หลินเฟิงถูกฟันเป็สองส่วนปรากฏขึ้นมาในหัว
ฝูงชนพากันเบิกตามองฉากนี้อย่างใจจดใจจ่อ พวกเขาพากันกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ในดวงตาของพวกเขาสะท้อนเพียงมีดและดาบ
ในที่สุดคลื่นมีดก็พลันสลายหายไป เช่นเดียวกับคลื่นดาบที่สลายไป ทุกสิ่งทุกอย่างพลันหยุดชะงักลงราวกับกาลเวลาถูกหยุดเอาไว้
มีดของถงโชวอยู่ห่างจากหัวของหลินเฟิง 1 ฉื่อ[1] ส่วนดาบของหลินเฟิงก็อยู่ห่างจากตัวของถงโชว 1 ฉื่อ
พวกเขาทั้งสองคนพากันหยุดนิ่งอยู่กับที่และค้างท่านั้นเอาไว้
สายลมแ่เบาพัดผ่านลานประลองไป ตอนนี้ทั้งลานประลองตกอยู่ในความเงียบอย่างสมบูรณ์
“ใครเป็ผู้ชนะ?”
ไม่ช้าพวกเขาก็เริ่มส่งเสียงถามขึ้นมา ตอนนี้ใครแพ้ใครชนะล้วนดูไม่ออก มีดกับดาบมันเร็วเกินไปจนพวกเขาต่างมองไม่ทัน
ถงโชวขยับปากเล็กน้อย ทำให้ฝูงชนรู้สึกหัวใจแทบหยุดเต้น อัจฉริยะหนุ่มคนนั้น ถูกถงโชวฆ่าไปแล้ว?
“เ้าทำได้อย่างไรกัน?”
คนที่ถามคำถามนั้นคือ ถงโชว สีหน้าของเขาดูแปลกๆ ไป
ในขณะนั้นหลินเฟิงได้เปิดปากพูดช้าๆ อย่างไม่รีบร้อนว่า
“อำนาจของมีดและอำนาจของดาบมันก็เป็แค่ส่วนช่วยในการต่อสู้ มันช่วยเพิ่มพลังในการโจมตีให้สูงขึ้นในพริบตา แต่มันก็เป็แค่ตัวช่วยเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรดาบของข้าก็แข็งแกร่งกว่าพลังของเ้าเสียอีก นอกจากนี้มันยังมีไว้เพื่อสังหารคน”
หลินเฟิงยืนตรงอยู่กับที่ ในขณะที่เอวของถงโชวกลับมีเืเป็จำนวนมากทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง ฉากนี้ทำให้ดวงตาของฝูงชนแทบถลนออกนอกเบ้าตา
“ข้าเข้าใจแล้ว...” ถงโชวกล่าวในขณะที่ดวงตาของเขาค่อยๆ ปิดลง จากนั้นร่างของเขาก็ล้มลงบนพื้นอย่างเชื่องช้า
ราวกับมีเสียงดังหึ่งๆ ก้องอยู่ในหัวของทุกคน
ถงโชวแพ้แล้ว ศิษย์อัจฉริยะอีกคนหนึ่งถูกหลินเฟิงสังหารไปแล้ว!
“เขาช่างร้ายกาจ!”
เมื่อมองไปที่ร่างนั้น ฝูงชนก็รู้สึกเหมือนตกอยู่ในภวังค์ไป หลินเฟิงแข็งแกร่งมาก เขาคือเทพแห่งการสังหาร และไม่มีใครสามารถต้านทานเขาได้!!!
“เฮ้อ…” หนานกงหลิงถึงกับลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
นิกายหยุนไห่ต้องสูญเสียอัจฉริยะไปคนหนึ่ง เพื่อผลักดันอัจฉริยะอีกคนหนึ่งให้ผงาดขึ้นมา
ราคานี้ช่างเ็ปยิ่งนัก
แต่ถึงแม้ว่าหนานกงหลิงจะเสียใจที่สูญเสียศิษย์อัจฉริยะไปอีกคน แต่ในใจลึกๆ ก็รู้สึกปลาบปลื้มขึ้นมา บนร่างของหลินเฟิง เขาเห็นว่ามีพลังบางอย่างที่แข็งแกร่งมากกำลังทาบทับอยู่บนร่างของหลินเฟิง
พลังนี้ช่างแข็งแกร่ง รุนแรงและบ้าคลั่ง ตราบเท่าที่มีพลังนี้อยู่ใครเล่าจะสามารถต้านทานเขาได้?
เขาเริ่มเชื่อในคำพูดของหลินเฟิงแล้วว่าการมีอยู่ของเขาเป็ประโยชน์มากกว่าม่อเสียนับร้อยเท่า พันเท่า!!!
……………………………………………………………………………………………………………….
หมายเหตุ
[1] 1 ฉื่อ เท่ากับ 10 นิ้ว
